ประวัติย่อ ของนิวซีแลนด์

พอดีเราเคยไปเที่ยวนิวซีแลนด์ยาวๆ หลายวัน หลายแห่ง ไปชมทั้งธรรมชาติ อาหารการกิน ผู้คน และพิพิธภัณฑ์ ทำให้รู้สึกว่า นอกจากภาพลักษณ์ชาวกีวีที่ชอบกิจกรรมโลดโผนแล้ว ผู้คนที่นี่ยังชอบอยู่กับธรรมชาติอันสงบอบอุ่น ทั้งยังใจกว้างและเป็นมิตรต่อผู้มาเยือนอย่างเรามาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จริงๆ เรารู้สึกว่า บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยปัจจุบัน ไม่ได้เกิดขึ้นโดยคำสั่งหรือนโยบายจากใคร แต่เป็นวิวัฒนาการของสังคมที่ผ่านประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่นมาหลายชั่วคน ทำให้รู้สึกว่า ถ้าได้รู้ความเป็นมาของประเทศนี้สักเล็กน้อยก่อนไป จะเที่ยวได้สนุกขึ้น เข้าใจเรื่องราวในสถานที่ต่างๆ มากขึ้น 'อิน' กับวิถีชิวิต กับความคิด กับการปฏิบัติตัวของชาวนิวซีแลนด์ ซึ่งส่งมาถึงนักท่องเที่ยวอย่างเราได้มากขึ้นมาก เลยไปค้นคว้าแล้วสรุปย่อๆ มาแบ่งปันให้อ่านกันครับ

==========

นิวซีแลนด์นับเป็นดินแดนที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกโดยเฉพาะในแง่สังคมมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนนี้ก็คือชาวโพลีเนเซียนที่อพยพมาจากหมู่เกาะทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกในราวปี ค.ศ. 1250-1300 (ประมาณ 800 ปีมาแล้ว) ในช่วงแรกๆ ชาวเกาะเหล่านี้ก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามริมฝั่งทะเล จับปลาล่านกน้ำนกโมอาหากินไปตามสภาพแวดล้อม เมื่อล่านกโมอาไป ก็ค่อยๆ ขยับเข้าสู่ใจกลางเกาะไปเรื่อยๆ เริ่มมีการเพาะปลูกพืชพันธุ์มันและเผือกไว้กินเป็นอาหาร อยู่กันเป็นหลักแหล่ง มีเวลาประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับต่างๆ สร้างวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่ามากชึ้นเรื่อยๆ ในระยะเวลาราว 100-200 ปีต่อมาก็เกิดเป็นกลุ่มชนที่เรียกได้ว่าเป็นชาวมาวรียุคแรกๆ
 

ชาวมาวรียุคคลาสสิก

จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นขึ้นอย่างทันทีทันใดในช่วงปี ค.ศ. 1500 และแผ่นดินไหวที่เกิดบ่อยครั้งในช่วงเวลาใกล้กันรวมถึงคลื่นสึนามิที่เกิดตามมา เป็นเหตุให้ถิ่นที่อยู่ชาวมาวรีหลายแห่งถูกกวาดทำลายลงไป สัตว์หลายชนิดรวมถึงนกโมอาก็ถูกล่าจนสูญพันธุ์ไปหมดตั้งแต่ราวปี 1450 แล้ว เกิดเป็นช่วงเวลาที่ชาวมาวรีต้องอยู่กันอย่างแร้นแค้นยากลำบากมากจนทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างเผ่าต่างๆ ในหมู่ชาวมาวรีด้วยกันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรกัน นำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมแบบชนเผ่านักรบขึ้นมา มีการสร้างป้อมค่ายเพื่อป้องกันหมู่บ้าน ประดิษฐ์อาวุธต่างๆ สร้างเรือคะนูขนาดใหญ่เพื่อการสู้รบ เกิดประเพณีการกินเนื้อมนุษย์ขึ้นมา ซึ่งพิธีกรรมเต้นระบำปลุกใจให้ฮึกเหิมก่อนการออกรบ ที่เรียกว่าระบำฮะกะ (Haka Dance) ก็เกิดขึ้นในยุคนี้นั่นเอง และกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวมาวรีที่ยังคงหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ (ค.ศ. 1500 กว่าๆ) ชาวมาวรีกลุ่มหนึ่งได้อพยพไปยังหมู่เกาะชาแธม (Chatham Islands) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเกาะใต้ห่างออกไป 650 ก.ม. สร้างสรรค์วัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมาเรียกว่าชาวโมริโอริ (Moriori) โดยมีกฎการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ต่อต้านการสู้รบเพื่อแก่งแย่งกันอย่างเด็ดขาด แต่ใช้การเอื้อเฟื้อแบ่งปันร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ทำให้ชาวโมริโอริสามารถอยู่ร่วมกันบนเกาะที่มีสภาพแวดล้อมทุรกันดารมีทรัพยากรไม่มากนัก มาได้อย่างสงบสันติยาวนานกว่า 300 ปี จนกระทั่งถูกชาวมาวรีแถบทารานากิบุกมาถึงเกาะแล้วฆ่าฟันจับไปเป็นทาสเอาอย่างง่ายดายในปี 1835

การติดต่อกับชาวยุโรป

จากหลักฐานที่เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน ถือว่าชาวยุโรปคนแรกที่ได้พบกับดินแดนแห่งนี้ ก็คือ อเบล แทสมัน (Abel Tasman) นักสำรวจชาวดัตช์ผู้ที่เดินเรือมาจากเกาะชวาอ้อมไปทางตะวันตกและใต้ของทวีปออสเตรเลียเพื่อค้นหาขอบเขตทวีปด้านตะวันออก จนกระทั่งมาพบกับนิวซีแลนด์เข้าในวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1642 (ตามภาพที่วาดไว้น่าจะเป็นแถบเมืองพูนาคายคิ (Punakaiki) ในปัจจุบัน) แล้วได้แล่นเรืออ้อมเข้าไปยังบริเวณที่เป็นอ่าวโกลเดนเบย์ (Golden Bay) ในปัจจุบัน ที่ซึ่งเขาต้องสูญเสียลูกเรือไป 4 คนโดยฝีมือชาวมาวรีผู้มาอย่างไม่เป็นมิตร ก่อนที่จะต้องถอนกองเรือออกมาโดยที่ยังไม่ได้ขึ้นไปเหยียบบนแผ่นดินเลย อเบล แทสมันคือบุคคลแรกที่ริเริ่มเรียกชื่อดินแดนแห่งนี้ว่า นิวซีแลนด์ (สะกดแบบดัตช์ว่า Nieuw Zeeland)
 

ในปี 1769 กัปตันเจมส์ คุก นักสำรวจชาวอังกฤษได้แล่นเรือมาถึงเกาะเหนือบริเวณที่เป็นอ่าวพัฟเวอร์ตี (Poverty Bay) ในปัจจุบัน เขาได้สำรวจและทำแผนที่ชายฝั่งของนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่เอาไว้ ก่อนจะเดินทางกลับมาสำรวจนิวซีแลนด์อีกถึง 3 ครั้ง
 

ในระหว่างศตวรรษที่ 18 (ปีค.ศ. 1700-1799) จนถึงต้นศตวรรษที่ 19 ก็เริ่มมีชาวยุโรปหลายคนทั้งนักสำรวจ นักล่าแมวน้ำ นักล่าวาฬ และพ่อค้าวาณิช ได้แล่นเรือมาทำความรู้จักกับนิวซีแลนด์อยู่เป็นระยะๆ ส่วนชาวมาวรีบนเกาะทั้งสองก็มีการต่อสู้กันระหว่างเผ่าต่างๆ อยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน และระหว่างชาวยุโรปกับชาวมาวรีบางเผ่าก็มีการต่อสู้ฆ่าฟันกันทั้งด้วยความตั้งใจและด้วยความเข้าใจผิดกันบ้าง

ราวต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ชาวยุโรปกับชาวมาวรีเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น เริ่มจากการที่ชาวมาวรีเผ่าหนึ่งได้ใช้ปืนคาบศิลา (musket) ของชาวยุโรปในการต่อสู้กับคู่อริอีกเผ่าหนึ่ง และมิชชันนารีชาวอังกฤษได้เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์และสร้างระบบภาษาเขียนให้แก่ชาวมาวรีขึ้นมา มีการริเริ่มทำฟาร์มปศุสัตว์ทั้งแกะ วัว ม้า และเป็ดไก่ พร้อมทั้งสอนชาวมาวรีให้รู้จักเลี้ยงสัตว์และปลูกองุ่น เริ่มมีการตกลงซื้อขายที่ดินกันระหว่างชาวมาวรีกับชาวยุโรปด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนต่างๆ รวมไปถึงปืนคาบศิลา ซึ่งทำให้สงครามระหว่างเผ่าต่างๆ ดำเนินต่อไปอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น คาดคะเนกันว่ามีชาวมาวรีต้องตายไปในยุคแห่ง “สงครามปืนคาบศิลา” (Musket Wars – ค.ศ. 1805-1843) เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรชาวมาวรีราว 1 แสนคนในยุคนั้น

การตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป

ชาวยุโรปอพยพกลุ่มแรกเดินทางมาถึงเมืองเวลลิงตันในปี 1840 พร้อมกับความพยายามที่จะประกาศการครอบครองดินแดนภายใต้อำนาจของกษัตริย์อังกฤษ โดยทำข้อตกลงร่วมกับชาวมาวรีทั้งหลายว่า ด้วยการยอมรับว่าดินแดนนิวซีแลนด์นี้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ชาวมาวรีจะมีสิทธิ์ในทรัพย์สินและที่ดินของตนเอง และได้รับสิทธิ์อื่นเช่นเดียวกับประชาชนชาวอังกฤษ ซึ่งก็สามารถล่าลายเซ็นหัวหน้าเผ่าได้กว่า 500 เผ่ามาลงนามใน สนธิสัญญาไวตางิ (Treaty of Waitangi) ร่วมกันได้ในที่สุด และแม้ว่าความเข้าใจต่อเนื้อความในสนธิสัญญาฉบับนี้อาจไม่ตรงกัน 100% ด้วยเหตุหลายประการ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างชาวมาวรีกับชาวยุโรปในระยะนี้ก็เป็นไปอย่างสงบพอประมาณ
   

จากการอพยพของชาวยุโรปเข้ามายังนิวซีแลนด์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดความพยายามกดดันให้ชาวมาวรีขายดินแดนให้แก่ชาวยุโรปมากขึ้นอีก การต่อสู้กันครั้งแรกเกิดขึ้นจากกรณีที่ดินในหุบเขาไวราว (Wairau Affray) ใกล้เมืองเนลสันบนเกาะใต้ในปี 1843 โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งผู้อพยพชาวยุโรปและชาวมาวรีผู้อาศัยในผืนดินนั้น ส่วนการปฏิเสธการซื้อที่ดินในอีกหลายแห่งต่อมาได้นำไปสู่สงครามนิวซีแลนด์ (New Zealand Wars) ระหว่างรัฐบาลนิวซีแลนด์กับชาวมาวรีที่เกิดขึ้นบนเกาะเหนือ (อ่านต่อในหัวข้อ “สงครามนิวซีแลนด์” ด้านล่าง)

ส่วนทางเกาะใต้ กิจการฟาร์มแกะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งเมื่อมีการค้นพบทองคำในที่ราบโอทาโกในปี 1861 และต่อมาในแถบเวสต์โคสต์ ก็ยิ่งทำให้มีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเกาะใต้มากยิ่งขึ้น จนทำให้เมืองดะนีดิน (Dunedin) กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น และนำไปสู่การพัฒนาถนนหนทางและสาธารณูปโภคต่างๆ ในเกาะใต้เพื่อเชื่อมโยงสนับสนุนการขนส่งสินค้าระหว่างเมืองมากขึ้น เศรษฐกิจของนิวซีแลนด์เติบโตขึ้นเรื่อยๆจากการส่งออกขนแกะและทองคำไปยังทวีปยุโรป รวมถึงเนื้อสัตว์แช่แข็งที่เริ่มส่งออกได้ราวปลายศตวรรษที่ 19 นั้นเอง บรรยากาศของนิวซีแลนด์ตอนนี้เป็นไปอย่างคึกคัก เมืองเดิมก็ขยาย เมืองใหม่ก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จากผู้คนที่อพยพเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับความขัดแย้งระหว่างชาวยุโรปและชาวมาวรีในเรื่องการครอบครองที่ดินก็ยังคงดำเนินต่อไป

สงครามนิวซีแลนด์ (New Zealand Wars)

ชาวมาวรีเริ่มมองเห็นหายนะต่อผืนแผ่นดินของตนได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้เห็นจำนวนผู้อพยพที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายหลายแสนคน ซึ่งก็มาพร้อมกับวิธีทำการเกษตรด้วยการตัดต้นไม้เผาป่าเพื่อเพาะปลูก ในขณะที่ชาวมาวรีมีจำนวนเพียง 5-7 หมื่นคนและเพียงอาศัยเก็บใบไม้ผลไม้เป็นอาหารเท่านั้น จึงเริ่มมีการรวมตัวกันของชาวมาวรีหลายเผ่าตั้งแต่ราวปี 1853 เพื่อกำหนดแนวทางในการตัดสินใจหรือต่อรองเรื่องต่างๆ กับชาวยุโรปร่วมกันโดยมีการคัดเลือกผู้นำคือกษัตริย์มาวรี (Māori King) ขึ้นเป็นประธาน นับแต่นั้นมา การเสนอซื้อขายที่ดินโดยชาวยุโรปก็ถูกปฏิเสธจากชาวมาวรีมากขึ้นๆ ประกอบกับมีความพยายามขยายเรื่องราวไปเป็นการต่อต้านอำนาจการปกครองของอังกฤษด้วย ในที่สุดเหตุการณ์ก็ลุกลามกลายเป็นสงครามใหญ่ในเดือนมีนาคมปี 1860 ที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้รับการสนับสนุนกองทหารจากอังกฤษมาสมทบกับกองกำลังอาสาสมัครจากกลุ่มผู้อพยพเพื่อสู้รบกับชาวมาวรีด้วย

สงครามสิ้นสุดลงในปี 1872 ด้วยชัยชนะของชาวยุโรป และมีการทยอยจับกุมและคุมขังผู้นำชาวมาวรีได้หลายคน รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ยึดครองที่ดินจำนวนมากกว่า 16,000 ตร.กม. จากชาวมาวรีเผ่าต่างๆ แต่ผลอีกด้านหนึ่งคือความสูญเสียของชีวิตชาวยุโรป 745 คนและชาวมาวรี 2,154 คน ซึ่งนับเป็นบาดแผลในหัวใจของทั้งชาวยุโรปและชาวมาวรีที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน นำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองฝ่ายที่ดีขึ้นในเวลาต่อมา มีการแสดงการยอมรับความผิดพลาดของแต่ละฝ่ายที่มีต่อกัน การปล่อยตัวนักโทษชาวมาวรี และการคืนที่ดินที่ถูกยึดมาส่วนหนึ่งพร้อมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชาวมาวรีเจ้าของที่ดินดั้งเดิม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่