ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยหุบเขาและยอดสูงให้คนที่“รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง” ได้ไปวัดใจและความฟิต หลังจากที่ปี 2018 เราได้ไปเดินขึ้นฟูจิคนเดียวทางเส้นสึบาชิริ ในปี 2019 ก็เลยอยากไปขึ้นเขาอื่นบ้าง เท่าที่ได้อ่านข้อมูลหลายเว็บไซต์เทียบกัน รวมทั้งถามในกรุ๊ป Thailaind Mountaineering ก็พบว่าแทบไม่มีคนไทยเขียนรีวิวยอดเขาชิโรอุมะ (Shirouma Dake) บนเทือกเขาเจแปนแอลป์เหนือในเมืองฮาคุบะ จังหวัดนางาโนะเลย ทั้งที่สำหรับคนญี่ปุ่นและชาวตะวันตกที่ชอบไปเดินเขาแล้วจะให้อันดับความสวยงามที่นี่ไว้ต้นๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กระทู้ท่องเที่ยวก่อนหน้านี้:
เดินเขาคนเดียวไม่เปลี่ยวสักนิด ที่ยูฟุดาเกะ http://bit.ly/yufudake
ดำน้ำ Liveaboard 1 คืนที่ Great Barrier Reef http://bit.ly/greatbr
หลงเสน่ห์ฟูจิ บนเส้น Subashiri Trail https://pantip.com/topic/38017502

แรกเริ่มเดิมทีเรากะว่าจะไปคนเดียว แต่แล้วก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นรุ่นพี่ที่เที่ยวด้วยกันประจำ และเคยไปเดินเขาคินาบาลูและเขาอื่นๆ ในไทยด้วยกันมาแล้ว ดังนั้นจึงรู้ pace และความฟิตกันดีว่าไปด้วยกันได้ ไม่มีทะเลาะเบาะแว้งเบะปากกลางทางแน่นอน ซึ่งเราคิดว่าการเดินทางไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย เพื่อนร่วมทางสำคัญมากเพราะอาจทำให้ประทับใจทริปนั้นจนลืมไม่ลง หรือกลับมากาหัวว่าจะไม่ไปกับคนนี้อีก ที่สำคัญนี่ไม่ใช่ทริปเที่ยวธรรมดาแต่เป็นการไปทำกิจกรรมเอาต์ดอร์ที่อันตรายและมีคนตายเพราะประมาทมาแล้ว ดังนั้นการหาข้อมูลก่อนไปก็สำคัญมาก

เนื่องจากครั้งนี้เป้าหมายหลักคือการไปเดินเขา แต่มีบางวันที่ต้องใช้เวลาในโตเกียว เราเลยวางแพลนไว้แบบนี้ค่ะ
16 กค: บินถึงนาริตะด้วยแอร์เอเชีย/ เข้าโตเกียวด้วยรถไฟด่วน Keisei Skyliner/ เช็กอินที่โรงแรมโตโยโกะอินน์สาขาสถานีโอสึกะ/ กินข้าว + ไปเดินดูเสื้อผ้าและอุปกรณ์เอาต์ดอร์ที่ L-Breath สาขาชินจูกุ
17 กค: กินมื้อเช้า/ เช็กเอาต์ออกจากโรงแรม/ ฝากกระเป๋าใบใหญ่ให้ไปส่งที่โรงแรมสำหรับคืนสุดท้าย/ นั่งรถไฟไปโอไดบะดูนิทรรศการถาวรของ Teamlab Borderless (ซื้อตั๋วออนไลน์ไว้แล้ว)/ ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ยุคใหม่/ กินมื้อเย็น/ นั่งรถไฟกลับเข้าชินจูกุเพื่อหาซื้อเสบียงสำหรับเดินเขาวันรุ่งขึ้น/ ขึ้นรถบัสข้ามคืนจากชินจูกุรอบห้าทุ่มเพื่อไปลงที่สุดทาง Tsugaike Kogen ในเมืองฮาคุบะ
18 กค: ถึงป้ายจอดรถ Tsugaike Kogen ตอนหกโมงเช้า/ ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดินเขา/ ซื้อตั๋วและขึ้นกระเช้า Gondola Eve + Tsugaike Ropeway ไปที่อุทยาน Tsugaike Nature Park/ ลงทะเบียนที่ Visitor Center/ เริ่มเดินขึ้นเขาชิโรอุมะตอนแปดโมงเช้า/ พักหนึ่งคืนที่บ้านพัก Hakuba Sanso ซึ่งอยู่ใกล้ยอดที่สุด
19 กค: เดินลงจากเขาชิโรอุมะทางเดิม/ กินมื้อกลางวันที่บ้านพักข้าง Visitor Center/ นั่งกระเช้ากลับมาต่อรถเมล์เพื่อไปเช็กอินที่ Hotel Hakuba เพื่อพักขาและรีแลกซ์หนึ่งคืน
20 กค: กินมื้อเช้า/ เช็กเอาต์แล้วนั่งรถบัสกลับจากฮาคุบะไปถึงชินจูกุตอนบ่าย/ กินมื้อเที่ยง+เดินเล่นย่านชินจูกุ/ นั่งรถไฟไปสถานีโตเกียวเพื่อขึ้นรถบัสของ The Access Narita ซึ่งจะพาเราไปหย่อนที่โรงแรมโตโยโกะอินน์สาขานาริตะสำหรับพักผ่อนคืนสุดท้าย และรับกระเป๋าที่ส่งมาล่วงหน้า
21 กค: กินมื้อเช้า/ เช็กเอาต์/ นั่งรถชัตเติลบัสจากโรงแรมไปสนามบิน/ บินกลับกรุงเทพ

คำว่า “ชิโรอุมะ” ซึ่งเป็นชื่อภูเขา ใช้ตัวคันจิ 白馬 ซึ่งแปลว่าม้าสีขาว อ่านได้อีกแบบว่า “ฮาคุบะ” ซึ่งเป็นชื่อเมือง ดังนั้นบางทีคนญี่ปุ่นก็จะเรียกภูเขานี้ว่าชิโรอุมะดาเกะบ้าง หรือไม่ก็ฮาคุบะดาเกะ (คำว่าดาเกะ
岳 แปลว่าภูเขา) ที่มาของชื่อนี้ก็คือส่วนหนึ่งของภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะทั้งปี ไม่เคยละลาย ชาวบ้านยุคก่อนมองขึ้นไปเห็นว่าเหมือนม้าสีขาวก็เลยตั้งชื่อภูเขาและหมู่บ้านตามนี้ซะเลย

ช่วงสัปดาห์ที่เราไปญี่ปุ่นเป็นช่วงที่พายุเข้า พยากรณ์ว่าฝนตกหรือเมฆมากทุกวัน สำหรับชิโรอุมะนั้นเราก็เช็กเว็บไซต์ที่พยากรณ์อากาศบนยอดไว้แทบจะรายวัน เพราะกลัวมากว่าอุตส่าห์แพลนทุกอย่างไว้แล้วจะไม่ได้ขึ้น คือถ้ามันแย่มากๆ ก็คงต้องยอมหักใจ แต่หลังดูแล้ววันที่ 18 กค อากาศช่วงเช้าถึงเที่ยงมีเมฆบางส่วน ฝนตกนิดหน่อยตอนบ่าย และตกหนักตอนค่ำ ส่วนวันที่ 19 ฝนจะตกหนักข้ามคืนแล้วค่อยซาในตอนสาย เราก็คิดว่าโอเค ไม่น่าจะเลวร้ายเท่าไหร่ อีกอย่างก็เคยเจอประสบการณ์เดินเขากลางพายุและหมอกขาวมาแล้วหลายเขา ถ้ามัวรอวันอากาศใสปิ๊งคงไม่ได้ไปไหน สุดท้ายก็เลยขึ้นเขาตามที่แพลนไว้ค่ะ

การเดินขึ้นเขาชิโรอุมะนั้นขึ้นได้หลายเส้นทาง เพราะเป็นส่วนหนึ่งของแนวเจแปนแอลป์เหนือก็เลยมีหลายยอดเชื่อมต่อกัน จุดเดินขึ้นและลงก็เลยเลือกให้เป็นคนละเส้นหรือเส้นเดิมก็ได้ เส้นทางขึ้นที่คนส่วนมากนิยมก็คือเส้นที่สตาร์ตจาก Visitor Center ใกล้ป้ายรถเมล์ Sarukura ซึ่งจะต้องเดินผ่านธารน้ำแข็งใหญ่ Daisekkei ซึ่งมองเห็นได้จากในเมืองในวันที่อากาศดี โดยธารน้ำแข็งนี้ไม่เคยละลาย เวลาหิมะตกใหม่มาทับถมก็เกาะกันไปเรื่อยๆ ก่อนของเก่าจะละลายหมด ซึ่งช่วงที่เป็นธารน้ำแข็งเห็นว่ากินเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ความยากก็คือต้องเดินตามเส้นทางที่โรยสีทำสัญลักษณ์ ซึ่งหมายถึงการเดินเรียงเดี่ยว แซงไม่ได้เพราะน้ำแข็งช่วงที่อยู่นอกเส้นที่กำหนดอาจบางหรือแตกหัก และยังเสี่ยงลื่นจนต้องเช่า Crampon หรือแผ่นยางมีฟันเหล็กด้านล่างมาใส่รองเท้าเพื่อยึดเกาะน้ำแข็งด้วย

เรากับรุ่นพี่มีความฟิตพอประมาณ ประสบการณ์เดินเขาทั้งในไทยและต่างประเทศก็ประมาณหนึ่ง แต่ว่ามีปัญหาเข่ากันทั้งคู่ แถมด้วยพยากรณ์ทั้งฝน เมฆ หมอก เราก็เลยเลือกเริ่มต้นและเดินลงทางเส้น Tsugaike แทน ซึ่งจะสวนทางกับคนส่วนใหญ่ที่เดินขึ้นทาง Daisekkei แล้วขาลงค่อยมาทาง Tsugaike
และเปลืองกว่าด้วยเพราะค่ากระเช้าไปกลับนั้น 3,600 เยน แต่เราคิดว่าเอาวิธีที่มั่นใจแน่นอนกันว่าปลอดภัยสำหรับทั้งคู่ดีกว่า เพราะเดี๋ยวก็ต้องเดินกันไกลอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ใช่สาวสะพรั่งไฟแรงสูงกันทั้งคู่ก็เปรี้ยวกันให้น้อยหน่อย

ในรูปข้างบนนี้เราวงกลมสีเหลือง landmark สำคัญไว้ ซึ่งเป็นจุดที่มีบ้านพักและห้องน้ำด้วยค่ะ หมายเลข 1 คือสุดทางของกระเช้า Ropeway ซึ่งมี Visitor Center และบ้านพักสองหลังซึ่งขายอาหาร ขนมและของที่ระลึกด้วย ส่วนหมายเลข 2 คือทะเลสาบ Shirouma Oike หรือจะอ่านว่า Hakuba Oike ก็ได้ (อย่างที่บอกว่าใช้คันจิตัวเดียวกัน คนที่นี่เลยอ่านทั้งสองแบบ) และหมายเลข 3 คือยอดเขาชิโรอุมะ ซึ่งมีบ้านพัก Shirouma Sanso/Hakuba Sanso ที่เราใส่ลูกศรสีแดงสองหัวก็เพราะไป-กลับเส้นเดิม

หลังจากนั่งกระเช้ามาถึงทางเข้าอุทยาน พวกเราก็เข้าห้องน้ำ แวะลงชื่อที่ Visitor Center และขอแผนที่+ถามเส้นทางจากเจ้าหน้าที่ให้มั่นใจก่อนจะเริ่มเดินตอนประมาณ 8.15 น. เพราะเราเคยอ่านในเว็บว่าประมาณเวลาการเดินขึ้นเขาชิโรอุมะทางเส้นนี้คือ 7 ชั่วโมง ดังนั้นบ่ายสามก็คงถึงบ้านพัก ขอบอกเลยว่าเป็นการคำนวณที่ผิดค่ะ อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าผิดยังไง

เส้นทางเริ่มเดินขึ้นเขาอยู่หน้า Visitor Center เลย ทางเดินเริ่มแรกไม่ชัน เป็นชั้นบันไดหินสลับไม้และป่าเขียวขจีสดใสประหนึ่งเดินป่าบ้านเรา ช่วงที่เริ่มเดินยังพอเห็นพระอาทิตย์แย้มหน้าสลับเมฆเป็นระยะ ตอนแรกก็เจอนักเดินเขาอื่นๆ ที่เดินตามหรือนำอยู่บ้าง พวกเราก็แวะหยุดถ่ายรูปกันเป็นระยะบ้าง แต่โชคดีที่พกมากันแค่กล้องมือถือไม่ใช่กล้องใหญ่ ก็จะไม่เน้นถ่ายแบบสวยงามมาก เอาแค่บรรยากาศตามทางพอ เนื่องจากยังต้องเดินอีกไกล



เวลาเดินสวนผ่านนักเดินเขา คนญี่ปุ่นจะทักทายกันเป็นมารยาท บางทีก็ให้ทางกันหรือขอบคุณกัน เป็นความน่ารักของคนที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมเดียวกันดีค่ะ บางคนก็แขวนกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งไว้ไล่หมีด้วยเพราะเห็นว่าแถบนี้ก็มีหมีป่าอาศัยอยู่ สารภาพว่าเดินๆ ไปบางทีก็ได้กลิ่นเหมือนขี้หมีหรือสัตว์บางอย่างโชยมาเหมือนกัน แต่ไม่เห็นตัวนะ

หลังจากผ่านช่วงบันไดมาจะเริ่มเปลี่ยนเป็นทางที่ธรรมชาติขึ้น มีทั้งหิน ดิน รากไม้ บางช่วงมีธารน้ำตกซึ่งละลายจากน้ำแข็งบนภูเขา หลังเดินประมาณเกือบสองชั่วโมงจะถึง Tenguhara เป็นสะพานไม้ยกพื้นที่สร้างขึ้นล้อมเหนือพื้นที่แอ่งน้ำให้เดินชมพืชพันธุ์พฤกษชาติ และมองขึ้นไปดูวิวเทือกเขาเจแปนแอลป์ได้ พวกเราหยุดถ่ายรูปกันอีกนิดหน่อย แต่ไม่ได้เดินวนรอบทางเดินยกพื้นเพราะอยากทำเวลา ก็เลยเดินต่อไปตามป้ายที่ชี้ทางไปทะเลสาบ Hakuba Oike หรือทะเลสาบใหญ่แห่งฮาคุบะ ซึ่งจะต้องเดินผ่านทางน้ำแข็งสั้นๆ และไต่หินเรียกเหงื่ออีกหน่อย

ปีนป่ายกันไป เสียเวลากันตอนปีนนี่ละ

หลังไต่หินกันได้สักครึ่ง ชม. ก็จะเจอทางน้ำแข็งสั้นๆ ประมาณสิบกว่าเมตรที่เป็นทางลาดขึ้น อันนี้ต้องระวังและเดินตามทางที่โรยฝุ่นสีแดงไว้ เพราะน้ำแข็งส่วนอื่นอาจลื่นหรือทะลุได้ จัดว่าไม่ยากแต่ก็ตื่นเต้นเอาเรื่อง พ้นจากตรงนี้ก็ยังต้องไต่หินกันอีกก่อนจะทะลุแนวต้นไม้ขึ้นมาถึงลานทุ่งสนบนยอด Norikura และจากตรงนี้ไปก็ไม่มีต้นไม้สูงอีกแล้ว มีแต่สนเตี้ยๆ และจะเริ่มเห็นนกเจ้าถิ่นซึ่งเป็นสัตว์อนุรักษ์ของอุทยาน ภาษาญี่ปุ่นเรียกไรโช ภาษาอังกฤษเรียก Snow Grouse หรือ Ptarmigan ด้วยล่ะ



นกพวกนี้จะอาศัยตามใต้กิ่งสนและในรูใต้ดิน บางทีก็โผล่หัวหรือตัวมาให้ถ่ายรูปบ้าง ดูน่าจะไม่กลัวคน แต่ก็ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ต้องคอยสังเกตดีๆ เพราะสีกลืนกับก้อนหินที่กระจัดกระจายเต็มทุ่ง

เดินพ้นลานสนบนยอดเขา Norikura ซึ่งเป็นที่ราบไปสักพัก ในที่สุดก็เห็นทะเลสาบ Hakuba Oike ซึ่งสูงจากน้ำทะเลถึง 2,379 เมตร และมีบ้านพัก Hakuba Oike Sanso สีแดงตั้งอยู่ใกล้ๆ ตอนนั้นพวกเราใช้เวลาไปเกือบสี่ชั่วโมงได้ (ประมาณเกือบเที่ยง) ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ เลยต้องงัดเสื้อกันฝนและ rain cover มาคลุมกระเป๋ากันก่อนเดินต่อ โดยกะว่าจะไปพักดื่มกาแฟและเข้าห้องน้ำกันที่บ้านพักหลังนี้

เส้นทางไปบ้านพักต้องเดินอ้อมทะเลสาบนิดหน่อย และไต่น้ำแข็งริมขอบทะเลสาบอีกประมาณสิบกว่าเมตร ตอนไปถึงก็เจอคุณลุงคุณป้านักเดินเขาชาวญี่ปุ่นนั่งพักอยู่ก่อนราว 5-6 คน สตาฟของบ้านพักคนนึงเป็นสาวน้อยหน้าตาฝรั่งมาก แต่พูดญี่ปุ่นปร๋อ เขาได้ยินเรากับรุ่นพี่พูดภาษาแปลกๆ ใส่กันเลยมาชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษว่ามาจากไหน พอรู้ว่าจากเมืองไทยก็ทำท่าคิดแล้วพูดว่า "ขอบคุณค่ะ" (สิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งจากทริปนี้คือเจอคนญี่ปุ่นรู้จักคำว่าขอบคุณค่ะมากกว่าสวัสดี อาจเพราะได้ใช้บ่อยกว่า) พวกเราก็ชมน้องเ
ไปพิชิตยอดเขาม้าขาว "Shirouma" กันไหม ตอนที่ 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื่องจากครั้งนี้เป้าหมายหลักคือการไปเดินเขา แต่มีบางวันที่ต้องใช้เวลาในโตเกียว เราเลยวางแพลนไว้แบบนี้ค่ะ
16 กค: บินถึงนาริตะด้วยแอร์เอเชีย/ เข้าโตเกียวด้วยรถไฟด่วน Keisei Skyliner/ เช็กอินที่โรงแรมโตโยโกะอินน์สาขาสถานีโอสึกะ/ กินข้าว + ไปเดินดูเสื้อผ้าและอุปกรณ์เอาต์ดอร์ที่ L-Breath สาขาชินจูกุ
17 กค: กินมื้อเช้า/ เช็กเอาต์ออกจากโรงแรม/ ฝากกระเป๋าใบใหญ่ให้ไปส่งที่โรงแรมสำหรับคืนสุดท้าย/ นั่งรถไฟไปโอไดบะดูนิทรรศการถาวรของ Teamlab Borderless (ซื้อตั๋วออนไลน์ไว้แล้ว)/ ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ยุคใหม่/ กินมื้อเย็น/ นั่งรถไฟกลับเข้าชินจูกุเพื่อหาซื้อเสบียงสำหรับเดินเขาวันรุ่งขึ้น/ ขึ้นรถบัสข้ามคืนจากชินจูกุรอบห้าทุ่มเพื่อไปลงที่สุดทาง Tsugaike Kogen ในเมืองฮาคุบะ
18 กค: ถึงป้ายจอดรถ Tsugaike Kogen ตอนหกโมงเช้า/ ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดินเขา/ ซื้อตั๋วและขึ้นกระเช้า Gondola Eve + Tsugaike Ropeway ไปที่อุทยาน Tsugaike Nature Park/ ลงทะเบียนที่ Visitor Center/ เริ่มเดินขึ้นเขาชิโรอุมะตอนแปดโมงเช้า/ พักหนึ่งคืนที่บ้านพัก Hakuba Sanso ซึ่งอยู่ใกล้ยอดที่สุด
19 กค: เดินลงจากเขาชิโรอุมะทางเดิม/ กินมื้อกลางวันที่บ้านพักข้าง Visitor Center/ นั่งกระเช้ากลับมาต่อรถเมล์เพื่อไปเช็กอินที่ Hotel Hakuba เพื่อพักขาและรีแลกซ์หนึ่งคืน
20 กค: กินมื้อเช้า/ เช็กเอาต์แล้วนั่งรถบัสกลับจากฮาคุบะไปถึงชินจูกุตอนบ่าย/ กินมื้อเที่ยง+เดินเล่นย่านชินจูกุ/ นั่งรถไฟไปสถานีโตเกียวเพื่อขึ้นรถบัสของ The Access Narita ซึ่งจะพาเราไปหย่อนที่โรงแรมโตโยโกะอินน์สาขานาริตะสำหรับพักผ่อนคืนสุดท้าย และรับกระเป๋าที่ส่งมาล่วงหน้า
21 กค: กินมื้อเช้า/ เช็กเอาต์/ นั่งรถชัตเติลบัสจากโรงแรมไปสนามบิน/ บินกลับกรุงเทพ
คำว่า “ชิโรอุมะ” ซึ่งเป็นชื่อภูเขา ใช้ตัวคันจิ 白馬 ซึ่งแปลว่าม้าสีขาว อ่านได้อีกแบบว่า “ฮาคุบะ” ซึ่งเป็นชื่อเมือง ดังนั้นบางทีคนญี่ปุ่นก็จะเรียกภูเขานี้ว่าชิโรอุมะดาเกะบ้าง หรือไม่ก็ฮาคุบะดาเกะ (คำว่าดาเกะ 岳 แปลว่าภูเขา) ที่มาของชื่อนี้ก็คือส่วนหนึ่งของภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะทั้งปี ไม่เคยละลาย ชาวบ้านยุคก่อนมองขึ้นไปเห็นว่าเหมือนม้าสีขาวก็เลยตั้งชื่อภูเขาและหมู่บ้านตามนี้ซะเลย
ช่วงสัปดาห์ที่เราไปญี่ปุ่นเป็นช่วงที่พายุเข้า พยากรณ์ว่าฝนตกหรือเมฆมากทุกวัน สำหรับชิโรอุมะนั้นเราก็เช็กเว็บไซต์ที่พยากรณ์อากาศบนยอดไว้แทบจะรายวัน เพราะกลัวมากว่าอุตส่าห์แพลนทุกอย่างไว้แล้วจะไม่ได้ขึ้น คือถ้ามันแย่มากๆ ก็คงต้องยอมหักใจ แต่หลังดูแล้ววันที่ 18 กค อากาศช่วงเช้าถึงเที่ยงมีเมฆบางส่วน ฝนตกนิดหน่อยตอนบ่าย และตกหนักตอนค่ำ ส่วนวันที่ 19 ฝนจะตกหนักข้ามคืนแล้วค่อยซาในตอนสาย เราก็คิดว่าโอเค ไม่น่าจะเลวร้ายเท่าไหร่ อีกอย่างก็เคยเจอประสบการณ์เดินเขากลางพายุและหมอกขาวมาแล้วหลายเขา ถ้ามัวรอวันอากาศใสปิ๊งคงไม่ได้ไปไหน สุดท้ายก็เลยขึ้นเขาตามที่แพลนไว้ค่ะ
เรากับรุ่นพี่มีความฟิตพอประมาณ ประสบการณ์เดินเขาทั้งในไทยและต่างประเทศก็ประมาณหนึ่ง แต่ว่ามีปัญหาเข่ากันทั้งคู่ แถมด้วยพยากรณ์ทั้งฝน เมฆ หมอก เราก็เลยเลือกเริ่มต้นและเดินลงทางเส้น Tsugaike แทน ซึ่งจะสวนทางกับคนส่วนใหญ่ที่เดินขึ้นทาง Daisekkei แล้วขาลงค่อยมาทาง Tsugaike
และเปลืองกว่าด้วยเพราะค่ากระเช้าไปกลับนั้น 3,600 เยน แต่เราคิดว่าเอาวิธีที่มั่นใจแน่นอนกันว่าปลอดภัยสำหรับทั้งคู่ดีกว่า เพราะเดี๋ยวก็ต้องเดินกันไกลอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ใช่สาวสะพรั่งไฟแรงสูงกันทั้งคู่ก็เปรี้ยวกันให้น้อยหน่อย
ในรูปข้างบนนี้เราวงกลมสีเหลือง landmark สำคัญไว้ ซึ่งเป็นจุดที่มีบ้านพักและห้องน้ำด้วยค่ะ หมายเลข 1 คือสุดทางของกระเช้า Ropeway ซึ่งมี Visitor Center และบ้านพักสองหลังซึ่งขายอาหาร ขนมและของที่ระลึกด้วย ส่วนหมายเลข 2 คือทะเลสาบ Shirouma Oike หรือจะอ่านว่า Hakuba Oike ก็ได้ (อย่างที่บอกว่าใช้คันจิตัวเดียวกัน คนที่นี่เลยอ่านทั้งสองแบบ) และหมายเลข 3 คือยอดเขาชิโรอุมะ ซึ่งมีบ้านพัก Shirouma Sanso/Hakuba Sanso ที่เราใส่ลูกศรสีแดงสองหัวก็เพราะไป-กลับเส้นเดิม
เส้นทางเริ่มเดินขึ้นเขาอยู่หน้า Visitor Center เลย ทางเดินเริ่มแรกไม่ชัน เป็นชั้นบันไดหินสลับไม้และป่าเขียวขจีสดใสประหนึ่งเดินป่าบ้านเรา ช่วงที่เริ่มเดินยังพอเห็นพระอาทิตย์แย้มหน้าสลับเมฆเป็นระยะ ตอนแรกก็เจอนักเดินเขาอื่นๆ ที่เดินตามหรือนำอยู่บ้าง พวกเราก็แวะหยุดถ่ายรูปกันเป็นระยะบ้าง แต่โชคดีที่พกมากันแค่กล้องมือถือไม่ใช่กล้องใหญ่ ก็จะไม่เน้นถ่ายแบบสวยงามมาก เอาแค่บรรยากาศตามทางพอ เนื่องจากยังต้องเดินอีกไกล
เวลาเดินสวนผ่านนักเดินเขา คนญี่ปุ่นจะทักทายกันเป็นมารยาท บางทีก็ให้ทางกันหรือขอบคุณกัน เป็นความน่ารักของคนที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมเดียวกันดีค่ะ บางคนก็แขวนกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งไว้ไล่หมีด้วยเพราะเห็นว่าแถบนี้ก็มีหมีป่าอาศัยอยู่ สารภาพว่าเดินๆ ไปบางทีก็ได้กลิ่นเหมือนขี้หมีหรือสัตว์บางอย่างโชยมาเหมือนกัน แต่ไม่เห็นตัวนะ
หลังไต่หินกันได้สักครึ่ง ชม. ก็จะเจอทางน้ำแข็งสั้นๆ ประมาณสิบกว่าเมตรที่เป็นทางลาดขึ้น อันนี้ต้องระวังและเดินตามทางที่โรยฝุ่นสีแดงไว้ เพราะน้ำแข็งส่วนอื่นอาจลื่นหรือทะลุได้ จัดว่าไม่ยากแต่ก็ตื่นเต้นเอาเรื่อง พ้นจากตรงนี้ก็ยังต้องไต่หินกันอีกก่อนจะทะลุแนวต้นไม้ขึ้นมาถึงลานทุ่งสนบนยอด Norikura และจากตรงนี้ไปก็ไม่มีต้นไม้สูงอีกแล้ว มีแต่สนเตี้ยๆ และจะเริ่มเห็นนกเจ้าถิ่นซึ่งเป็นสัตว์อนุรักษ์ของอุทยาน ภาษาญี่ปุ่นเรียกไรโช ภาษาอังกฤษเรียก Snow Grouse หรือ Ptarmigan ด้วยล่ะ
เดินพ้นลานสนบนยอดเขา Norikura ซึ่งเป็นที่ราบไปสักพัก ในที่สุดก็เห็นทะเลสาบ Hakuba Oike ซึ่งสูงจากน้ำทะเลถึง 2,379 เมตร และมีบ้านพัก Hakuba Oike Sanso สีแดงตั้งอยู่ใกล้ๆ ตอนนั้นพวกเราใช้เวลาไปเกือบสี่ชั่วโมงได้ (ประมาณเกือบเที่ยง) ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ เลยต้องงัดเสื้อกันฝนและ rain cover มาคลุมกระเป๋ากันก่อนเดินต่อ โดยกะว่าจะไปพักดื่มกาแฟและเข้าห้องน้ำกันที่บ้านพักหลังนี้
เส้นทางไปบ้านพักต้องเดินอ้อมทะเลสาบนิดหน่อย และไต่น้ำแข็งริมขอบทะเลสาบอีกประมาณสิบกว่าเมตร ตอนไปถึงก็เจอคุณลุงคุณป้านักเดินเขาชาวญี่ปุ่นนั่งพักอยู่ก่อนราว 5-6 คน สตาฟของบ้านพักคนนึงเป็นสาวน้อยหน้าตาฝรั่งมาก แต่พูดญี่ปุ่นปร๋อ เขาได้ยินเรากับรุ่นพี่พูดภาษาแปลกๆ ใส่กันเลยมาชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษว่ามาจากไหน พอรู้ว่าจากเมืองไทยก็ทำท่าคิดแล้วพูดว่า "ขอบคุณค่ะ" (สิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งจากทริปนี้คือเจอคนญี่ปุ่นรู้จักคำว่าขอบคุณค่ะมากกว่าสวัสดี อาจเพราะได้ใช้บ่อยกว่า) พวกเราก็ชมน้องเ