ไปพิชิตยอดเขาม้าขาว "Shirouma" กันไหม ตอนที่ 1 >
https://www.pantip.com/topic/39083310
ที่อาคารรีเซปชันตอนนั้นมีพนักงานสองคน ดีว่าคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษพอได้ เรารีบบอก “2 persons” เขาก็เลยหยิบแบบฟอร์มมาให้กรอก พอเห็นเราตัวเปียกน้ำหยดติ๋งก็กุลีกุจอหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้เช็ด แป๊บนึงรุ่นพี่ก็ตามมาถึง เขาก็ขอพาสปอร์ตของเราสองคนไปซีร็อกซ์ และเนื่องจากตอนนั้นจะห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเสิร์ฟอาหารเย็นแล้ว เขาเลยต้องว.เข้าไปถามห้องครัวว่าเพิ่มมื้อเย็นอีกสองคนทันไหม โชคดีมากที่ห้องครัวบอกว่าได้ ก็เลยจ่ายเงินสดคนละ 10,300 เยน ซึ่งเป็นค่าห้องบวกอาหารสองมื้อ จากนั้นพนักงานก็หยิบแผนผังของบ้านพักมาอธิบายว่าอะไรอยู่ตรงไหน ให้คูปองสำหรับอาหาร รวมทั้งอธิบายเรื่องที่ต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนเดินเข้าในตัวบ้าน
นี่เป็นข้อมูลที่แคปมาจากหน้าเว็บของ Hakuba Sanso หน้าเว็บจะอัพเดทรายปีเพราะว่าบ้านพักบนเขาเปิดประมาณเมษาถึงตุลาเท่านั้น ดังนั้นเรื่องวันเปิดปิดและอัตราค่าบริการอาจเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนไปให้ตรวจสอบก่อนนะคะ (ข้อมูล+รูปจาก
https://www.hakuba-sanso.co.jp/)



สำหรับบ้านพักที่นี่ ถ้าไม่ได้โทรมาจองห้องไพรเวทไว้ล่วงหน้า จะได้นอนห้องนอนรวมที่ไม่มีประตูบนชั้นสาม แต่คืนที่เราไปนั้นมีแขกรวมกันไม่ถึงสามสิบคน ทุกกลุ่มก็เลยได้นอนห้องไพรเวทกันหมด อย่างเราสองคนก็ได้นอนห้องขนาดหกเสื่อชื่อ "ยาริ" ประตูจะเป็นแบบบานเลื่อนไม่มีที่ล็อก มีฟูกกับผ้าห่มให้ปูเองและพับเก็บให้เขาด้วย แล้วก็มีหลอดไฟกลางห้องที่เปิดได้ตั้งแต่ตีสี่ และจะโดนตัดตอนสามทุ่ม แต่ตรงทางเดินจะมีไฟ dim light สำหรับเวลาลุกไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ชั้นหนึ่งได้ ในห้องไม่มีฮีทเตอร์ ก็อาศัยเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าแห้งหลายชั้น ทับด้วยดาวน์แจ็กเก็ตแบบบาง ช่วยให้หายหนาวได้เยอะอยู่
นอกหน้าต่างขาวจ๋อง ไม่เห็นแสงอาทิตย์หรือวิวใดๆ

เจ้าหน้าที่รีเซปชั่นบอกพวกเราให้ลงไปห้องอาหารตอน 17.15 น. พอไปถึงเราก็ยื่นคูปองให้สตาฟ เขาจัดเซตอาหารไว้ที่โต๊ะให้เราแล้ว โดยมื้อเย็นเป็นแฮมเบิร์กกับเครื่องเคียงต่างๆ สำหรับข้าวกับซุปมิโสะจะให้ตักเองและเติมกี่รอบก็ได้ ชาเขียวก็มีกระติกให้กดที่โต๊ะเลย สำหรับที่นี่เราสามารถเติมชากับน้ำดื่มจากก๊อกเท่าไหร่ก็ได้เลยเพราะเป็นน้ำที่ละลายจากน้ำแข็งบนเขา

ที่นี่มีห้องนั่งเล่นซึ่งมีโทรทัศน์ด้วย พวกคุณลุงคุณป้าที่กินข้าวเสร็จก็จะไปนั่งดูกันพร้อมกับผึ่งฮีทเตอร์ คืนนั้นถ้าไม่นับสองสาวญี่ปุ่นที่น่าจะยังเรียนมหาวิทยาลัย ก็น่าจะนับว่าเรากับรุ่นพี่นี่เด็กสุดเมื่อเทียบกับแขกคนอื่นๆ แถมพวกนี้มาถึงก่อนเราทั้งนั้น ถึงจะขึ้นมาจากคนละทางกันก็ยังต้องซูฮกความลุยของคุณลุงคุณป้าอยู่ดี
พวกเรากินข้าวเสร็จก็ไม่ได้ไปนั่งแจมกับคุณลุงคุณป้า เพราะต้องไปงัดของในกระเป๋าออกมาดูว่าอะไรน้ำซึมเข้าบ้าง เพราะถึงจะแพ็คทุกอย่างใส่ซองซิปล็อกไว้ก็ประมาทไม่ได้ ส่วนพวกเสื้อและชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ใส่มาจนเปียกซ่กก็เอาลงไปแขวนที่ห้อง drying room ซึ่งมีฮีทเตอร์วางไว้ จัดว่าดีมาก ไม่งั้นถ้าตอนเช้าต้องใส่เสื้อกันฝนที่ยังไม่แห้งเดินลงอีกหลายชั่วโมงคงหวัดกินแน่ แล้วก็มีหยิบร่มของบ้านพักวิ่งไปดูฝั่งร้านของที่ระลึกนิดหน่อย รุ่นพี่ได้เสื้อยืดกับกางเกงสกรีนคำว่า Shirouma เป็นที่ระลึก ส่วนเราไม่ได้ซื้ออะไร มานึกตอนนี้ก็เสียดายว่าทำไมไม่ซื้อมาน้อ เพราะในเมืองฮาคุบะไม่มีสินค้าที่สกรีนคำว่า Shirouma ขายง่ะ
บนบ้านพักมีสัญญาณเน็ต (พวกเราซื้อซิมโรมมิ่งจาก Wise World Wifi ไป ใช้ได้ทั่วญี่ปุ่น) แต่ไม่มีปลั๊กให้ชาร์จในห้อง ถ้าจะชาร์จต้องไปใช้ที่ห้องนั่งเล่นและคิดเงิน 100 เยน พวกเรามีพาวเวอร์แบงก์ก็เลยไม่ลำบาก สักสองทุ่มกว่าๆ ก็ลงไปแปรงฟันล้างหน้าแล้วกลับขึ้นห้อง ยังไม่ทันสามทุ่มก็ตัดสินใจนอนเพราะต้องตื่นมากินมื้อเช้าตอนตีห้า ส่วนด้านนอกพายุก็ยังเขย่าหน้าต่างทั้งคืน แต่ถึงอย่างไรวันรุ่งขึ้นก็ต้องเดินลง ก็เลยทำใจนอนพักผ่อนแล้วค่อยตื่นมาลุ้นอีกทีตอนเช้า
ตัดฉับมาที่วันรุ่งขึ้น เรากับรุ่นพี่ตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตอน 4.50 น. แล้วก็หยิบแปรงสีฟันยาสีฟันพกลงไปกินมื้อเช้า อาหารตอนเช้าเป็นปลาย่างและผักดองต่างๆ รสชาติปรุงแต่งน้อยมากแต่อร่อย มีนัตโตะให้ด้วย ซึ่งเมื่อก่อนยอมรับว่าเรากินไม่ได้ เคยสั่งเป็นซูชิในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มาเปิดในเมืองไทยเมื่อน้านนานมาแล้ว จำได้แค่ว่ากลิ่นมันบูดเน่าคาในลำคอจนแทบอ้วก แต่คราวนี้ทำใจลองพยายามดู ในถ้วยมีมัสตาร์ดกับโชยุให้คลุกผสม เราก็เทแล้วคลุกๆๆ จนมียางยืดๆ เหมือนในการ์ตูนแล้วเทราดข้าว ปรากฏว่าพอกินกับเครื่องเคียงอื่นๆ แล้วดันอร่อย คือไม่มีกลิ่นบูดตกค้างในปากเหมือนที่เคยกิน เลยไม่รู้ว่าเพราะได้มัสตาร์ดและอื่นๆ มาช่วยกลบ หรือเพราะนัตโตะที่เคยกินครั้งแรกมันบูดมากกันแน่ แต่สรุปคือตอนนี้ติดใจนัตโตะแล้วล่ะ

พวกเราไม่ได้กินกันแบบอ้อยอิ่ง แต่ก็ยังสู้คุณลุงคุณป้าที่ซดกันโฮกๆ ไม่ได้ ยังไม่ทันตีห้าครึ่ง หลายคนเริ่มออกจากบ้านพักเพื่อเดินลงกันแล้ว ตอนนั้นฝนและลมยังคงแรงแม้จะไม่เท่าตอนกลางคืน แต่ทัศนวิสัยก็ยังแย่อยู่ ในห้อง drying room เหลือแต่เสื้อผ้าของพวกเราสองคน เลยรีบเก็บขึ้นไปใส่กระเป๋า แต่งตัวให้พร้อมสู้พายุแล้วลงไปชั้นล่าง สำหรับรองเท้านี่ยังไงก็ไม่แห้งจริงๆ เพราะเขาห้ามเอาไปตากในห้อง drying room เลยต้องทำใจใส่ทั้งแฉะๆ และเนื่องจากเราต้องกลับทางเดิมเพราะซื้อตั๋วกระเช้า Ropeway แบบไป-กลับไว้ เลยถามพนักงานคนเดิมที่พอจะพูดอังกฤษได้ว่ากระเช้าคงเปิดทำการใช่ไหม เขาก็บอกว่าตอนบ่ายลมน่าจะสงบลง กระเช้าคงเปิดตามปกติ พวกเราก็เลยโอเค เมื่อวานใช้เวลาเดินขึ้น 9 ชั่วโมง ขากลับคงเร็วขึ้นแต่ไม่รู้เร็วขึ้นแค่ไหน ดังนั้นก็ออกมันซะตอนนี้ 6.30 น.เลยแล้วกัน (เร็วกว่าตอนที่เริ่มออกเดินเมื่อวานเกือบ 2 ชั่วโมง)

มีแบบคลิปด้วยค่ะ กดดูแบบ full screen นะ

ขากลับเราต้องเดินย้อนขึ้นไปทางยอด Shirouma ก่อนจะเดินลง และครั้งนี้เรานอนหลับมาเต็มที่ กินมื้อเช้ามาเต็มอิ่ม มือถือก็เอาใส่ซองกันน้ำแล้ว ดังนั้นก็พร้อมจะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับยอดเขาที่สูงที่สุดในเมือง Hakuba ต่อให้สีของฟ้าหมองแค่ไหน ลมแรงและฝนสาดเท่าไหร่ก็บ่ยั่น ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีหลักฐานว่าถ่อกันมาถึงนี่แล้วจริงๆ นะ เชื่อเถอะ

เริ่มเดินลงอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางฝนและลมดังพั่บๆๆ บางช่วงถึงกับต้องหยุดยืนแล้วยึดไม้เท้าปักกับพื้นเพราะลมแรงจนตัวเซกันเลย

มีแบบภาพเคลื่อนไหวและเสียงให้ชมด้วย

ช่วงที่เป็นรอยต่อของแต่ละยอดเขาก็ต้องปีนป่ายกันหน่อย ฝนตกแบบนี้หินอาจลื่น ต้องใช้ความระมัดระวัง ถ้าหล่นจากไหล่เขาไปอาจหากันไม่เจออีกนาน

เดินต่อไป อย่าได้ถอย (เพราะไม่มีทางเลือก)

แวะถ่ายรูปดอกไม้ใบหญ้าบ้าง นี่ถ้าเป็นช่วงฟ้าเปิด เห็นดอกไม้เต็มทุ่งจะต้องอลังการมากแน่

ถ้าเห็นกากบาทอย่างนี้อย่าเดินข้ามไปเด้อ ให้เดินตามเส้นที่วาดวงกลมหรือลูกศรบนหินไว้เท่านั้นค่ะ

วงกลมเช่นในรูปนี้เป็นต้น ตามไปโลด

มาถึงทางน้ำแข็งช่วงแรก ใกล้ยอดเขาหัวแบน Norikura แล้วววว
บางช่วงลมพัดมาพอเห็นวิวหุบเขาบ้างแบบแว้บๆ อยากกลับมาอีกช่วงกลางฤดูร้อนที่ไม่มีฝนจังงง

ขอพรีเซนต์วิวหน่อย ได้สูดอากาศบริสุทธิ์บนเทือกเขานี่ดีท็อกซ์ปอดดีจริงๆ

ฝนเหลือเม็ดเล็กๆ ปรอยๆ แล้ว ก็แวะถ่ายรูปกันบ้างแก้เหนื่อย

ในที่สุดก็ได้เห็นทะเลสาบ Hakuba Oike อีกครั้ง เรากับรุ่นพี่คุยกันว่าเดี๋ยวต้องบอกน้องสตาฟที่บ้านพักเมื่อวานว่าพวกเจ๊ๆ ไปถึงยอดและรอดกลับมาแล้ว ฮาาาาา

เป้ของเราคือ Osprey ขนาด 46 ลิตร แต่ rain cover ที่แถมมาขนาดใหญ่มาก ตอนนั้นก็ไม่ทันคิดว่าควรจะมัดตรงท้ายให้มันพอดีกับเป้ น้ำฝนเลยหยดไปกองกันข้างล่าง ทำเอาก้นเป้เปียกไปด้วย

มุ่งหน้าลงไปเรื่อยๆ กัมบาริมัส!

ใกล้เข้าไปอีกนิด กาแฟร้อน + ห้องน้ำรอเราอยู่

หลังนั่งพัก จิบกาแฟร้อนๆ พูดคุยทักทายสตาฟที่บ้านพักข้างทะเลสาบได้ไม่ทันไร ฝนตกหนักลงมาอีกแล้ว และต้องไต่หินกันต่อ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ช้าคือต้องคอยระวังลื่น

ฝนตกก็ดีอย่างตรงที่ป่าดูชุ่มฉ่ำ มีชีวิตชีวา เขียวสดไปหมด

ตอนลงไปถึง Visitor Center ฝนกระหน่ำลงมาอีกจนพวกเราเปียกโชก นับเวลาเดินขาลงกันได้ 7 ชั่วโมงเป๊ะ เลยแวะนั่งพักขา กินขนม ซื้อของที่ระลึกนิดหน่อยก่อนจะขึ้นกระเช้ากลับลงด้านล่าง นี่คือตารางรถบัสกลับเข้าตัวเมือง Hakuba พวกเราทันรอบ 15.26 ก็เลยแวะเข้าห้องน้ำเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าแห้งก่อนเดินไปรอรถบัส ค่ารถคนละ 520 เยน จ่ายบนรถได้เลย

ด้านล่างคือแผนที่กระเช้า Tsugaike จะเห็นว่ามีเส้นเขียวสองเส้น เส้นยาวๆ ที่เริ่มจากจุดแดงคือเส้นของ Gondola Eve เป็นกระเช้าขนาดเล็กนั่งได้ไม่เกิน 4 คน พอไปถึงปลายทาง ต้องเดินต่ออีก 200 เมตรเพื่อขึ้นกระเช้า Ropeway ซึ่งใหญ่กว่า จุคนได้เกือบยี่สิบคนเพื่อไปถึงอุทยาน Tsugaike ที่เรากับรุ่นพี่เริ่มเดินเขานั่นละ จะเห็นทะเลสาบ Hakuba Oike อยู่มุมขวาบนใกล้ๆ ยอดเขา Norikura ด้วย ส่วนยอดชิโรอุมะคือยอดซ้ายสุดในแผนที่ วงกลมขวาล่างคือทะเลสาบ Kazafuki ซึ่งเราไม่ได้ไป
ไปพิชิตยอดเขาม้าขาว "Shirouma" กันไหม ตอนที่ 2
ที่อาคารรีเซปชันตอนนั้นมีพนักงานสองคน ดีว่าคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษพอได้ เรารีบบอก “2 persons” เขาก็เลยหยิบแบบฟอร์มมาให้กรอก พอเห็นเราตัวเปียกน้ำหยดติ๋งก็กุลีกุจอหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้เช็ด แป๊บนึงรุ่นพี่ก็ตามมาถึง เขาก็ขอพาสปอร์ตของเราสองคนไปซีร็อกซ์ และเนื่องจากตอนนั้นจะห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเสิร์ฟอาหารเย็นแล้ว เขาเลยต้องว.เข้าไปถามห้องครัวว่าเพิ่มมื้อเย็นอีกสองคนทันไหม โชคดีมากที่ห้องครัวบอกว่าได้ ก็เลยจ่ายเงินสดคนละ 10,300 เยน ซึ่งเป็นค่าห้องบวกอาหารสองมื้อ จากนั้นพนักงานก็หยิบแผนผังของบ้านพักมาอธิบายว่าอะไรอยู่ตรงไหน ให้คูปองสำหรับอาหาร รวมทั้งอธิบายเรื่องที่ต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนเดินเข้าในตัวบ้าน
นี่เป็นข้อมูลที่แคปมาจากหน้าเว็บของ Hakuba Sanso หน้าเว็บจะอัพเดทรายปีเพราะว่าบ้านพักบนเขาเปิดประมาณเมษาถึงตุลาเท่านั้น ดังนั้นเรื่องวันเปิดปิดและอัตราค่าบริการอาจเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนไปให้ตรวจสอบก่อนนะคะ (ข้อมูล+รูปจาก https://www.hakuba-sanso.co.jp/)
สำหรับบ้านพักที่นี่ ถ้าไม่ได้โทรมาจองห้องไพรเวทไว้ล่วงหน้า จะได้นอนห้องนอนรวมที่ไม่มีประตูบนชั้นสาม แต่คืนที่เราไปนั้นมีแขกรวมกันไม่ถึงสามสิบคน ทุกกลุ่มก็เลยได้นอนห้องไพรเวทกันหมด อย่างเราสองคนก็ได้นอนห้องขนาดหกเสื่อชื่อ "ยาริ" ประตูจะเป็นแบบบานเลื่อนไม่มีที่ล็อก มีฟูกกับผ้าห่มให้ปูเองและพับเก็บให้เขาด้วย แล้วก็มีหลอดไฟกลางห้องที่เปิดได้ตั้งแต่ตีสี่ และจะโดนตัดตอนสามทุ่ม แต่ตรงทางเดินจะมีไฟ dim light สำหรับเวลาลุกไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ชั้นหนึ่งได้ ในห้องไม่มีฮีทเตอร์ ก็อาศัยเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าแห้งหลายชั้น ทับด้วยดาวน์แจ็กเก็ตแบบบาง ช่วยให้หายหนาวได้เยอะอยู่
นอกหน้าต่างขาวจ๋อง ไม่เห็นแสงอาทิตย์หรือวิวใดๆ
เจ้าหน้าที่รีเซปชั่นบอกพวกเราให้ลงไปห้องอาหารตอน 17.15 น. พอไปถึงเราก็ยื่นคูปองให้สตาฟ เขาจัดเซตอาหารไว้ที่โต๊ะให้เราแล้ว โดยมื้อเย็นเป็นแฮมเบิร์กกับเครื่องเคียงต่างๆ สำหรับข้าวกับซุปมิโสะจะให้ตักเองและเติมกี่รอบก็ได้ ชาเขียวก็มีกระติกให้กดที่โต๊ะเลย สำหรับที่นี่เราสามารถเติมชากับน้ำดื่มจากก๊อกเท่าไหร่ก็ได้เลยเพราะเป็นน้ำที่ละลายจากน้ำแข็งบนเขา
พวกเรากินข้าวเสร็จก็ไม่ได้ไปนั่งแจมกับคุณลุงคุณป้า เพราะต้องไปงัดของในกระเป๋าออกมาดูว่าอะไรน้ำซึมเข้าบ้าง เพราะถึงจะแพ็คทุกอย่างใส่ซองซิปล็อกไว้ก็ประมาทไม่ได้ ส่วนพวกเสื้อและชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ใส่มาจนเปียกซ่กก็เอาลงไปแขวนที่ห้อง drying room ซึ่งมีฮีทเตอร์วางไว้ จัดว่าดีมาก ไม่งั้นถ้าตอนเช้าต้องใส่เสื้อกันฝนที่ยังไม่แห้งเดินลงอีกหลายชั่วโมงคงหวัดกินแน่ แล้วก็มีหยิบร่มของบ้านพักวิ่งไปดูฝั่งร้านของที่ระลึกนิดหน่อย รุ่นพี่ได้เสื้อยืดกับกางเกงสกรีนคำว่า Shirouma เป็นที่ระลึก ส่วนเราไม่ได้ซื้ออะไร มานึกตอนนี้ก็เสียดายว่าทำไมไม่ซื้อมาน้อ เพราะในเมืองฮาคุบะไม่มีสินค้าที่สกรีนคำว่า Shirouma ขายง่ะ
บนบ้านพักมีสัญญาณเน็ต (พวกเราซื้อซิมโรมมิ่งจาก Wise World Wifi ไป ใช้ได้ทั่วญี่ปุ่น) แต่ไม่มีปลั๊กให้ชาร์จในห้อง ถ้าจะชาร์จต้องไปใช้ที่ห้องนั่งเล่นและคิดเงิน 100 เยน พวกเรามีพาวเวอร์แบงก์ก็เลยไม่ลำบาก สักสองทุ่มกว่าๆ ก็ลงไปแปรงฟันล้างหน้าแล้วกลับขึ้นห้อง ยังไม่ทันสามทุ่มก็ตัดสินใจนอนเพราะต้องตื่นมากินมื้อเช้าตอนตีห้า ส่วนด้านนอกพายุก็ยังเขย่าหน้าต่างทั้งคืน แต่ถึงอย่างไรวันรุ่งขึ้นก็ต้องเดินลง ก็เลยทำใจนอนพักผ่อนแล้วค่อยตื่นมาลุ้นอีกทีตอนเช้า
ตัดฉับมาที่วันรุ่งขึ้น เรากับรุ่นพี่ตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตอน 4.50 น. แล้วก็หยิบแปรงสีฟันยาสีฟันพกลงไปกินมื้อเช้า อาหารตอนเช้าเป็นปลาย่างและผักดองต่างๆ รสชาติปรุงแต่งน้อยมากแต่อร่อย มีนัตโตะให้ด้วย ซึ่งเมื่อก่อนยอมรับว่าเรากินไม่ได้ เคยสั่งเป็นซูชิในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มาเปิดในเมืองไทยเมื่อน้านนานมาแล้ว จำได้แค่ว่ากลิ่นมันบูดเน่าคาในลำคอจนแทบอ้วก แต่คราวนี้ทำใจลองพยายามดู ในถ้วยมีมัสตาร์ดกับโชยุให้คลุกผสม เราก็เทแล้วคลุกๆๆ จนมียางยืดๆ เหมือนในการ์ตูนแล้วเทราดข้าว ปรากฏว่าพอกินกับเครื่องเคียงอื่นๆ แล้วดันอร่อย คือไม่มีกลิ่นบูดตกค้างในปากเหมือนที่เคยกิน เลยไม่รู้ว่าเพราะได้มัสตาร์ดและอื่นๆ มาช่วยกลบ หรือเพราะนัตโตะที่เคยกินครั้งแรกมันบูดมากกันแน่ แต่สรุปคือตอนนี้ติดใจนัตโตะแล้วล่ะ
พวกเราไม่ได้กินกันแบบอ้อยอิ่ง แต่ก็ยังสู้คุณลุงคุณป้าที่ซดกันโฮกๆ ไม่ได้ ยังไม่ทันตีห้าครึ่ง หลายคนเริ่มออกจากบ้านพักเพื่อเดินลงกันแล้ว ตอนนั้นฝนและลมยังคงแรงแม้จะไม่เท่าตอนกลางคืน แต่ทัศนวิสัยก็ยังแย่อยู่ ในห้อง drying room เหลือแต่เสื้อผ้าของพวกเราสองคน เลยรีบเก็บขึ้นไปใส่กระเป๋า แต่งตัวให้พร้อมสู้พายุแล้วลงไปชั้นล่าง สำหรับรองเท้านี่ยังไงก็ไม่แห้งจริงๆ เพราะเขาห้ามเอาไปตากในห้อง drying room เลยต้องทำใจใส่ทั้งแฉะๆ และเนื่องจากเราต้องกลับทางเดิมเพราะซื้อตั๋วกระเช้า Ropeway แบบไป-กลับไว้ เลยถามพนักงานคนเดิมที่พอจะพูดอังกฤษได้ว่ากระเช้าคงเปิดทำการใช่ไหม เขาก็บอกว่าตอนบ่ายลมน่าจะสงบลง กระเช้าคงเปิดตามปกติ พวกเราก็เลยโอเค เมื่อวานใช้เวลาเดินขึ้น 9 ชั่วโมง ขากลับคงเร็วขึ้นแต่ไม่รู้เร็วขึ้นแค่ไหน ดังนั้นก็ออกมันซะตอนนี้ 6.30 น.เลยแล้วกัน (เร็วกว่าตอนที่เริ่มออกเดินเมื่อวานเกือบ 2 ชั่วโมง)
เริ่มเดินลงอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางฝนและลมดังพั่บๆๆ บางช่วงถึงกับต้องหยุดยืนแล้วยึดไม้เท้าปักกับพื้นเพราะลมแรงจนตัวเซกันเลย
มีแบบภาพเคลื่อนไหวและเสียงให้ชมด้วย
เดินต่อไป อย่าได้ถอย (เพราะไม่มีทางเลือก)
แวะถ่ายรูปดอกไม้ใบหญ้าบ้าง นี่ถ้าเป็นช่วงฟ้าเปิด เห็นดอกไม้เต็มทุ่งจะต้องอลังการมากแน่
ถ้าเห็นกากบาทอย่างนี้อย่าเดินข้ามไปเด้อ ให้เดินตามเส้นที่วาดวงกลมหรือลูกศรบนหินไว้เท่านั้นค่ะ
วงกลมเช่นในรูปนี้เป็นต้น ตามไปโลด
มาถึงทางน้ำแข็งช่วงแรก ใกล้ยอดเขาหัวแบน Norikura แล้วววว
บางช่วงลมพัดมาพอเห็นวิวหุบเขาบ้างแบบแว้บๆ อยากกลับมาอีกช่วงกลางฤดูร้อนที่ไม่มีฝนจังงง
ฝนเหลือเม็ดเล็กๆ ปรอยๆ แล้ว ก็แวะถ่ายรูปกันบ้างแก้เหนื่อย
ในที่สุดก็ได้เห็นทะเลสาบ Hakuba Oike อีกครั้ง เรากับรุ่นพี่คุยกันว่าเดี๋ยวต้องบอกน้องสตาฟที่บ้านพักเมื่อวานว่าพวกเจ๊ๆ ไปถึงยอดและรอดกลับมาแล้ว ฮาาาาา
เป้ของเราคือ Osprey ขนาด 46 ลิตร แต่ rain cover ที่แถมมาขนาดใหญ่มาก ตอนนั้นก็ไม่ทันคิดว่าควรจะมัดตรงท้ายให้มันพอดีกับเป้ น้ำฝนเลยหยดไปกองกันข้างล่าง ทำเอาก้นเป้เปียกไปด้วย
มุ่งหน้าลงไปเรื่อยๆ กัมบาริมัส!
ใกล้เข้าไปอีกนิด กาแฟร้อน + ห้องน้ำรอเราอยู่
หลังนั่งพัก จิบกาแฟร้อนๆ พูดคุยทักทายสตาฟที่บ้านพักข้างทะเลสาบได้ไม่ทันไร ฝนตกหนักลงมาอีกแล้ว และต้องไต่หินกันต่อ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ช้าคือต้องคอยระวังลื่น
ฝนตกก็ดีอย่างตรงที่ป่าดูชุ่มฉ่ำ มีชีวิตชีวา เขียวสดไปหมด
ตอนลงไปถึง Visitor Center ฝนกระหน่ำลงมาอีกจนพวกเราเปียกโชก นับเวลาเดินขาลงกันได้ 7 ชั่วโมงเป๊ะ เลยแวะนั่งพักขา กินขนม ซื้อของที่ระลึกนิดหน่อยก่อนจะขึ้นกระเช้ากลับลงด้านล่าง นี่คือตารางรถบัสกลับเข้าตัวเมือง Hakuba พวกเราทันรอบ 15.26 ก็เลยแวะเข้าห้องน้ำเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าแห้งก่อนเดินไปรอรถบัส ค่ารถคนละ 520 เยน จ่ายบนรถได้เลย