คนเหนือที่ไม่สูบบุหรี่ ก็เป็น #มะเร็งปอด เพราะ #ก๊าซเรดอน เป็นภัยเงียบที่มองไม่เห็น วิธีจัดการที่ดีที่สุดคือ อ่านให้จบ
เรดอน (Rn-222) เป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดขึ้นจากการสลายตัวของเรเดียม (Radium) ซึ่งเป็นลูกหลานของยูเรเนียม (Uranium) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในหินและดิน มันสามารถซึมผ่านพื้นดินและแพร่เข้าสู่บรรยากาศหรือเข้าไปสะสมในอาคารได้
1. การสูดดม (Inhalation): เราไม่สามารถมองเห็นหรือได้กลิ่นเรดอน จึงสูดมันเข้าไปในปอดโดยไม่รู้ตัว
2. การสลายตัวในปอด (Decay in the Lungs): เมื่ออยู่ในปอด ก๊าซเรดอนจะสลายตัวต่อไปกลายเป็นธาตุลูก (Daughter Products) เช่น พอโลเนียม (Polonium-218, Polonium-214) ซึ่งเป็นโลหะหนักและกัมมันตรังสี
3. การติดค้างและปล่อย Alpha Particles: ธาตุโลหะเหล่านี้จะเกาะติดอยู่ที่เนื้อเยื่อปอดอย่างเหนียวแน่น และจากนั้นก็จะปล่อย Alpha Particles ออกมาอย่างต่อเนื่อง
4. การทำลาย DNA ของเซลล์ปอด: พลังงานสูงของ Alpha Particles นี้จะทำให้เกิด Ionization ในเซลล์ปอด โดยตรงและผ่านการสร้าง Free Radicals ซึ่งทำลายสาย DNA
5. การกลายพันธุ์และมะเร็ง: เมื่อ DNA ถูกทำลายซ้ำๆ โดยเฉพาะในเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว ความผิดปกติหรือการกลายพันธุ์ (Mutation) ก็เกิดขึ้น สุดท้ายนำไปสู่การเกิด มะเร็งปอด
· ก๊าซเรดอนเป็น สาเหตุอันดับสองของมะเร็งปอด รองจากการสูบบุหรี่ ส่วน ฝุ่น PM 2.5 เป็นอันดับ 3
· สำหรับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ การสัมผัสก๊าซเรดอนเป็นสาเหตุหลักอันดับหนึ่งของมะเร็งปอด
· ความเสี่ยงจะสูงขึ้นอย่างมากในผู้ที่สูบบุหรี่ และสัมผัสก๊าซเรดอนพร้อมกัน เนื่องจากมีผลเสริมกัน (Synergistic Effect)
วิธีการป้องกัน (Radon Mitigation)
โชคดีที่เราสามารถป้องกันและลดระดับความเข้มข้นของก๊าซเรดอนในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 1: การตรวจวัด (Testing) – สำคัญที่สุด!
เนื่องจากเรดอนเป็นก๊าซที่ตรวจจับได้ยาก วิธีเดียวที่จะรู้ว่าบ้านเรามีความเสี่ยงหรือไม่คือการตรวจวัด
· ชุดทดสอบระยะสั้น (Short-Term Test): ใช้เวลา 2-7 วัน เพื่อประเมินระดับเรดอนเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว
· ชุดทดสอบระยะยาว (Long-Term Test): ใช้เวลา 90 วันขึ้นไป ให้ผลที่แม่นยำกว่าเพราะคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและสภาพอากาศ
ขั้นตอนที่ 2: การลดระดับเรดอน (Radon Reduction)
หากระดับเรดอนสูงเกินค่ามาตรฐาน(โดยทั่วไปคือ 4 pCi/L หรือ 148 Bq/m³) ต้องดำเนินการลดระดับ ซึ่งวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ
1. ระบบลดความดันใต้พื้นบ้าน (Active Soil Depressurization - ASD)
นี่เป็นวิธีมาตรฐานทองคำ(Gold Standard) โดยการติดตั้งท่อ PVC ผ่านแผ่นพื้นคอนกรีตลงไปในดินใต้บ้าน และใช้พัดลมดูดอากาศ (Fan) ที่ติดตั้งบนชายคาด้านนอก คอยดูดก๊าซเรดอนจากใต้ดินขึ้นมาและปล่อยออกสู่บรรยากาศด้านนอก ก่อน ที่มันจะซึมเข้าบ้าน
· วิธีนี้สามารถลดระดับเรดอนได้ 50% ถึง 99%
2. วิธีการเสริมอื่นๆ:
· การอุดรอยรั่ว (Sealing Cracks): อุดรอยแตกบนพื้นและผนังคอนกรีต รอยรอบท่อสาธารณูปโภค แต่วิธีนี้ควรทำควบคู่กับการติดตั้งระบบ ASD เท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้เพียงอย่างเดียว
· การเพิ่มการระบายอากาศ (Increasing Ventilation): เปิดหน้าต่างให้บ่อยขึ้น หรือติดตั้งระบบระบายอากาศโดยเฉพาะในพื้นที่ชั้นใต้ดิน
· การติดตั้งระบบระบายอากาศในชั้นใต้ดิน (Sub-Slab Depressurization): สำหรับบ้านที่มีชั้นใต้ดิน
3. การป้องกันตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง (Pre-Construction)
สำหรับการสร้างบ้านใหม่ควรออกแบบและติดตั้ง ระบบป้องกันเรดอน ไว้ล่วงหน้า เช่น วางท่อและชั้นป้องกันก๊าซ (Gas Permeable Layer) ใต้พื้นบ้าน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่สูงและมีประสิทธิภาพมาก
จากการค้นหาข้อมูลล่าสุด ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลจากการตรวจวัดอย่างเป็นทางการที่ระบุชัดเจนว่า จังหวัดหรืออำเภอใดในภาคเหนือของไทยมีก๊าซเรดอนสะสม "มากที่สุด" อย่างเจาะจง
การจะระบุพื้นที่ได้จำเป็นต้องมีการสำรวจและวัดระดับความเข้มข้นของก๊าซเรดอนอย่างเป็นระบบและกว้างขวาง ซึ่ง #ยังไม่มีการดำเนินการในลักษณะนี้ในประเทศไทยอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เราสามารถ ประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นจากสภาพทางธรณีวิทยา ได้ ดังนี้
พื้นที่ที่อาจมีศักยภาพในการเกิดก๊าซเรดอนสูง
ปัจจัยหลักที่ทำให้พื้นที่หนึ่งมีก๊าซเรดอนสูงคือ การที่มีหินต้นกำเนิด (Source Rock) ที่มีธาตุยูเรเนียมหรือเรเดียมสูงอยู่ใต้พื้นดิน ในภาคเหนือของไทย หินประเภทที่มีศักยภาพเหล่านี้ได้แก่
1. #หินแกรนิต (Granite):
· หินแกรนิตเป็นหินที่มีปริมาณยูเรเนียมตามธรรมชาติค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหินชนิดอื่น
· จังหวัดในภาคเหนือที่มีการกระจายตัวของหินแกรนิตอย่างกว้างขวาง ได้แก่
· จังหวัดเชียงใหม่ (โดยเฉพาะอำเภอรอบๆ #เทือกเขาดอยสุเทพ ซึ่งเป็นภูเขาหินแกรนิต)
· จังหวัดลำพูน
· จังหวัดลำปาง
· จังหวัดแพร่
· จังหวัดน่าน
2. #หินฟอสเฟต (Phosphate Rocks):
· หินฟอสเฟตมักมีสัดส่วนของยูเรเนียมสูง
· พบได้ในบางพื้นที่ของ จังหวัดตาก และ จังหวัดอุตรดิตถ์
ผมประเมินจากปัจจัยทางธรณีวิทยา จังหวัดในแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน และจังหวัดที่อยู่ในแนวหินแกรนิตเช่น แพร่ น่าน ลำปาง อาจเป็นพื้นที่ที่ควรให้ความสนใจในการตรวจวัดก๊าซเรดอน
ข้อควรระวัง
1. ความไม่แน่นอนสูง: การมีหินแกรนิตไม่ได้หมายความว่าทุกบ้านในจังหวัดนั้นจะมีความเข้มข้นของเรดอนสูงเสมอไป ระดับความเข้มข้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะจุดมาก เช่น รอยแตกของหินใต้บ้าน, การระบายอากาศของตัวอาคาร, วิธีการก่อสร้าง ฯลฯ บ้านสองหลังที่อยู่ติดกันอาจมีระดับเรดอนที่แตกต่างกันมาก
2. ยังไม่มีข้อมูลระดับชาติ: ประเทศไทยยังไม่มี "แผนที่ความเสี่ยงก๊าซเรดอน (Radon Risk Map)" เหมือนในหลายประเทศในยุโรปหรืออเมริกาเหนือ ดังนั้นการประเมินทั้งหมดจึงยังคงอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีทางธรณีวิทยาเป็นหลัก
3. อันตรายเกิดขึ้นเมื่อก๊าซสะสมในอาคาร: ก๊าซเรดอนที่กระจายอยู่ในอากาศภายนอกมีความเข้มข้นต่ำและไม่เป็นอันตราย ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อมันถูกกักเก็บและสะสมความเข้มข้นภายในอาคารปิด เช่น บ้าน สำนักงาน โรงเรียน
คำแนะนำในทางปฏิบัติ
แทนที่จะกังวลกับว่าพื้นที่ใดมีเรดอนมากที่สุด คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่อาศัยในภาคเหนือ หรือที่ใดก็ตามในไทย คือ
1. ตรวจวัดด้วยตัวเอง: นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าบ้านหรือที่ทำงานของคุณมีระดับก๊าซเรดอนสูงเกินมาตรฐานหรือไม่ สามารถหาซื้อ "ชุดตรวจวัดก๊าซเรดอน (Radon Test Kit)" ได้ทางออนไลน์ หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับรังสีเพื่อขอคำปรึกษา
2. ป้องกันไว้เสมอ: ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจังหวัดไหน การป้องกันการสะสมของก๊าซเรดอนในบ้านเป็นสิ่งที่ดีเสมอ โดยการ เพิ่มการระบายอากาศ ในบ้านโดยเฉพาะชั้นล่างและชั้นใต้ดินเป็นประจำ
ลอย ชุนพงษ์ทอง เรียบเรียง 20 ตุลาคม 2025
เครดิต อาจารย์ ลอย
ภัยเงียบที่มองไม่เห็น มะเร็งปอด
คนเหนือที่ไม่สูบบุหรี่ ก็เป็น #มะเร็งปอด เพราะ #ก๊าซเรดอน เป็นภัยเงียบที่มองไม่เห็น วิธีจัดการที่ดีที่สุดคือ อ่านให้จบ
เรดอน (Rn-222) เป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดขึ้นจากการสลายตัวของเรเดียม (Radium) ซึ่งเป็นลูกหลานของยูเรเนียม (Uranium) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในหินและดิน มันสามารถซึมผ่านพื้นดินและแพร่เข้าสู่บรรยากาศหรือเข้าไปสะสมในอาคารได้
1. การสูดดม (Inhalation): เราไม่สามารถมองเห็นหรือได้กลิ่นเรดอน จึงสูดมันเข้าไปในปอดโดยไม่รู้ตัว
2. การสลายตัวในปอด (Decay in the Lungs): เมื่ออยู่ในปอด ก๊าซเรดอนจะสลายตัวต่อไปกลายเป็นธาตุลูก (Daughter Products) เช่น พอโลเนียม (Polonium-218, Polonium-214) ซึ่งเป็นโลหะหนักและกัมมันตรังสี
3. การติดค้างและปล่อย Alpha Particles: ธาตุโลหะเหล่านี้จะเกาะติดอยู่ที่เนื้อเยื่อปอดอย่างเหนียวแน่น และจากนั้นก็จะปล่อย Alpha Particles ออกมาอย่างต่อเนื่อง
4. การทำลาย DNA ของเซลล์ปอด: พลังงานสูงของ Alpha Particles นี้จะทำให้เกิด Ionization ในเซลล์ปอด โดยตรงและผ่านการสร้าง Free Radicals ซึ่งทำลายสาย DNA
5. การกลายพันธุ์และมะเร็ง: เมื่อ DNA ถูกทำลายซ้ำๆ โดยเฉพาะในเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว ความผิดปกติหรือการกลายพันธุ์ (Mutation) ก็เกิดขึ้น สุดท้ายนำไปสู่การเกิด มะเร็งปอด
· ก๊าซเรดอนเป็น สาเหตุอันดับสองของมะเร็งปอด รองจากการสูบบุหรี่ ส่วน ฝุ่น PM 2.5 เป็นอันดับ 3
· สำหรับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ การสัมผัสก๊าซเรดอนเป็นสาเหตุหลักอันดับหนึ่งของมะเร็งปอด
· ความเสี่ยงจะสูงขึ้นอย่างมากในผู้ที่สูบบุหรี่ และสัมผัสก๊าซเรดอนพร้อมกัน เนื่องจากมีผลเสริมกัน (Synergistic Effect)
วิธีการป้องกัน (Radon Mitigation)
โชคดีที่เราสามารถป้องกันและลดระดับความเข้มข้นของก๊าซเรดอนในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 1: การตรวจวัด (Testing) – สำคัญที่สุด!
เนื่องจากเรดอนเป็นก๊าซที่ตรวจจับได้ยาก วิธีเดียวที่จะรู้ว่าบ้านเรามีความเสี่ยงหรือไม่คือการตรวจวัด
· ชุดทดสอบระยะสั้น (Short-Term Test): ใช้เวลา 2-7 วัน เพื่อประเมินระดับเรดอนเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว
· ชุดทดสอบระยะยาว (Long-Term Test): ใช้เวลา 90 วันขึ้นไป ให้ผลที่แม่นยำกว่าเพราะคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและสภาพอากาศ
ขั้นตอนที่ 2: การลดระดับเรดอน (Radon Reduction)
หากระดับเรดอนสูงเกินค่ามาตรฐาน(โดยทั่วไปคือ 4 pCi/L หรือ 148 Bq/m³) ต้องดำเนินการลดระดับ ซึ่งวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ
1. ระบบลดความดันใต้พื้นบ้าน (Active Soil Depressurization - ASD)
นี่เป็นวิธีมาตรฐานทองคำ(Gold Standard) โดยการติดตั้งท่อ PVC ผ่านแผ่นพื้นคอนกรีตลงไปในดินใต้บ้าน และใช้พัดลมดูดอากาศ (Fan) ที่ติดตั้งบนชายคาด้านนอก คอยดูดก๊าซเรดอนจากใต้ดินขึ้นมาและปล่อยออกสู่บรรยากาศด้านนอก ก่อน ที่มันจะซึมเข้าบ้าน
· วิธีนี้สามารถลดระดับเรดอนได้ 50% ถึง 99%
2. วิธีการเสริมอื่นๆ:
· การอุดรอยรั่ว (Sealing Cracks): อุดรอยแตกบนพื้นและผนังคอนกรีต รอยรอบท่อสาธารณูปโภค แต่วิธีนี้ควรทำควบคู่กับการติดตั้งระบบ ASD เท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้เพียงอย่างเดียว
· การเพิ่มการระบายอากาศ (Increasing Ventilation): เปิดหน้าต่างให้บ่อยขึ้น หรือติดตั้งระบบระบายอากาศโดยเฉพาะในพื้นที่ชั้นใต้ดิน
· การติดตั้งระบบระบายอากาศในชั้นใต้ดิน (Sub-Slab Depressurization): สำหรับบ้านที่มีชั้นใต้ดิน
3. การป้องกันตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง (Pre-Construction)
สำหรับการสร้างบ้านใหม่ควรออกแบบและติดตั้ง ระบบป้องกันเรดอน ไว้ล่วงหน้า เช่น วางท่อและชั้นป้องกันก๊าซ (Gas Permeable Layer) ใต้พื้นบ้าน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่สูงและมีประสิทธิภาพมาก
จากการค้นหาข้อมูลล่าสุด ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลจากการตรวจวัดอย่างเป็นทางการที่ระบุชัดเจนว่า จังหวัดหรืออำเภอใดในภาคเหนือของไทยมีก๊าซเรดอนสะสม "มากที่สุด" อย่างเจาะจง
การจะระบุพื้นที่ได้จำเป็นต้องมีการสำรวจและวัดระดับความเข้มข้นของก๊าซเรดอนอย่างเป็นระบบและกว้างขวาง ซึ่ง #ยังไม่มีการดำเนินการในลักษณะนี้ในประเทศไทยอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เราสามารถ ประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นจากสภาพทางธรณีวิทยา ได้ ดังนี้
พื้นที่ที่อาจมีศักยภาพในการเกิดก๊าซเรดอนสูง
ปัจจัยหลักที่ทำให้พื้นที่หนึ่งมีก๊าซเรดอนสูงคือ การที่มีหินต้นกำเนิด (Source Rock) ที่มีธาตุยูเรเนียมหรือเรเดียมสูงอยู่ใต้พื้นดิน ในภาคเหนือของไทย หินประเภทที่มีศักยภาพเหล่านี้ได้แก่
1. #หินแกรนิต (Granite):
· หินแกรนิตเป็นหินที่มีปริมาณยูเรเนียมตามธรรมชาติค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหินชนิดอื่น
· จังหวัดในภาคเหนือที่มีการกระจายตัวของหินแกรนิตอย่างกว้างขวาง ได้แก่
· จังหวัดเชียงใหม่ (โดยเฉพาะอำเภอรอบๆ #เทือกเขาดอยสุเทพ ซึ่งเป็นภูเขาหินแกรนิต)
· จังหวัดลำพูน
· จังหวัดลำปาง
· จังหวัดแพร่
· จังหวัดน่าน
2. #หินฟอสเฟต (Phosphate Rocks):
· หินฟอสเฟตมักมีสัดส่วนของยูเรเนียมสูง
· พบได้ในบางพื้นที่ของ จังหวัดตาก และ จังหวัดอุตรดิตถ์
ผมประเมินจากปัจจัยทางธรณีวิทยา จังหวัดในแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน และจังหวัดที่อยู่ในแนวหินแกรนิตเช่น แพร่ น่าน ลำปาง อาจเป็นพื้นที่ที่ควรให้ความสนใจในการตรวจวัดก๊าซเรดอน
ข้อควรระวัง
1. ความไม่แน่นอนสูง: การมีหินแกรนิตไม่ได้หมายความว่าทุกบ้านในจังหวัดนั้นจะมีความเข้มข้นของเรดอนสูงเสมอไป ระดับความเข้มข้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะจุดมาก เช่น รอยแตกของหินใต้บ้าน, การระบายอากาศของตัวอาคาร, วิธีการก่อสร้าง ฯลฯ บ้านสองหลังที่อยู่ติดกันอาจมีระดับเรดอนที่แตกต่างกันมาก
2. ยังไม่มีข้อมูลระดับชาติ: ประเทศไทยยังไม่มี "แผนที่ความเสี่ยงก๊าซเรดอน (Radon Risk Map)" เหมือนในหลายประเทศในยุโรปหรืออเมริกาเหนือ ดังนั้นการประเมินทั้งหมดจึงยังคงอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีทางธรณีวิทยาเป็นหลัก
3. อันตรายเกิดขึ้นเมื่อก๊าซสะสมในอาคาร: ก๊าซเรดอนที่กระจายอยู่ในอากาศภายนอกมีความเข้มข้นต่ำและไม่เป็นอันตราย ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อมันถูกกักเก็บและสะสมความเข้มข้นภายในอาคารปิด เช่น บ้าน สำนักงาน โรงเรียน
คำแนะนำในทางปฏิบัติ
แทนที่จะกังวลกับว่าพื้นที่ใดมีเรดอนมากที่สุด คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่อาศัยในภาคเหนือ หรือที่ใดก็ตามในไทย คือ
1. ตรวจวัดด้วยตัวเอง: นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าบ้านหรือที่ทำงานของคุณมีระดับก๊าซเรดอนสูงเกินมาตรฐานหรือไม่ สามารถหาซื้อ "ชุดตรวจวัดก๊าซเรดอน (Radon Test Kit)" ได้ทางออนไลน์ หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับรังสีเพื่อขอคำปรึกษา
2. ป้องกันไว้เสมอ: ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจังหวัดไหน การป้องกันการสะสมของก๊าซเรดอนในบ้านเป็นสิ่งที่ดีเสมอ โดยการ เพิ่มการระบายอากาศ ในบ้านโดยเฉพาะชั้นล่างและชั้นใต้ดินเป็นประจำ
ลอย ชุนพงษ์ทอง เรียบเรียง 20 ตุลาคม 2025
เครดิต อาจารย์ ลอย