ยุคคลั่งไคล้รังสี
ค.ศ. 1895 เมื่อแรกที่เรินต์เกนค้นพบรังสีเอกซ์นั้น เขาเผยแพร่ผลงานโดยไม่จดสิทธิบัตร ทำให้ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แพทย์พากันเห่อและได้นำรังสีเอกซ์ไปใช้รักษาผู้ป่วยแทบทุกโรคเท่าที่จะนึกหาวิธีกันได้ เช่น การฉายเพื่อรักษาโรคผิวหนัง การให้รังสีแก่มดลูกกรณีประจำเดือนมากผิดปกติ และการวินิจฉัยด้วยเครื่องกำเนิดภาพรังสีหรือรังสีทรรศน์ (fluoroscope) โดยเครื่องในยุคแรก ๆ มีลักษณะเป็นกรวยกระดาษแข็ง ปลายเปิดด้านแคบสำหรับตามอง ส่วนปลายด้านกว้างมีชิ้นกระดาษแข็งเคลือบด้วยสารฟลูออเรสเซนซ์สำหรับให้เกิดภาพ อีกด้านของกรวยเป็นต้นกำเนิดรังสีเอกซ์ เมื่อต้องการตรวจสิ่งใดก็นำสิ่งนั้นมาวางคั่นตรงกลางก็จะได้ภาพราง ๆ มองเห็นได้
ในสหรัฐอเมริกายังนิยมใช้รังสีเอกซ์ตรวจครรภ์เพื่อดูสภาพเด็กทุกเดือนจนกว่าจะคลอดว่าเด็กสมบูรณ์ดีหรือไม่ และคริสต์ทศวรรษ 1950 มีรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปตรวจวัณโรคให้เด็กนักเรียนตามโรงเรียนทั่วประเทศ
"...placing [his hand] between the fluoroscope and the X-ray tube...."
รังสีทรรศน์ในยุคแรก ๆ (
http://home.gwi.net/~dnb/read/edison/edison_xrays.htm)
ต่อมาพบว่ารังสีทรรศน์ยุคแรก ๆ นี้ไม่ปลอดภัยจากรังสีจึงมีการพัฒนาต่อมาให้มีความปลอดภัย
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อมาดามคูรีค้นพบเรเดียมใน ค.ศ. 1898 ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีและศึกษาวิธีนำมาใช้ทางการแพทย์ โลกตะวันตกยุคนั้นก็ถึงกับคลั่งไคล้รังสีกันอย่างหนัก คงเป็นเพราะว่ารังสีมีพลังงานจึงเชื่อกันว่าเมื่อนำรังสีมาใช้กับสิ่งของในชีวิตประจำวันก็น่าจะให้พลังงานแก่ร่างกายได้และทำให้สุขภาพดี ดังนั้นหลังจากที่เรเดียมหาง่ายขึ้นจึงมีผลิตภัณฑ์ที่แปลกประหลาดที่เกี่ยวกับสารกัมมันตรังสีออกมาจำหน่ายในท้องตลาดอย่างมากมายจนไม่น่าเชื่อ
เรเดียมนั้นเมื่อปล่อยรังสีต่าง ๆ แล้วก็แปรธาตุเป็นแก๊สเรดอนซึ่งก็ปล่อยรังสีแกมมา แอลฟา และบีตาเช่นกัน ค.ศ 1925 มีการอวดอ้างว่าเรดอนรักษาโรคได้ถึง 27 อย่าง ไม่ว่าเกี่ยวกับหัวใจ มะเร็ง ข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง วัณโรค อาการเจ็บหลัง อาการที่เกี่ยวกับตาบอด หอบหืด เริม แผลในกระเพาะ และแม้แต่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
ต่อมาการใช้เรเดียมก็ระบาดเข้ามาในทางการค้าเช่นเดียวกับรังสีเอกซ์ แต่เนื่องจากเรเดียมมีราคาค่อนข้างแพง บางผลิตภัณฑ์ก็ลดต้นทุนมาใช้ยูเรเนียมหรือทอเรียมที่หาง่ายกว่า มีรังสีต่ำกว่า แต่ก็ให้แก๊สเรดอนเช่นกัน
ค.ศ. 1902 จอร์จ อีตัน ที่ชานเมืองแคลร์มอร์ มลรัฐโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา พยายามจะขุดหาน้ำมัน แต่ได้น้ำที่มีกลิ่นเหม็นออกมาแทน การตรวจสอบพบว่าในน้ำมีสารกัมมันตรังสีที่สามารถรักษาโรคได้นานา ต่อมาบริเวณนี้จึงมีบังกะโลและโรงอาบน้ำเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดและกลายเป็นเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่าเรเดียมทาวน์ (Radium Town)
ขวดน้ำแร่ทำด้วยเซรามิก ของจริงสูงประมาณสี่นิ้วครึ่ง มีจำหน่ายในร้านของที่ระลึกของบังกะโล หรือวางในห้องพักสำหรับดื่มและเติมน้ำให้ทุกวัน (www.orau.org/)
หลังจากนั้นมาประมาณตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1920 น้ำที่มีสารกัมมันตรังสีก็เป็นที่นิยมจนมีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า น้ำเรเดียม ออกจำหน่าย โดยทำเป็นโถน้ำใบเขื่อง ด้านในโถน้ำอาจฉาบด้วยสารประกอบยูเรเนียม หรือเป็นโถน้ำเปล่า ๆ แต่มีก้อนสารประกอบขนาดประมาณ 4นิ้ว ×2นิ้วที่มีเรเดียมหรือยูเรเนียมผสม นำมาวางไว้ข้างในโถน้ำ เมื่อเติมน้ำลงไปก็จะได้น้ำที่มีแก๊สเรดอนละลายปนออกมา
Striz Radium Rock (ca. 1930)
โถน้ำและก้อนสารประกอบเรเดียมสำหรับแช่ในน้ำ 1-2 แกลลลอน (www.orau.org/)
ราว ค.ศ. 1920 ในประเทศฮังการีมีร้านขนมปังชื่อว่าฮิปป์มันน์บลาคตั้งอยู่ที่ St. Joachimstal หรือ Jachymov (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐเช็ก) ใช้น้ำเรเดียมผสมกับแป้งผลิตขนมปังและเรียกชื่อสินค้าของตนว่าเป็นขนมปังเรเดียม
ในนิวยอร์กมีบริษัทผลิตยาชื่อว่า Associated Radium Chemists, Inc. เป็นผู้ผลิตยาที่เป็นส่วนผสมเรเดียมหลายชนิดและใช้ชื่อคล้าย ๆ กันตามแต่ว่าจะใช้อะไรเป็นกระสายยา กล่าวคือ เมื่อเป็นยาเม็ดใช้ชื่อว่า Arium เมื่อผสมในน้ำมันทาแก้ปวดเมื่อยใช้ชื่อว่า Linarium เมื่อผสมในขี้ผึ้งใช้ชื่อว่า Ointarium เมื่อผสมในยาสีฟันใช้ชื่อว่า Dentarium และใช้ชื่อว่า Kaparium สำหรับน้ำมันใส่ผม
Arium 1 ตลับบรรจุ 42 เม็ดราคาเพียง 1 ดอลลาร์อเมริกัน ละลายน้ำรับประทานครั้งละ 2 เม็ด
ใช้รักษาโรครูมาทอยด์ ประสาทอักเสบ ปวดประสาท และเกาต์ (www.orau.org/)
Cr.
http://www0.tint.or.th
ต่อไปนี้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะช่างคิดช่างสรรค์ผลิตกันขึ้นมาได้ และไม่มีจำหน่ายแล้วในปัจจุบัน
ยาสีฟันกัมมันตรังสี (RADIOACTIVE TOOTHPASTE)

บริษัท Auer Company (
Auergesellschaft) ในประเทศเยอรมนีโฆษณาว่า มีอะไรที่จะทำให้ยิ้มของคุณสดใสได้มากกว่ายาสีฟันกัมมันตรังสี? โดยผลิตยาสีฟันผสมทอเรียมที่ได้จากโครงการปรมาณูของนาซี (Nazi atomic program) ในปี 1944 เมื่อมีความแน่ชัดแล้วว่าเยอรมันจะไม่ชนะสงคราม บริษัทนี้ได้เล็งเห็นอนาคตของการนำวัสดุนิวเคลียร์มาใช้ด้านความงาม โดยพัฒนายาสีฟันกัมมันตรังสี Doramad เพื่อนำผลของรังสีมาใช้ประโยชน์ โดยโฆษณาว่ารังสีสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียในช่องปากได้
เครื่องวัดขนาดเท้าแบบเรืองแสง (SHOE-FITTING FLUOROSCOPE)

ในช่วงต้นที่มีการประดิษฐ์เครื่องกำเนิดรังสีเอ๊กซ์ออกมา ยังไม่มีใครคิดว่ารังสีชนิดนี้จะมีอันตราย ทั้งที่ได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์และช่างเทคนิค อุปกรณ์มหัสจรรย์นี้ถูกนำไปใช้ในคลินิกของแพทย์ ห้องปฏิบัติการทางทหาร รวมทั้งในร้านรองเท้า ในช่วงทศวรรษปี 1930-1960 เด็กๆ ได้รับการสนับสนุนให้วัดขนาดรองเท้าด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ โดยการวางเท้าที่อุปกรณ์เรืองรังสีเอ๊กซ์ (x-ray fluoroscope) ที่มีในร้านขายรองเท้า ทั้งพนักงานขายรองเท้าและผู้ซื้อจะสามารถมองเห็นกระดูกของเท้า (รวมทั้งได้รับรังสีเอ๊กซ์ที่กระจายออกมาด้วย) ในปี 1950 จึงมีการยอมรับกันว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอันตราย แต่การห้ามใช้ก็ถูกกำหนดไปทีละรัฐ จนถึงปี 1970 หลายรัฐก็ยังมีเครื่องนี้ใช้อยู่ จนกระทั่งหมดลงเมื่อถูกสั่งห้ามการผลิต แต่ก็ยังมีการใช้ในยุโรปอีกหลายปีหลังจากนั้น
เครื่องสำอางกัมมันตรังสี (THO-RADIA COSMETICS)

ดร.อัลเฟรด คูรี (Dr. Alfred Curie) ไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์กับ มารี คูรี (Marie Curie) หรือ ปิแอร์ คูรี (Pierre Curie) แต่ชื่อของเขาถูกขายเพื่อให้สตรีฝรั่งเศสเห็นภาพของเครื่องสำอางกัมมันตรังสี โดย คูรีได้ร่วมกับ Alexis Moussali พัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้ชื่อ Tho-radia ซึ่งประกอบด้วย ครีมทาหน้า สบู่ แป้ง และยาสีฟัน ที่มีส่วนผสมของธาตุกัมมันตรังสี ทอเรียมและเรเดียม แม้ว่าจะมีราคาสูง แต่ผลิตภัณฑ์ Tho-radia ก็ได้รับความนิยมในปารีส หลังจากนั้นจึงแพร่หลายออกทั่วไป
Dorothy Gray Salon Cold Cream ไม่ได้โฆษณาว่าผสมสารกัมมันตรังสี แต่ชุดโฆษณาทางโทรทัศน์ก็สามารถช็อคผู้ชมรุ่นใหม่ได้ นางแบบในโฆษณานี้ได้ทาครีมผสมสารกัมมันตรังสี เพื่อแสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการทำความสะอาดของครีม
น้ำกัมมันตรังสี RADITHOR

เรดิทอร์ เป็นชื่อที่ถูกจดลิขสิทธิ์ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ประกอบด้วย น้ำกลั่น ผสมกับ 2 ไอโซโทปของเรเดียม มีการโฆษณาว่าทำให้สดชื่นตลอดเวลา (Perpetual Sunshine) เรดิทอร์ เป็นเพียงหนึ่งในหลายผลิตภัณฑ์ที่เป็น ยาอายุวัฒนะกัมมันตรังสี (radioactive elixirs) ที่สามารถลดความเจ็บปวด และรักษาโรคได้ทุกชนิด ด้วยโฆษณาชุดนี้ของเรดิทอร์ ได้ ทำให้ Eben MacBurney Byers นักกีฬาชื่อดังของ Pittsburgh ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่แขนจากการแข่งขันฟุตบอลระหว่าง Yale-Harvard ซึ่ง Dr. Charles Clinton Moyar แพทย์ที่ Pittsburgh ได้แนะนำให้ดื่มเรดิทอร์ เพื่อลดความเจ็บปวดที่แขน และฟื้นฟูร่างกาย ซึ่ง Byers ก็ได้แนะนำต่อให้กับเพื่อนอีกหลายคน รวมทั้งแบ่งให้ม้าของเขาดื่มด้วย ผลของการดื่มทำให้เกิดโพรงในกระดูกและที่กะโหลก ฟันหลุดออกทั้งหมด สุขภาพทรุดโทรมลง ก่อนจะเสียชีวิตด้วยพิษของรังสี
เครื่องแผ่รังสีเรเดียม (RADIUM EMANATORS)

มีการจดลิขสิทธิ์ทางการแพทย์จำนวนมากสำหรับผู้ที่ต้องการน้ำกัมมันตรังสีที่มากขึ้น โดยผู้ใช้สามารถเติมรังสีลงไปในน้ำได้เอง เครื่องแผ่รังสีเรเดียมนี้ มีจำหน่ายในช่วงทศวรรษ 1930 โดยการผสมแร่ยูเรเนียมลงในซีเมนต์ ซึ่งสามารถละลายในน้ำได้โดยการแช่ไว้ค้างคืน
นาฬิกาเรเดียม (RADIUM CLOCK DIALS)

สีเรเดียม เป็นสีพิเศษที่เรืองแสงได้ในที่มืด เมื่อก่อนนี้เคยมีการใช้ทาที่ตัวเลขของหน้าปัดนาฬิกา ทำให้สามารถมองเห็นได้เมื่อไม่มีแสงสว่าง ในช่วงทศวรรษ 1920 หญิงสาวจะได้รับการจ้างให้ทาตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาด้วยสีผสมเรเดียม ผู้ทาจำเป็นต้องทำให้ปลายพู่กันมีปลายแหลม ซึ่งมักจะทำโดยการใช้ริมฝีกปาก เรเดียมบนนาฬิกาแต่ละเรือนมีเพียงเล็กน้อยและมีรังสีอ่อนมาก แต่ผู้ที่ทาสีในโรงงงานจะได้รับรังสีปริมาณมาก หลายคนเสียชีวิตเนื่องจากพาของรังสีหรือโรคมะเร็งที่เกี่ยวเนื่องกับรังสี บางส่วนต้องรับความทุกข์ทรมานจากผลของรังสี โดยเฉพาะคนที่สูญเสียกระดูกและฟันจากผลของรังสี มี 5 คน ในจำนวนของหญิงสาวเรเดียม (Radium Girls) ที่ฟ้องร้องบริษัท ทำให้เกิด U.S. Radium for damages เป็นกรณีที่ทำให้รัฐมีความเข้มงวดมากขึ้นทางด้านมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งานเรเดียมในทางอุตสาหกรรม
เหมืองเรดอนเพื่อสุขภาพ (RADON HEALTH MINES)

แม้ว่าจะมีคำเตือนว่ากาซเรดอนในธรรมชาติเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และการกำหนดขีดจำกัดของระดับความปลอดภัยในการได้รับเรดอน แต่บางคนก็ยังเชื่อว่าเรดอนดีต่อสุขภาพ คนเหล่านี้จะไปพักผ่อนที่สปาที่จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ สปาแบบนี้เริ่มเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 โดยมีหลายแห่งบริเวณเหมืองในรัฐมอนทานา ที่มีกาซเรดอนแพร่ออกมามากกว่าปกติ เช่น Sunshine Health Mine ที่เมือง Boulder และ Earth Angel Health Mine ที่เมือง Basin รัฐมอนทานา รูปแบบที่คล้ายกันนี้ก็มีเปิดขึ้นที่ยุโรปเช่นกัน
สารรังสีที่เคยถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ค.ศ. 1895 เมื่อแรกที่เรินต์เกนค้นพบรังสีเอกซ์นั้น เขาเผยแพร่ผลงานโดยไม่จดสิทธิบัตร ทำให้ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แพทย์พากันเห่อและได้นำรังสีเอกซ์ไปใช้รักษาผู้ป่วยแทบทุกโรคเท่าที่จะนึกหาวิธีกันได้ เช่น การฉายเพื่อรักษาโรคผิวหนัง การให้รังสีแก่มดลูกกรณีประจำเดือนมากผิดปกติ และการวินิจฉัยด้วยเครื่องกำเนิดภาพรังสีหรือรังสีทรรศน์ (fluoroscope) โดยเครื่องในยุคแรก ๆ มีลักษณะเป็นกรวยกระดาษแข็ง ปลายเปิดด้านแคบสำหรับตามอง ส่วนปลายด้านกว้างมีชิ้นกระดาษแข็งเคลือบด้วยสารฟลูออเรสเซนซ์สำหรับให้เกิดภาพ อีกด้านของกรวยเป็นต้นกำเนิดรังสีเอกซ์ เมื่อต้องการตรวจสิ่งใดก็นำสิ่งนั้นมาวางคั่นตรงกลางก็จะได้ภาพราง ๆ มองเห็นได้
ในสหรัฐอเมริกายังนิยมใช้รังสีเอกซ์ตรวจครรภ์เพื่อดูสภาพเด็กทุกเดือนจนกว่าจะคลอดว่าเด็กสมบูรณ์ดีหรือไม่ และคริสต์ทศวรรษ 1950 มีรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปตรวจวัณโรคให้เด็กนักเรียนตามโรงเรียนทั่วประเทศ
รังสีทรรศน์ในยุคแรก ๆ (http://home.gwi.net/~dnb/read/edison/edison_xrays.htm)
ต่อมาพบว่ารังสีทรรศน์ยุคแรก ๆ นี้ไม่ปลอดภัยจากรังสีจึงมีการพัฒนาต่อมาให้มีความปลอดภัย
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อมาดามคูรีค้นพบเรเดียมใน ค.ศ. 1898 ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีและศึกษาวิธีนำมาใช้ทางการแพทย์ โลกตะวันตกยุคนั้นก็ถึงกับคลั่งไคล้รังสีกันอย่างหนัก คงเป็นเพราะว่ารังสีมีพลังงานจึงเชื่อกันว่าเมื่อนำรังสีมาใช้กับสิ่งของในชีวิตประจำวันก็น่าจะให้พลังงานแก่ร่างกายได้และทำให้สุขภาพดี ดังนั้นหลังจากที่เรเดียมหาง่ายขึ้นจึงมีผลิตภัณฑ์ที่แปลกประหลาดที่เกี่ยวกับสารกัมมันตรังสีออกมาจำหน่ายในท้องตลาดอย่างมากมายจนไม่น่าเชื่อ
เรเดียมนั้นเมื่อปล่อยรังสีต่าง ๆ แล้วก็แปรธาตุเป็นแก๊สเรดอนซึ่งก็ปล่อยรังสีแกมมา แอลฟา และบีตาเช่นกัน ค.ศ 1925 มีการอวดอ้างว่าเรดอนรักษาโรคได้ถึง 27 อย่าง ไม่ว่าเกี่ยวกับหัวใจ มะเร็ง ข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง วัณโรค อาการเจ็บหลัง อาการที่เกี่ยวกับตาบอด หอบหืด เริม แผลในกระเพาะ และแม้แต่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
ต่อมาการใช้เรเดียมก็ระบาดเข้ามาในทางการค้าเช่นเดียวกับรังสีเอกซ์ แต่เนื่องจากเรเดียมมีราคาค่อนข้างแพง บางผลิตภัณฑ์ก็ลดต้นทุนมาใช้ยูเรเนียมหรือทอเรียมที่หาง่ายกว่า มีรังสีต่ำกว่า แต่ก็ให้แก๊สเรดอนเช่นกัน
หลังจากนั้นมาประมาณตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1920 น้ำที่มีสารกัมมันตรังสีก็เป็นที่นิยมจนมีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า น้ำเรเดียม ออกจำหน่าย โดยทำเป็นโถน้ำใบเขื่อง ด้านในโถน้ำอาจฉาบด้วยสารประกอบยูเรเนียม หรือเป็นโถน้ำเปล่า ๆ แต่มีก้อนสารประกอบขนาดประมาณ 4นิ้ว ×2นิ้วที่มีเรเดียมหรือยูเรเนียมผสม นำมาวางไว้ข้างในโถน้ำ เมื่อเติมน้ำลงไปก็จะได้น้ำที่มีแก๊สเรดอนละลายปนออกมา
โถน้ำและก้อนสารประกอบเรเดียมสำหรับแช่ในน้ำ 1-2 แกลลลอน (www.orau.org/)
ราว ค.ศ. 1920 ในประเทศฮังการีมีร้านขนมปังชื่อว่าฮิปป์มันน์บลาคตั้งอยู่ที่ St. Joachimstal หรือ Jachymov (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐเช็ก) ใช้น้ำเรเดียมผสมกับแป้งผลิตขนมปังและเรียกชื่อสินค้าของตนว่าเป็นขนมปังเรเดียม
ในนิวยอร์กมีบริษัทผลิตยาชื่อว่า Associated Radium Chemists, Inc. เป็นผู้ผลิตยาที่เป็นส่วนผสมเรเดียมหลายชนิดและใช้ชื่อคล้าย ๆ กันตามแต่ว่าจะใช้อะไรเป็นกระสายยา กล่าวคือ เมื่อเป็นยาเม็ดใช้ชื่อว่า Arium เมื่อผสมในน้ำมันทาแก้ปวดเมื่อยใช้ชื่อว่า Linarium เมื่อผสมในขี้ผึ้งใช้ชื่อว่า Ointarium เมื่อผสมในยาสีฟันใช้ชื่อว่า Dentarium และใช้ชื่อว่า Kaparium สำหรับน้ำมันใส่ผม
ใช้รักษาโรครูมาทอยด์ ประสาทอักเสบ ปวดประสาท และเกาต์ (www.orau.org/)
Cr.http://www0.tint.or.th
ต่อไปนี้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะช่างคิดช่างสรรค์ผลิตกันขึ้นมาได้ และไม่มีจำหน่ายแล้วในปัจจุบัน
ยาสีฟันกัมมันตรังสี (RADIOACTIVE TOOTHPASTE)
บริษัท Auer Company (Auergesellschaft) ในประเทศเยอรมนีโฆษณาว่า มีอะไรที่จะทำให้ยิ้มของคุณสดใสได้มากกว่ายาสีฟันกัมมันตรังสี? โดยผลิตยาสีฟันผสมทอเรียมที่ได้จากโครงการปรมาณูของนาซี (Nazi atomic program) ในปี 1944 เมื่อมีความแน่ชัดแล้วว่าเยอรมันจะไม่ชนะสงคราม บริษัทนี้ได้เล็งเห็นอนาคตของการนำวัสดุนิวเคลียร์มาใช้ด้านความงาม โดยพัฒนายาสีฟันกัมมันตรังสี Doramad เพื่อนำผลของรังสีมาใช้ประโยชน์ โดยโฆษณาว่ารังสีสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียในช่องปากได้
เครื่องวัดขนาดเท้าแบบเรืองแสง (SHOE-FITTING FLUOROSCOPE)
ในช่วงต้นที่มีการประดิษฐ์เครื่องกำเนิดรังสีเอ๊กซ์ออกมา ยังไม่มีใครคิดว่ารังสีชนิดนี้จะมีอันตราย ทั้งที่ได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์และช่างเทคนิค อุปกรณ์มหัสจรรย์นี้ถูกนำไปใช้ในคลินิกของแพทย์ ห้องปฏิบัติการทางทหาร รวมทั้งในร้านรองเท้า ในช่วงทศวรรษปี 1930-1960 เด็กๆ ได้รับการสนับสนุนให้วัดขนาดรองเท้าด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ โดยการวางเท้าที่อุปกรณ์เรืองรังสีเอ๊กซ์ (x-ray fluoroscope) ที่มีในร้านขายรองเท้า ทั้งพนักงานขายรองเท้าและผู้ซื้อจะสามารถมองเห็นกระดูกของเท้า (รวมทั้งได้รับรังสีเอ๊กซ์ที่กระจายออกมาด้วย) ในปี 1950 จึงมีการยอมรับกันว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอันตราย แต่การห้ามใช้ก็ถูกกำหนดไปทีละรัฐ จนถึงปี 1970 หลายรัฐก็ยังมีเครื่องนี้ใช้อยู่ จนกระทั่งหมดลงเมื่อถูกสั่งห้ามการผลิต แต่ก็ยังมีการใช้ในยุโรปอีกหลายปีหลังจากนั้น
เครื่องสำอางกัมมันตรังสี (THO-RADIA COSMETICS)
ดร.อัลเฟรด คูรี (Dr. Alfred Curie) ไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์กับ มารี คูรี (Marie Curie) หรือ ปิแอร์ คูรี (Pierre Curie) แต่ชื่อของเขาถูกขายเพื่อให้สตรีฝรั่งเศสเห็นภาพของเครื่องสำอางกัมมันตรังสี โดย คูรีได้ร่วมกับ Alexis Moussali พัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้ชื่อ Tho-radia ซึ่งประกอบด้วย ครีมทาหน้า สบู่ แป้ง และยาสีฟัน ที่มีส่วนผสมของธาตุกัมมันตรังสี ทอเรียมและเรเดียม แม้ว่าจะมีราคาสูง แต่ผลิตภัณฑ์ Tho-radia ก็ได้รับความนิยมในปารีส หลังจากนั้นจึงแพร่หลายออกทั่วไป
Dorothy Gray Salon Cold Cream ไม่ได้โฆษณาว่าผสมสารกัมมันตรังสี แต่ชุดโฆษณาทางโทรทัศน์ก็สามารถช็อคผู้ชมรุ่นใหม่ได้ นางแบบในโฆษณานี้ได้ทาครีมผสมสารกัมมันตรังสี เพื่อแสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการทำความสะอาดของครีม
น้ำกัมมันตรังสี RADITHOR
เรดิทอร์ เป็นชื่อที่ถูกจดลิขสิทธิ์ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ประกอบด้วย น้ำกลั่น ผสมกับ 2 ไอโซโทปของเรเดียม มีการโฆษณาว่าทำให้สดชื่นตลอดเวลา (Perpetual Sunshine) เรดิทอร์ เป็นเพียงหนึ่งในหลายผลิตภัณฑ์ที่เป็น ยาอายุวัฒนะกัมมันตรังสี (radioactive elixirs) ที่สามารถลดความเจ็บปวด และรักษาโรคได้ทุกชนิด ด้วยโฆษณาชุดนี้ของเรดิทอร์ ได้ ทำให้ Eben MacBurney Byers นักกีฬาชื่อดังของ Pittsburgh ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่แขนจากการแข่งขันฟุตบอลระหว่าง Yale-Harvard ซึ่ง Dr. Charles Clinton Moyar แพทย์ที่ Pittsburgh ได้แนะนำให้ดื่มเรดิทอร์ เพื่อลดความเจ็บปวดที่แขน และฟื้นฟูร่างกาย ซึ่ง Byers ก็ได้แนะนำต่อให้กับเพื่อนอีกหลายคน รวมทั้งแบ่งให้ม้าของเขาดื่มด้วย ผลของการดื่มทำให้เกิดโพรงในกระดูกและที่กะโหลก ฟันหลุดออกทั้งหมด สุขภาพทรุดโทรมลง ก่อนจะเสียชีวิตด้วยพิษของรังสี
เครื่องแผ่รังสีเรเดียม (RADIUM EMANATORS)
มีการจดลิขสิทธิ์ทางการแพทย์จำนวนมากสำหรับผู้ที่ต้องการน้ำกัมมันตรังสีที่มากขึ้น โดยผู้ใช้สามารถเติมรังสีลงไปในน้ำได้เอง เครื่องแผ่รังสีเรเดียมนี้ มีจำหน่ายในช่วงทศวรรษ 1930 โดยการผสมแร่ยูเรเนียมลงในซีเมนต์ ซึ่งสามารถละลายในน้ำได้โดยการแช่ไว้ค้างคืน
นาฬิกาเรเดียม (RADIUM CLOCK DIALS)
สีเรเดียม เป็นสีพิเศษที่เรืองแสงได้ในที่มืด เมื่อก่อนนี้เคยมีการใช้ทาที่ตัวเลขของหน้าปัดนาฬิกา ทำให้สามารถมองเห็นได้เมื่อไม่มีแสงสว่าง ในช่วงทศวรรษ 1920 หญิงสาวจะได้รับการจ้างให้ทาตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาด้วยสีผสมเรเดียม ผู้ทาจำเป็นต้องทำให้ปลายพู่กันมีปลายแหลม ซึ่งมักจะทำโดยการใช้ริมฝีกปาก เรเดียมบนนาฬิกาแต่ละเรือนมีเพียงเล็กน้อยและมีรังสีอ่อนมาก แต่ผู้ที่ทาสีในโรงงงานจะได้รับรังสีปริมาณมาก หลายคนเสียชีวิตเนื่องจากพาของรังสีหรือโรคมะเร็งที่เกี่ยวเนื่องกับรังสี บางส่วนต้องรับความทุกข์ทรมานจากผลของรังสี โดยเฉพาะคนที่สูญเสียกระดูกและฟันจากผลของรังสี มี 5 คน ในจำนวนของหญิงสาวเรเดียม (Radium Girls) ที่ฟ้องร้องบริษัท ทำให้เกิด U.S. Radium for damages เป็นกรณีที่ทำให้รัฐมีความเข้มงวดมากขึ้นทางด้านมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งานเรเดียมในทางอุตสาหกรรม
เหมืองเรดอนเพื่อสุขภาพ (RADON HEALTH MINES)
แม้ว่าจะมีคำเตือนว่ากาซเรดอนในธรรมชาติเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และการกำหนดขีดจำกัดของระดับความปลอดภัยในการได้รับเรดอน แต่บางคนก็ยังเชื่อว่าเรดอนดีต่อสุขภาพ คนเหล่านี้จะไปพักผ่อนที่สปาที่จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ สปาแบบนี้เริ่มเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 โดยมีหลายแห่งบริเวณเหมืองในรัฐมอนทานา ที่มีกาซเรดอนแพร่ออกมามากกว่าปกติ เช่น Sunshine Health Mine ที่เมือง Boulder และ Earth Angel Health Mine ที่เมือง Basin รัฐมอนทานา รูปแบบที่คล้ายกันนี้ก็มีเปิดขึ้นที่ยุโรปเช่นกัน