ใกล้วันแม่แล้ว เขียนถึงคุณแม่ทุกคน
แม่ขั้นที่ 1 อุ้มท้อง
ด้วยธรรมชาติแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีข้อเสียเปรียบผู้ชาย ไม่ว่าจะด้านสรีระที่เสียเปรียบ จิตใจที่มักจะอ่อนโยนกว่า ใจดีกว่า แถมเป็นเพศที่ต้องตั้งครรภ์ลูกอีกด้วย สำหรับ 9 เดือนแห่งการอุ้มท้องผู้หญิงก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งที่เปราะบางแต่ยังต้องรับภาระอุ้มท้องอีกต่างหาก ระหว่างเวลาแต่ละช่วง ต้องรับผิดชอบ ทั้งชีวิตตัวเองและลูก ห้ามกินโน่น ห้ามทำนี่ ระวังยิ่งนัก จะเดิน จะนั่ง จะนอน แค่คิดก็รู้แล้วว่า ลำบากครับ คนเป็นลูกมีใครเคยคิดเรื่องพวกนี้บ้างมั้ยหนอ ถ้าตัวเองยังไม่ได้เคยตั้งท้อง ผมว่าตรงๆนะ แทบไม่มี นี่ละครับ แม่ ทำหน้าที่รับภาระหนักแต่ลูกไม่เคยรู้เลย ยกเว้น ลูกสาวที่จะรู้ก็ตอนตัวเองท้องนั่นแหล่ะครับ
แม่ขั้นที่ 2 เลี้ยงลูกอ่อน
ขั้นตอนนี้ คุณพ่อหลายคนได้ร่วมด้วยกับการเลี้ยงลูกอ่อน อย่างแรกเลย ไม่รู้ว่า ลูกจะเอาอะไร ร้องทีไร หิวนมหรือ ฉี่หรือ รึว่า จะให้อุ้ม ตกลงเอาอะไร ? พูดก็ไม่ได้ อ้อแอ้ๆ ดึกๆนี่ ไม่ได้เลย ชอบร้องนัก จะชงนมให้กินก็้องไม่ร้อนไป ไม่เย็นไป จะอุ้มแต่ละที ก็ต้องระมัดระวัง จะอาบน้ำก็ต้องค่อยๆ ทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าอ้อม เลือกนมผง ล้างขวดนม ซักที่นอน เผลอแป๊ปเดียวโตแล้วอ้าว ซื้อเสื้อผ้าใหม่อีก ลูกๆไม่รู้หรอกครับ ว่าแม่เหนื่อยแค่ไหน กว่าจะเลี้ยงลูกให้รอดจนโตมาพูดได้ เดินได้นี่
แม่ขั้นที่ 3 เด็กเล็ก
พอเริ่มพูดได้เดินได้ เริ่มวิ่งซี้ซั้ว เริ่มจำคำหยาบ เข้าอนุบาลหรือประถม ต้องหาค่าใช้จ่ายสารพัด ชุดนักเรียน ค่าเทอม ของเล่น รับ ส่ง ค่าขนม จนบางครั้งเจอเด็กเกเรกับพ่อแม่มากๆ ตามห้าง วันก่อนผมเห็น ลงไปดิ้นกับพื้น แต่มองไม่เห็นตัวพ่อแม่นะ ผมก็มองไปรอบๆ เด็กประมาณ 4 ขวบ ร้องแล้วมองมาที่ผมที่ยืนเลือกของอยู่ แต่ดูเหมือนเด็กไม่ได้มีท่าทีกลัวแบบหลงกับพ่อแม่เลยน่ะครับ ผมก็เลยมองรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร แต่ผมก็ปล่อยให้ดิ้นอย่างนั้นละครับ จนสุดท้าย ผมชักรู้สึกว่าเด็ก มองมาที่ผม เหมือนอยากให้เข้าไปหา ผมเลยมอง ดุๆ ไปหนึ่งที เด็กหน้าเสียเลย แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงนาที เด็กก็ลุกเดินเองได้ครับ ผมจึงเห็นว่า อ่อ แม่เด็กคือใคร แม่เด็กมีเดินมาบอกผมด้วยนะ ( เขาคงมองผมอยู่ ) ว่า ต้องดัดนิสัยลูก ผมก็ยิ้มแห่ะๆ แต่ก็นึกในใจ ตอนเด็ก ผมน่ะยิ่งกว่านี้อีก เห็นพ่อแม่ ขึ้นรถขับออกไป ผมยังดิ้นอยู่เลย ที่สวนลุมน่ะ แต่สุดท้าย โดนหิ้วขึ้นรถกลับบ้านจบ
ยังมีอีกกรณีนึง ที่ห้างเดียวกัน ผมก็ไปหาของกินตามประสาแถวบ้านจอดรถยาก กินในห้างนี้ละ เข้าลิฟท์ปุ๊ป เจอนี่ละครับ เด็กตัวเตี้ยประมาณ เอวผม เด็กผู้หญิง คนเดียวในลิฟท์ ผมถามทันทีว่า เฮ้ย แม่อยู่ไหนนี่ เด็กบอกว่า แม่อยู่ชั้น 4 แต่ตอนนั้น ลิฟท์ลงครับ ลงไปชั้นล่าง ผมอยุ่ชั้น 2 จะไปฟาสท์ฟู้ดชั้น G พอลิฟท์จอดชั้น 1 เด็กก็คือเด็กทำท่าจะออกจากลิฟท์ ผมก็ดึงไว้ พอถึงชั้น G ก็ดึงไว้อีกรอบ จนลิฟท์ขึ้น มีคนเข้ามาคนนึง เขายิ้มนึกว่าเด็กเป็นลูกผมมั้ง ผมก็ยืนอยุ่กับเด็กนี่ละ แต่ไม่จูงมือไม่จับตัวเด็กนะ พอถึงชั้น 3 คนออก แล้วผมก็ต้องดึงเด็กไว้อีกรอบ จนถึงชั้น 4 ลิฟท์เปิด ปรากฎว่า แม่เด็ก ยืนรอ แล้วเด็กก็วิ่งไปหาแม่ทันที ผมดูปั๊ปก็รู้ว่า เจอแม่ละ ผมกดปุ่มเปิดลิฟท์ไว้จนแน่ใจว่า ใช่แล้วนะ ผมก็กดลงไม่ได้คุยอะไร แม่เด็กน่ะ ตอนนั้นท่าทางดีใจมาก กว่าจะเงยหน้ามามองผมก็ลิฟท์ใกล้ปิดสนิทแล้ว
ปล แม่เด็กสวยแต่ตอนที่เห็น นอกจากเด็กที่อยู่ในลิฟท์กับผมวิ่งไปหาแล้ว แม่ก็ยังมีลูกสาวตัวเล็กๆอีกคนที่จูงมือไว้ แหม ลองนึกนะ ทำลูกหายในห้าง เขาจะใจเสียแค่ไหน แต่ผมก็สบายใจ
ขั้นที่ 4 เลี้ยงเด็กโต ( วัยรุ่น )
ไม่ต้องสาธยายกันมาก เด็กวัยรุ่น จะสร้างความปวดเศียรเวียนกระหม่อมให้พ่อแม่ได้มากขนาดไหน ตัวก็โต ความลับเริ่มเยอะ ไปไหน มาไหนไม่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ วันๆ รับสาระดี หรือสิ่งไม่ดีเข้าไปหล่อหลอมจิตใจ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ทั้งที่ยังต้องขอเงินพ่อแม่ไปโรงเรียน จ่ายค่าเทอม ค่าขนม ค่าเดินทาง เหมือนเดิม เด็กสักกี่คนบนโลกนี้ ที่จะอยุ่ในวัยรุ่นแล้วมานั่งคิดว่า พ่อแม่ต้องลำบาก อดทนขนาดไหน ต้องไปทำงานเจอเรื่องงี่เง่าสารพัด ก็ลาออกไม่ได้ เพราะต้องส่งเสียลูกเรียนนี่เอง ขณะที่เด็กวัยนี้ บางคนพร้อมจะใช้คำพูดและน้ำเสียง ตอบโต้พ่อแม่แบบไม่ต้องคิดเลย และไม่เคยคิดด้วยสำหรับบางคนว่า พ่อแม่ จะอดทนเลี้ยงตั้งแต่เกิดมาจนโตหมาเลียตูดไม่ถึงขนาดนี้ เพราะอะไร ?
ขั้นที่ 5 ลูกทำงานแล้ว
เป็นเรื่องธรรมชาติคนเราต้องทำงาน เรียนจบแล้วก็ต้องทำงาน แต่เด็กบางคนไม่สามารถหางานได้ หรือ บางคนก็ต้องรอเวลา ระหว่างนั้น พ่อแม่ก็ยังเลี้ยงดูต่อ เหมือนเดิม ยกเว้นค่าเทอม แต่ค่ากิน ค่าเสื้อผ้า ค่าเดินทางไปสมัครงาน บางคนจบมาเป็นปี บางคนก็มากกว่านั้น พอได้งาน ผมไม่แน่ใจว่ามีกี่คนให้เงินแม่ หรือพ่อบ้าง ? แล้วสิ่งสำคัญของเขาคือ เพื่อนร่วมงาน สังคม มากกว่าครอบครัวแน่นอน ไม่ว่าจะทำงานใหม่ๆ หรือทำไปหลายปี บางคนย้ายออกไปพักนอกบ้านเพื่อทำงานสะดวก เผลอแปีปเดียว มีครอบครัวไม่กลับมาบ้านอีกเลย บางคนปีนึงมาเยี่ยมแม่ที บางคนหลายปีกลับมาครั้ง ปล่อยแม่ อยู่คนเดียวก็มี เจ็บป่วยบางคนอาจมาดูแล ถ้ามีพี่น้องหลายคน อาจมีเกี่ยงกันมาดูแล ถ้าต้องหาหมอ ก็เกี่ยงกันจ่ายเงิน แต่ถ้าสบายดีมีเงิน ก็แย่งกันมาขอเงินแม่ จะบอกว่า ละครน้ำเน่า ก็เอาชีวิตจริงคนมาสร้างนี่ละครับ ไม่ได้จินตนาการหรือสร้างเสริมเติมแต่งมากมายอะไร
วันแม่ หลายครอบครัวมีคุณแม่ให้กอด ลูกที่ดีๆ ยังมีอีกเยอะ ที่ดูแลทั้งแม่ และพ่อ ไม่ว่าจะตั้งแต่ ยังเล็กเรียนประถม หรือ มัธยม จนมหาวิทยาลัย และทำงาน ก็สนิทกับแม่ คนเหล่านี้ถือว่าโชคดี ทั้งแม่ทั้งลูก วันแม่ก็พาแม่ไปทานข้าวนอกบ้านบ้าง ไปเที่ยวไกลๆบ้าง ตามแต่กำลังทรัพย์แต่ละคนจะมี
แต่ก็ยังมีคุณแม่อีกหลายคน ไม่ได้โชคดีแบบนั้น ลูกในทุกกช่วงอายุ ตั้งแต่เกิด ประถม มัธยม มหาฯลัย ทำงานแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า แม่ทำอะไรให้ตัวเองบ้าง ถึงได้มีวันนี้ ส่วนใหญ่มักจะสายเกินไปกว่าคนพวกนี้จะรุ้ว่า วันแม่ ไม่ได้มีแค่ปีละวัน วันแม่สากล หรือ วันแม่แห่งชาติ แทบไม่ต้องมีเลย ถ้าลูกรู้ว่าแม่ทำอะไรเพื่อลูกบ้าง ที่ผ่านมา แต่ความจริงโหดร้าย เพราะ ทั้งเด็กเล็กจนถึงวัยผู้ใหญ่หลายคนไม่รู้ว่า ต้องปฏบัติกับแม่อย่างไร แม้ไม่ใช่วันแม่
ก็แค่เจอกันบ่อยๆ ให้แม่กอดบ้าง กินข้าวที่บ้านด้วยกันก็ได้ คุยกับแม่เรื่องต่างๆ พาแม่ไปไหนๆบ้าง ดูแลยามเจ็บป่วย ไม่ทิ้งให้ท่านเหงา ไม่ทิ้งให้ท่านลำพัง เพราะแม่ ก็หวังแค่นั้นตอบแทน ซึ่งมันคงจะเทียบเป็น เพียง 1 ใน 100 เท่าที่แม่ทุ่มเททำให้ลูกแต่ละคน เพราะถ้าแม่ไม่รักแล้ว คงไม่อดทนสารพัดทำเพื่อลูกทุกอย่าง เพราะหวังอย่างเดียวว่า ลูกจะได้ดี ก็แค่นั้นเอง
สุดท้าย ผมขอให้วันแม่เป็นวันที่ลูกๆคิดได้ว่า แม่นั้นทำอะไรให้เราบ้างในตลอดเวลาจนถึงนาทีนี้ และอะไรคือสิ่งที่แม่ต้องทำเช่นนั้น และควรปฏิบัติกับคุณแม่อย่างไร และทำดีกับแม่ได้ แม้ไม่ใช่วันแม่ก็ตาม
วันแม่ ....
แม่ขั้นที่ 1 อุ้มท้อง
ด้วยธรรมชาติแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีข้อเสียเปรียบผู้ชาย ไม่ว่าจะด้านสรีระที่เสียเปรียบ จิตใจที่มักจะอ่อนโยนกว่า ใจดีกว่า แถมเป็นเพศที่ต้องตั้งครรภ์ลูกอีกด้วย สำหรับ 9 เดือนแห่งการอุ้มท้องผู้หญิงก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งที่เปราะบางแต่ยังต้องรับภาระอุ้มท้องอีกต่างหาก ระหว่างเวลาแต่ละช่วง ต้องรับผิดชอบ ทั้งชีวิตตัวเองและลูก ห้ามกินโน่น ห้ามทำนี่ ระวังยิ่งนัก จะเดิน จะนั่ง จะนอน แค่คิดก็รู้แล้วว่า ลำบากครับ คนเป็นลูกมีใครเคยคิดเรื่องพวกนี้บ้างมั้ยหนอ ถ้าตัวเองยังไม่ได้เคยตั้งท้อง ผมว่าตรงๆนะ แทบไม่มี นี่ละครับ แม่ ทำหน้าที่รับภาระหนักแต่ลูกไม่เคยรู้เลย ยกเว้น ลูกสาวที่จะรู้ก็ตอนตัวเองท้องนั่นแหล่ะครับ
แม่ขั้นที่ 2 เลี้ยงลูกอ่อน
ขั้นตอนนี้ คุณพ่อหลายคนได้ร่วมด้วยกับการเลี้ยงลูกอ่อน อย่างแรกเลย ไม่รู้ว่า ลูกจะเอาอะไร ร้องทีไร หิวนมหรือ ฉี่หรือ รึว่า จะให้อุ้ม ตกลงเอาอะไร ? พูดก็ไม่ได้ อ้อแอ้ๆ ดึกๆนี่ ไม่ได้เลย ชอบร้องนัก จะชงนมให้กินก็้องไม่ร้อนไป ไม่เย็นไป จะอุ้มแต่ละที ก็ต้องระมัดระวัง จะอาบน้ำก็ต้องค่อยๆ ทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าอ้อม เลือกนมผง ล้างขวดนม ซักที่นอน เผลอแป๊ปเดียวโตแล้วอ้าว ซื้อเสื้อผ้าใหม่อีก ลูกๆไม่รู้หรอกครับ ว่าแม่เหนื่อยแค่ไหน กว่าจะเลี้ยงลูกให้รอดจนโตมาพูดได้ เดินได้นี่
แม่ขั้นที่ 3 เด็กเล็ก
พอเริ่มพูดได้เดินได้ เริ่มวิ่งซี้ซั้ว เริ่มจำคำหยาบ เข้าอนุบาลหรือประถม ต้องหาค่าใช้จ่ายสารพัด ชุดนักเรียน ค่าเทอม ของเล่น รับ ส่ง ค่าขนม จนบางครั้งเจอเด็กเกเรกับพ่อแม่มากๆ ตามห้าง วันก่อนผมเห็น ลงไปดิ้นกับพื้น แต่มองไม่เห็นตัวพ่อแม่นะ ผมก็มองไปรอบๆ เด็กประมาณ 4 ขวบ ร้องแล้วมองมาที่ผมที่ยืนเลือกของอยู่ แต่ดูเหมือนเด็กไม่ได้มีท่าทีกลัวแบบหลงกับพ่อแม่เลยน่ะครับ ผมก็เลยมองรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร แต่ผมก็ปล่อยให้ดิ้นอย่างนั้นละครับ จนสุดท้าย ผมชักรู้สึกว่าเด็ก มองมาที่ผม เหมือนอยากให้เข้าไปหา ผมเลยมอง ดุๆ ไปหนึ่งที เด็กหน้าเสียเลย แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงนาที เด็กก็ลุกเดินเองได้ครับ ผมจึงเห็นว่า อ่อ แม่เด็กคือใคร แม่เด็กมีเดินมาบอกผมด้วยนะ ( เขาคงมองผมอยู่ ) ว่า ต้องดัดนิสัยลูก ผมก็ยิ้มแห่ะๆ แต่ก็นึกในใจ ตอนเด็ก ผมน่ะยิ่งกว่านี้อีก เห็นพ่อแม่ ขึ้นรถขับออกไป ผมยังดิ้นอยู่เลย ที่สวนลุมน่ะ แต่สุดท้าย โดนหิ้วขึ้นรถกลับบ้านจบ
ยังมีอีกกรณีนึง ที่ห้างเดียวกัน ผมก็ไปหาของกินตามประสาแถวบ้านจอดรถยาก กินในห้างนี้ละ เข้าลิฟท์ปุ๊ป เจอนี่ละครับ เด็กตัวเตี้ยประมาณ เอวผม เด็กผู้หญิง คนเดียวในลิฟท์ ผมถามทันทีว่า เฮ้ย แม่อยู่ไหนนี่ เด็กบอกว่า แม่อยู่ชั้น 4 แต่ตอนนั้น ลิฟท์ลงครับ ลงไปชั้นล่าง ผมอยุ่ชั้น 2 จะไปฟาสท์ฟู้ดชั้น G พอลิฟท์จอดชั้น 1 เด็กก็คือเด็กทำท่าจะออกจากลิฟท์ ผมก็ดึงไว้ พอถึงชั้น G ก็ดึงไว้อีกรอบ จนลิฟท์ขึ้น มีคนเข้ามาคนนึง เขายิ้มนึกว่าเด็กเป็นลูกผมมั้ง ผมก็ยืนอยุ่กับเด็กนี่ละ แต่ไม่จูงมือไม่จับตัวเด็กนะ พอถึงชั้น 3 คนออก แล้วผมก็ต้องดึงเด็กไว้อีกรอบ จนถึงชั้น 4 ลิฟท์เปิด ปรากฎว่า แม่เด็ก ยืนรอ แล้วเด็กก็วิ่งไปหาแม่ทันที ผมดูปั๊ปก็รู้ว่า เจอแม่ละ ผมกดปุ่มเปิดลิฟท์ไว้จนแน่ใจว่า ใช่แล้วนะ ผมก็กดลงไม่ได้คุยอะไร แม่เด็กน่ะ ตอนนั้นท่าทางดีใจมาก กว่าจะเงยหน้ามามองผมก็ลิฟท์ใกล้ปิดสนิทแล้ว
ปล แม่เด็กสวยแต่ตอนที่เห็น นอกจากเด็กที่อยู่ในลิฟท์กับผมวิ่งไปหาแล้ว แม่ก็ยังมีลูกสาวตัวเล็กๆอีกคนที่จูงมือไว้ แหม ลองนึกนะ ทำลูกหายในห้าง เขาจะใจเสียแค่ไหน แต่ผมก็สบายใจ
ขั้นที่ 4 เลี้ยงเด็กโต ( วัยรุ่น )
ไม่ต้องสาธยายกันมาก เด็กวัยรุ่น จะสร้างความปวดเศียรเวียนกระหม่อมให้พ่อแม่ได้มากขนาดไหน ตัวก็โต ความลับเริ่มเยอะ ไปไหน มาไหนไม่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ วันๆ รับสาระดี หรือสิ่งไม่ดีเข้าไปหล่อหลอมจิตใจ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ทั้งที่ยังต้องขอเงินพ่อแม่ไปโรงเรียน จ่ายค่าเทอม ค่าขนม ค่าเดินทาง เหมือนเดิม เด็กสักกี่คนบนโลกนี้ ที่จะอยุ่ในวัยรุ่นแล้วมานั่งคิดว่า พ่อแม่ต้องลำบาก อดทนขนาดไหน ต้องไปทำงานเจอเรื่องงี่เง่าสารพัด ก็ลาออกไม่ได้ เพราะต้องส่งเสียลูกเรียนนี่เอง ขณะที่เด็กวัยนี้ บางคนพร้อมจะใช้คำพูดและน้ำเสียง ตอบโต้พ่อแม่แบบไม่ต้องคิดเลย และไม่เคยคิดด้วยสำหรับบางคนว่า พ่อแม่ จะอดทนเลี้ยงตั้งแต่เกิดมาจนโตหมาเลียตูดไม่ถึงขนาดนี้ เพราะอะไร ?
ขั้นที่ 5 ลูกทำงานแล้ว
เป็นเรื่องธรรมชาติคนเราต้องทำงาน เรียนจบแล้วก็ต้องทำงาน แต่เด็กบางคนไม่สามารถหางานได้ หรือ บางคนก็ต้องรอเวลา ระหว่างนั้น พ่อแม่ก็ยังเลี้ยงดูต่อ เหมือนเดิม ยกเว้นค่าเทอม แต่ค่ากิน ค่าเสื้อผ้า ค่าเดินทางไปสมัครงาน บางคนจบมาเป็นปี บางคนก็มากกว่านั้น พอได้งาน ผมไม่แน่ใจว่ามีกี่คนให้เงินแม่ หรือพ่อบ้าง ? แล้วสิ่งสำคัญของเขาคือ เพื่อนร่วมงาน สังคม มากกว่าครอบครัวแน่นอน ไม่ว่าจะทำงานใหม่ๆ หรือทำไปหลายปี บางคนย้ายออกไปพักนอกบ้านเพื่อทำงานสะดวก เผลอแปีปเดียว มีครอบครัวไม่กลับมาบ้านอีกเลย บางคนปีนึงมาเยี่ยมแม่ที บางคนหลายปีกลับมาครั้ง ปล่อยแม่ อยู่คนเดียวก็มี เจ็บป่วยบางคนอาจมาดูแล ถ้ามีพี่น้องหลายคน อาจมีเกี่ยงกันมาดูแล ถ้าต้องหาหมอ ก็เกี่ยงกันจ่ายเงิน แต่ถ้าสบายดีมีเงิน ก็แย่งกันมาขอเงินแม่ จะบอกว่า ละครน้ำเน่า ก็เอาชีวิตจริงคนมาสร้างนี่ละครับ ไม่ได้จินตนาการหรือสร้างเสริมเติมแต่งมากมายอะไร
วันแม่ หลายครอบครัวมีคุณแม่ให้กอด ลูกที่ดีๆ ยังมีอีกเยอะ ที่ดูแลทั้งแม่ และพ่อ ไม่ว่าจะตั้งแต่ ยังเล็กเรียนประถม หรือ มัธยม จนมหาวิทยาลัย และทำงาน ก็สนิทกับแม่ คนเหล่านี้ถือว่าโชคดี ทั้งแม่ทั้งลูก วันแม่ก็พาแม่ไปทานข้าวนอกบ้านบ้าง ไปเที่ยวไกลๆบ้าง ตามแต่กำลังทรัพย์แต่ละคนจะมี
แต่ก็ยังมีคุณแม่อีกหลายคน ไม่ได้โชคดีแบบนั้น ลูกในทุกกช่วงอายุ ตั้งแต่เกิด ประถม มัธยม มหาฯลัย ทำงานแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า แม่ทำอะไรให้ตัวเองบ้าง ถึงได้มีวันนี้ ส่วนใหญ่มักจะสายเกินไปกว่าคนพวกนี้จะรุ้ว่า วันแม่ ไม่ได้มีแค่ปีละวัน วันแม่สากล หรือ วันแม่แห่งชาติ แทบไม่ต้องมีเลย ถ้าลูกรู้ว่าแม่ทำอะไรเพื่อลูกบ้าง ที่ผ่านมา แต่ความจริงโหดร้าย เพราะ ทั้งเด็กเล็กจนถึงวัยผู้ใหญ่หลายคนไม่รู้ว่า ต้องปฏบัติกับแม่อย่างไร แม้ไม่ใช่วันแม่
ก็แค่เจอกันบ่อยๆ ให้แม่กอดบ้าง กินข้าวที่บ้านด้วยกันก็ได้ คุยกับแม่เรื่องต่างๆ พาแม่ไปไหนๆบ้าง ดูแลยามเจ็บป่วย ไม่ทิ้งให้ท่านเหงา ไม่ทิ้งให้ท่านลำพัง เพราะแม่ ก็หวังแค่นั้นตอบแทน ซึ่งมันคงจะเทียบเป็น เพียง 1 ใน 100 เท่าที่แม่ทุ่มเททำให้ลูกแต่ละคน เพราะถ้าแม่ไม่รักแล้ว คงไม่อดทนสารพัดทำเพื่อลูกทุกอย่าง เพราะหวังอย่างเดียวว่า ลูกจะได้ดี ก็แค่นั้นเอง
สุดท้าย ผมขอให้วันแม่เป็นวันที่ลูกๆคิดได้ว่า แม่นั้นทำอะไรให้เราบ้างในตลอดเวลาจนถึงนาทีนี้ และอะไรคือสิ่งที่แม่ต้องทำเช่นนั้น และควรปฏิบัติกับคุณแม่อย่างไร และทำดีกับแม่ได้ แม้ไม่ใช่วันแม่ก็ตาม