เมื่อได้ดูละครเรื่องกลิ่นกาสะลอง ทำให้ผมนึกถึงหนังสือกฏแห่งกรรมตอนหนึ่ง
ที่เคยอ่านเมื่อตอนเป็นเด็กๆ
ชื่อตอนว่า “ ความหลังครั้งหนึ่ง “ ที่เรียบเรียง รวบรวมโดย ท.เลียงพิบูลย์
ซึ่งตอนนี้มีการนำมาพิมพ์ลงในเว็บไซด์:
http://tamjaifangtamma.blogspot.com/2012/08/76.html
เหตุที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า หลายๆอย่างในหนังสือกฏแห่งกรรมตอนนี้ กับละครกลิ่นกาสะลองก็
มีหลายๆอย่างที่คล้ายๆกัน เช่น
- เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่เหมือนกัน ในยุคสมัยที่ใกล้เคียงกัน (ประมาณปี 2465-2470)
- ตัวเอกของเรื่อง เป็นผู้หญิงสองคน ที่หน้าตาคล้ายกัน สวยมากเหมือนกัน(แต่ไม่ใช่ฝาแฝดกัน)
- ตัวเอกที่เป็นผู้ชาย ก็มาจากบางกอกเหมือนกัน
- มีอุปสรรคในเรื่องความรักเช่นเดียวกัน
- ตอนจบของเรื่อง ไม่แน่ใจว่าจะจบแบบคล้ายกันหรือไม่ ต้องติดตามละครดูเอาเอง(เดี๋ยวโดนหาว่าสปอล์ย)
น่าจะมีแค่นี้ที่คล้ายกัน ที่เหลือ เนื้อหาก็แตกต่างกัน แต่เนื้อเรื่องเข้มข้นไม่แพ้กัน
ที่แตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือ ละครกลิ่นกาสะลองเป็นเรื่องแต่ง แต่เรื่องกฏแห่งกรรม ผู้ที่เรียบเรียง(ท.เลียงพิบูลย์) บอกว่า
เป็นเรื่องจริงของชายคนหนึ่งที่เค้าได้พบ
ถ้าใครที่ชอบอ่านเรื่องราวเข้มข้นไม่แพ้ละคร และเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่เมื่อเกือบร้อยปีก่อน ก็ลองอ่านดูละกันครับ
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๖ ของ ท.เลียงพิบูลย์
ตอน “ ความหลังครั้งหนึ่ง “
ถ้าจะนับย้อนหลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๓ ไปประมาณสิบกว่าปี ยังจำได้ คืนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องราวของท่านผู้มีอายุผู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่ออกจะพิสดารอยู่มาก คืนนั้นอยู่ในเดือนพฤศจิกายน เป็นคืนข้างขึ้นเดือนหงาย เราเพื่อนๆ หลายคนได้ไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมกรุง หนังเลิกตอนเที่ยงคืน เมื่อออกจากโรงหนังแล้ว เราชวนกันเดินตามสบายไม่รีบร้อน แล้วมาถึงที่ท่าเรือใต้สะพานพุทธยอดฟ้า ฝั่งพระนคร เพราะนัดกันไว้แล้วว่าจะไปลงเรือ ซึ่งเป็นองค์กฐินที่จอดคอยอยู่ที่ท่าใต้สะพานใหม่ กำหนดออกเรือเวลาประมาณตีหนึ่ง
คืนนั้นสังเกตดูผู้ที่จะเดินไปในงานกฐิน มีทั้งหญิงชาย เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ต่างก็นั่งสนทนากันอย่างสนิทสนม แล้วแต่ว่าใครจะมีเรื่องอะไรมาเล่าสู่กันฟัง
ขณะที่เรานั่งสนทนากันอยู่บนเรือชั้นบน ก็ได้ยินเสียงเครื่องสายซึ่งบรรเลงได้อย่างไพเราะ แล้วยังมีเสียงนักร้องซึ่งได้ยินแต่เสียงก็รู้สึกว่า มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ฟังให้เคลิ้มเสียแล้ว
เราจึงชวนกันลงไปข้างล่างในเรือ เพื่อจได้นั่งฟังเพลงกัน
เพลงใหม่ที่บรรเลงขึ้นมาอีกคือตับพระลอ เสียงที่ร้องนั้นไพเราะจับใจมาก..........ข้าพเจ้านิ่งงันด้วยความซาบซึ้งในความไพเราะของเพลง แต่เมื่อข้าพเจ้าเหลียวไปเห็นชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังเช็ดน้ำตา ข้าพเจ้าเพ่งดูอีกที เพราะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชายผู้มีอายุแล้วจะมาร้องไห้เพราะอิทธิพลของเสียงเพลงเช่นนี้คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ช้าเครื่องสายแสดงจบเพลงก็หยุดพัก เห็นชายสูงอายุผู้นั้นหลบออกไปนั่งท้ายเรือตามลำพัง
ข้าพเจ้ากระซิบถามเพื่อนผู้ที่ชวนข้าพเจ้ามานั่งเรือปิกนิกว่า “คุณรู้จักลุงคนนั้นไหม เมื่อกี้ผมเห็นแกร้องไห้ เมื่อเสียงเพลงตับพระลอขึ้นตอนชมความงามพระเพื่อนพระแพง ผู้นั้นหน้าเศร้าลงจนมองเห็น” แล้วพูดว่า “ผมรู้จักแกดีครับ แกเป็นญาติกับผม เป็นคนฐานะหลักฐานดีแต่ยังอยู่เป็นโสด ผมเรียกแกว่าลุงแช่ม เป็นคนที่น่าสงสารเพราะชีวิตของแกเคยผิดหวังมาแล้ว แกเป็นคนดีมาก เปิดเผยไม่มีอะไรปิดบัง มีจิตเมตตากรุณาพวกผม พี่น้องรักลุงแช่มทุกคน ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักลุงแช่ม ถ้าได้สนทนากับแกคงจะได้ความรู้สึกดีๆ อีกมาก ถ้าคุณรู้จักลุงแช่มแล้วคุณจะต้องชอบแกมาก มาเถอะผมจะพาไปแนะนำให้รู้จัก”
ว่าแล้วเพื่อนผู้นั้นก็นำพวกเราไปที่ลุงแช่มนั่งเหม่อมองดูดวงจันทร์ และลำน้ำเจ้าพระยาอยู่คนเดียว พอแกเห็นพวกเราตรงเข้าไป แกก็ละสายตาจากทัศนียภาพเหล่านั้น หันมามองดูอย่างสงสัย เพื่อนผู้นั้นจึงแนะนำขึ้นว่า “คุณลุงครับ นี่เพื่อนๆ ผมอยากจะรู้จักลุง เพื่อนคนนี้เป็นคนนิสัยดีครับ เขาอยากสนทนากับคุณลุง เราเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนชั้นเดียวกัน ก่อนจะสำเร็จออกมาแล้วเราก็ไม่ได้พบกันมานาน เพิ่งจะได้พบกันคืนนี้แหละครับ”
ลุงแช่มแกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ความเศร้าและน้ำตาเมื่อครู่นี้หายจากดวงหน้าไปหมดแล้ว คล้ายกับเด็กที่ร้องไห้แล้วก็หัวเราะได้ในระยะเวลาใกล้กัน แกพูดขึ้นว่า “นั่งลงเถิด มีอะไรอยากสนทนาว่าไปเลยตามสบายไม่ต้องเกรงใจ” ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไหว้เป็นการแสดงความเคารพและขอบคุณแก แล้วก็พยายามพูดถึงเรื่องอื่นๆ ในงานกฐินพอสมควรแล้วก็คุยกันเรื่องเพลงตับพระลอที่บรรเลงเมื่อกี้
ดูกลิ่นกาสะลองแล้ว ทำให้นึกถึงหนังสือกฏแห่งกรรมที่เป็นเรื่องราวของสองสาวเจียงใหม่ บัวแก้ว-บัวคำ
ที่เคยอ่านเมื่อตอนเป็นเด็กๆ
ชื่อตอนว่า “ ความหลังครั้งหนึ่ง “ ที่เรียบเรียง รวบรวมโดย ท.เลียงพิบูลย์
ซึ่งตอนนี้มีการนำมาพิมพ์ลงในเว็บไซด์:
http://tamjaifangtamma.blogspot.com/2012/08/76.html
เหตุที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า หลายๆอย่างในหนังสือกฏแห่งกรรมตอนนี้ กับละครกลิ่นกาสะลองก็
มีหลายๆอย่างที่คล้ายๆกัน เช่น
- เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่เหมือนกัน ในยุคสมัยที่ใกล้เคียงกัน (ประมาณปี 2465-2470)
- ตัวเอกของเรื่อง เป็นผู้หญิงสองคน ที่หน้าตาคล้ายกัน สวยมากเหมือนกัน(แต่ไม่ใช่ฝาแฝดกัน)
- ตัวเอกที่เป็นผู้ชาย ก็มาจากบางกอกเหมือนกัน
- มีอุปสรรคในเรื่องความรักเช่นเดียวกัน
- ตอนจบของเรื่อง ไม่แน่ใจว่าจะจบแบบคล้ายกันหรือไม่ ต้องติดตามละครดูเอาเอง(เดี๋ยวโดนหาว่าสปอล์ย)
น่าจะมีแค่นี้ที่คล้ายกัน ที่เหลือ เนื้อหาก็แตกต่างกัน แต่เนื้อเรื่องเข้มข้นไม่แพ้กัน
ที่แตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือ ละครกลิ่นกาสะลองเป็นเรื่องแต่ง แต่เรื่องกฏแห่งกรรม ผู้ที่เรียบเรียง(ท.เลียงพิบูลย์) บอกว่า
เป็นเรื่องจริงของชายคนหนึ่งที่เค้าได้พบ
ถ้าใครที่ชอบอ่านเรื่องราวเข้มข้นไม่แพ้ละคร และเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่เมื่อเกือบร้อยปีก่อน ก็ลองอ่านดูละกันครับ
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๖ ของ ท.เลียงพิบูลย์
ตอน “ ความหลังครั้งหนึ่ง “
ถ้าจะนับย้อนหลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๓ ไปประมาณสิบกว่าปี ยังจำได้ คืนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องราวของท่านผู้มีอายุผู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่ออกจะพิสดารอยู่มาก คืนนั้นอยู่ในเดือนพฤศจิกายน เป็นคืนข้างขึ้นเดือนหงาย เราเพื่อนๆ หลายคนได้ไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมกรุง หนังเลิกตอนเที่ยงคืน เมื่อออกจากโรงหนังแล้ว เราชวนกันเดินตามสบายไม่รีบร้อน แล้วมาถึงที่ท่าเรือใต้สะพานพุทธยอดฟ้า ฝั่งพระนคร เพราะนัดกันไว้แล้วว่าจะไปลงเรือ ซึ่งเป็นองค์กฐินที่จอดคอยอยู่ที่ท่าใต้สะพานใหม่ กำหนดออกเรือเวลาประมาณตีหนึ่ง
คืนนั้นสังเกตดูผู้ที่จะเดินไปในงานกฐิน มีทั้งหญิงชาย เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ต่างก็นั่งสนทนากันอย่างสนิทสนม แล้วแต่ว่าใครจะมีเรื่องอะไรมาเล่าสู่กันฟัง
ขณะที่เรานั่งสนทนากันอยู่บนเรือชั้นบน ก็ได้ยินเสียงเครื่องสายซึ่งบรรเลงได้อย่างไพเราะ แล้วยังมีเสียงนักร้องซึ่งได้ยินแต่เสียงก็รู้สึกว่า มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ฟังให้เคลิ้มเสียแล้ว
เราจึงชวนกันลงไปข้างล่างในเรือ เพื่อจได้นั่งฟังเพลงกัน
เพลงใหม่ที่บรรเลงขึ้นมาอีกคือตับพระลอ เสียงที่ร้องนั้นไพเราะจับใจมาก..........ข้าพเจ้านิ่งงันด้วยความซาบซึ้งในความไพเราะของเพลง แต่เมื่อข้าพเจ้าเหลียวไปเห็นชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังเช็ดน้ำตา ข้าพเจ้าเพ่งดูอีกที เพราะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชายผู้มีอายุแล้วจะมาร้องไห้เพราะอิทธิพลของเสียงเพลงเช่นนี้คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ช้าเครื่องสายแสดงจบเพลงก็หยุดพัก เห็นชายสูงอายุผู้นั้นหลบออกไปนั่งท้ายเรือตามลำพัง
ข้าพเจ้ากระซิบถามเพื่อนผู้ที่ชวนข้าพเจ้ามานั่งเรือปิกนิกว่า “คุณรู้จักลุงคนนั้นไหม เมื่อกี้ผมเห็นแกร้องไห้ เมื่อเสียงเพลงตับพระลอขึ้นตอนชมความงามพระเพื่อนพระแพง ผู้นั้นหน้าเศร้าลงจนมองเห็น” แล้วพูดว่า “ผมรู้จักแกดีครับ แกเป็นญาติกับผม เป็นคนฐานะหลักฐานดีแต่ยังอยู่เป็นโสด ผมเรียกแกว่าลุงแช่ม เป็นคนที่น่าสงสารเพราะชีวิตของแกเคยผิดหวังมาแล้ว แกเป็นคนดีมาก เปิดเผยไม่มีอะไรปิดบัง มีจิตเมตตากรุณาพวกผม พี่น้องรักลุงแช่มทุกคน ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักลุงแช่ม ถ้าได้สนทนากับแกคงจะได้ความรู้สึกดีๆ อีกมาก ถ้าคุณรู้จักลุงแช่มแล้วคุณจะต้องชอบแกมาก มาเถอะผมจะพาไปแนะนำให้รู้จัก”
ว่าแล้วเพื่อนผู้นั้นก็นำพวกเราไปที่ลุงแช่มนั่งเหม่อมองดูดวงจันทร์ และลำน้ำเจ้าพระยาอยู่คนเดียว พอแกเห็นพวกเราตรงเข้าไป แกก็ละสายตาจากทัศนียภาพเหล่านั้น หันมามองดูอย่างสงสัย เพื่อนผู้นั้นจึงแนะนำขึ้นว่า “คุณลุงครับ นี่เพื่อนๆ ผมอยากจะรู้จักลุง เพื่อนคนนี้เป็นคนนิสัยดีครับ เขาอยากสนทนากับคุณลุง เราเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนชั้นเดียวกัน ก่อนจะสำเร็จออกมาแล้วเราก็ไม่ได้พบกันมานาน เพิ่งจะได้พบกันคืนนี้แหละครับ”
ลุงแช่มแกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ความเศร้าและน้ำตาเมื่อครู่นี้หายจากดวงหน้าไปหมดแล้ว คล้ายกับเด็กที่ร้องไห้แล้วก็หัวเราะได้ในระยะเวลาใกล้กัน แกพูดขึ้นว่า “นั่งลงเถิด มีอะไรอยากสนทนาว่าไปเลยตามสบายไม่ต้องเกรงใจ” ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไหว้เป็นการแสดงความเคารพและขอบคุณแก แล้วก็พยายามพูดถึงเรื่องอื่นๆ ในงานกฐินพอสมควรแล้วก็คุยกันเรื่องเพลงตับพระลอที่บรรเลงเมื่อกี้