คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 59
เราก็จบใหม่อยากทำเษตรมาก ขอให้กำลังใจเจ้าของกระทู้และแชร์ความคิดเห็นจากคนที่ผ่านโลกมาแค่23ปี จบออกมาก็หนีออกมาทำงานสวนเลย ไม่มีประสบการณ์การทำงานบริษัทหรือหน่วยงานองค์กรใดๆเลย
เราเป็นเด็กบ้านนอก มีความฝันทะเยอทะยานอยากเป็นนักออกแบบ เราดุ่มๆเข้ากรุงคนเดียวสมัครเรียนคนเดียวบางแห่งไปสอบคนเดียว(สมัยนนั้นสอบตรง) เพราะไม่มีเพื่อนคนไหนสมัครเรียนคณะเดียวกับเรา จนเรียนจบป.ตรี สาขาเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ในคณะสถาปัตย์ จากสถาบันดังของประเทศ จบปุ๊ปเราหันหลังให้เมืองกรุงทันที ไม่สมัครงาน แน่นอนว่าจบม.ดังแต่เลือกที่จะไม่ทำงานตามสายที่เรียนผลที่ตามมากกับตัวเราก็คือ
-หลายคนไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพียงเพราะว่า
เราอยากกลับมาทำเกษตร อ้างว่าเกษตรมันเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เชื่อ จะให้เชื่อได้อย่างไรในเมื่อเราไม่เคยทำ(แต่เราก็พอมีพื้นฐานจากการช่วยพ่อแม่อยู่บ้างและเตรียมตัวกับใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร)
-หลายคนเสียดายโอกาสในการที่เราจะได้ทำงานดีๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนดให้งานที่เราจะทำเป็นงานที่ดีหรือไม่ดี นอกจากตัวเราเอง
-หลายคนอยากให้เราทำงานก่อนสัก1-2ปี หาเงินคืนทุนก่อนหรือประสบการณ์ก่อนค่อยออกมาทำเกษตร (ซึ่งชีวิตเราจะหายไปอีก1-2ปี เราคิดว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ประสบการณ์ทั้งนั้นถ้าถ้าลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจ เพียงแต่ประสบการณ์ที่ได้ในแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันไปตามสิ่งที่เราทำ ถ้าจะทำสิ่งนั้นจริงๆจังๆเราก็จะได้ประสบการณ์ที่ตรงกับเป้าหมาย อันนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนว่าอยากได้ประสบการณ์ในด้านไหน/ส่วนเรื่องเงินคืนทุน ทำอะไรก็คืนทุนทั้งนั้นแหละถ้าได้เงิน)
-หลายคนมองว่าเราเอาแต่ใจ (เราก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเราก็เอาแต่ใจ แต่ว่าคำถามคือเราต้องเอาใจใครบ้างล่ะ เราควรจะใช้ชีวิตของเราหรือเราควรใช้ชีวิตของคนอื่น)
-บางคนก็ว่าเราไม่อดทน (แล้วการทำเกษตรไม่ต้องอดทนใช่ไหม ก็ดีจะได้สบาย)
-บางคน ถามเรา(ซึ่งไม่รู้สึกว่าเป็นคำถามสักเท่าไร)ว่า จบแล้วมาทำสวน จะไปเรียนทำไม(ออกเสียง มั๊ยยยย แบบกระแทกเสียงหน่อย) ตอนนั้นเรากำหมัดแน่น แต่ก็ต้องเฉยไว้ ต้องทนอย่างเดียว ทำสมาธิเข้าไว้ นี่แค่อุปสรรคเล็กๆด่านแรกเท่านั้น
-บางคนบอกให้ไปทำงานที่เรียน ส่วนสวนจ้างคนทำก็ได้ มันเหนื่อยมาทำเองทำไม (ซึ่งไม่ได้เข้าใจเลยหรอว่าความต้องการของเราคือต้องการกลับมาทำเอง แอบนึกตำหนิในใจอยู่นิดๆว่า รู้ดีแต่ยังไม่มากพอ)
-บางคนอยากให้เรามีหน้าตาในสังคม (หน้าตาน่ะมีอยู่แล้ว แต่มันก็บังคับไม่ได้ว่าจะมีใครมีมุมมองที่ดีต่อเรา)
-ฯลฯ
ก่อนหน้านี้เราก็พอรู้ตัวว่าจะต้องมาทนกับแรงกดดันจากคำคน(อื่น)อยู่แล้วแหละ เตรียมพร้อมมาบ้างเหมือนกัน คิดว่าแค่ทำหูทวนลมก็พอ แต่พอมาเจอของจริงมันรุนแรงเกินจินตนาการมาก ทั้งจากคนใกล้ตัว ญาติ คนรู้จัก คนไม่รู้จัก มันมากพอที่จะบั่นทอนจิตใจจนทำให้จิตเสียได้เลย และแน่นอนพ่อแม่ของเราได้รับผลกระทบนี้ด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ความกดดันเพิ่มเป็น3เท่า คำคนเหล่านี้มันคอยสั่นคลอนจิตใจเราให้รู้สึกสญเสียความมั่นใจและสูญเสียความเป็นตัวเอง มีบางครั้งที่เราระแวงถึงอนาคตของตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าถ้าไม่กลับมาทำเกษตรก็จะไม่มีแรงกดดันอะไรเลย จะอยู่ตรงนี้ก็มีแรงกดดันของตรงนี้ จะอยู่ตรงนู้นก็มีแรงกดดันของตรงนู้น จะอยู่ตรงไหนก็มีแรงกดดันของตรงนั้นนั่นแหละ แตกต่างกันตรงรูปแบบของแรงกดดันที่เราจะพบเจอ มีใครไม่เจอบ้าง? ไม่ประสบความสำเร็จก็โดนดูถูก ประสบความสำเร็จก็ถูกนินทาริษยา นอบน้อมยอมรับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสากลโลกเพื่อรักษาหัวใจเราให้สงบดีกว่า
แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบปีละ คำพูดพวกนั้นมันค่อยๆจางหายไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาพูดให้ได้ยินอีกแล้ว แต่ลับหลังไม่รู้ ขอเพียงแค่อดทนหน่อย
แต่ก็ใช่ว่าเราเรียนจบแล้วถึงค่อยอยากทำเกษตรนะ เราเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในเมืองตั้งแต่ปี 3 ของชีวิตมหาลัยแล้ว ช่วงนั้นเราเริ่มหมดไฟ รู้ว่าไม่ถูกจริตกับการใช้ชีวิตในเมือง จนตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ยังไง แล้วเป็นยังไงต่อไปในอนาคต คำตอบคือเคว้งคว้างมาก เราเริ่มหาความหมายของชีวิต จนเราต้องพยายามหนีออกจากกรอบของมหาลัยไปเที่ยวเตร่ธรรมชาติแบบให้ลืมโลกใบเก่า ไปสมัครเข้าร่วมกิจกรรมนู่นนี่นั่นหลายอย่างจิตอาสาบ้างนิดหน่อยที่จะช่วยให้เราพักใจได้ ก็ด้วยโชคดีหรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราได้ออกมาเห็นมากกว่ารอบบ้านก็ไม่รู้ทำให้เราได้รู้จักความสุขขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกอย่ากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด อยากกลับไปทำสวนทำเกษตร พึ่งพาตัวเอง เรารู้สึกว่าข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่บ้าน ข้าวพ่อแม่เราปลูกเองแต่ไม่ได้เอาไว้ขาย ปลูกเอาไว้กินเองตลอดปี มีแต่พวกผลไม้ที่เอาไว้ขายเป็นรายได้ส่วนใหญ่ ผักบางอย่างก็ปลูกเองเหลือก็ขาย เช่นมะนาว หรือผลไม้อย่างกล้วย รายได้อาจน้อยแต่ในวันหนึ่งๆเสียเงินไม่เท่าไร เมื่อเทียบกับชีวิตในกรุง วันหนึ่งๆอย่างประหยัดก็150-200บาท (ค่าเดินทางจากหอไปมหาลัยไม่มี เดินไป)
แต่ใช่ว่าเงินไม่สำคัญ และไม่ได้ปฏิเสธ แน่นนอนหลายอย่างยังต้องใช้เงินซื้อ ค่าน้ำมันรถ ค่าไฟ ค่ารักษาพญาบาล ค่าจิปาถะ ไหนอนาคตอาจจะมีค่านมค่าเรียนลูกอีก แต่จะไม่ยอมให้เงินมาซื้อการใช้ชีวิตของเรา
เราคิดว่าเราเริ่มรู้ตัวเองแล้วหละ เพราะฉะนั้นเราไม่รู้สึกว่าตัวเราตัดโอกาสหรืออนาคตของตัวเอง แต่เรากลับรู้สึกว่าเราโชคดีที่มีสิทธิ์ได้เลือกโอกาสของตัวเราเองด้วยซ้ำ เราจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับคำว่า ทิ้งโอกาส ที่คนคนอื่นใช้อ้างเพื่อเป็นเครื่องกระทบตัวเรา หรือเพื่อสนองความสะใจของตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้
ครั้งหนึ่ง ปี 2 ของชีวิตมหาลัย อาจารย์เคยพาเราและเพื่อนนักศึกษาไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่งในกาญจนบุรี ซึ่งเป็นสายธรรมยุต วันนั้นพระอาจารย์ที่เป็นผู้ดูแลและสอนธรรมนัดให้เราไปเจอที่ศาลาแห่งหนึ่งตอนบ่ายเพื่อพูดคุยชี้ทางธรรมให้พวกเรา แต่ว่าวันนั้นแก๊งพวกเราเข้าสายเกินเวลานัด พระอาจารย์จึงถามว่า "ทำไมถึงมาสาย" พวกเราอ้ำอึ้งกัน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "พวกเราจะมาที่ศาลาแต่ว่าหลงทางครับ" (ซึ่งที่จริงก็รู้กันว่าศาลาอยู่ไหน แต่ด้วยความเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ย่อมมีความเถลไถลเป็นธรรมดา) พระอาจารย์ตอบกลับมาว่า "ดีแล้ว ถ้าเรารู้ตัวว่าเรากำลังหลง แสดงว่าเราไม่หลงแล้ว" คำนี้ผุดขึ้นมาในช่วงที่เราลังเลกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตในตอนสุดท้ายของชีวิตมหาลัย
เมื่อเรารู้ตัวเองแล้วเราก็พยายามศึกษาในสิ่งที่เราอยากกลับไปทำที่บ้านพร้อมๆกับการอดทนตั้งใจเรียนให้จบ ศึกษาความรู้ด้านการเกษตรตามแหล่งช่องท่างต่างๆเท่าที่ทำได้(เราเน้นเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง) ศึกษาจากคนที่เขาทำสำเร็จมาก่อน เราอ่านหนังสือ ท่องโซเชียล ดูรายการหลายรายการที่เกี่ยวกับการทำเกษตรเพื่อเพิ่มแรงบันดาลใจให้ตัวเอง บางคนบอกว่ารายการพวกนี้ก็นำเสนอแต่ในแง่มุมดีๆที่เขาประสบความสำเร็จเท่านั้นแหละ ยิ่งเกษตรของคนรุ่นใหม่ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นแค่รายการของคนฝันหวานเท่านั้น อันนี้เราไม่เถียง แต่ถามว่าเค้กหวานๆรสชาติดีๆอร่อยติดปากก้อนหนึ่ง กว่าจะได้มาต้องฝึกฝนฝีมือต้องผ่านอะไรบ้าง มีใครทำอะไรแล้วไม่ล้มเหลวหรือได้ดั่งใจไปทุกเรื่องบ้าง รายการนั้นๆแสดงให้เห็นแง่คิดและมุมมองเกี่ยวกับการทำเกษรตของแต่ละคน แง่คิดดีๆบางอย่างเราก็ได้มาจากคนๆหนึ่งหลายๆคนมารวมกันออกแบบปรับใช้ได้ในวิถีชีวิตของเรา ส่วนเบื้องหลังของความสำเร็จ(การทำงาน)ก็คือของใครของมัน ซึ่งหลายคนก็เปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้าไปศึกษา
เราต้องเตรียมตัวอย่างมากมายเพื่อที่จะเอาความฝันอันใหม่ไปคุยกับพ่อแม่ และก็ไม่ใช่ทันทีที่ท่านจะยอมรับความตั้งใจอันนี้ของเรา เราต้องคุยถึง3-4ครั้งที่กลับบ้านกว่าพ่อแม่จะยอมรับความคิดความตั้งใจและเห็นด้วยอย่างยิ่งกับเรา (อันนี้เราคิดว่าคุณเจ้าของกระทู้ต้องพยายามทำสิ่งที่ตั้งใจ อดทน ใจเย็นและประนีประนอมกับคุณป้าของคุณให้ดีๆตามความเหมาะสมและความสัมพันธ์ของคุณกับคุณป้า)
เราไม่ใช่คนเก่งที่ประสบความสำเร็จมาจากไหน ไม่มีเงินเดือน แต่สิ่งที่มีคือที่ดินพร้อมสวนที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ลูกคนเดียวอย่างเรา และ พลัง ที่จะไปกลับช่วยพ่อแม่ทำสวนเพื่อแบ่งเบากำลังร่างกายของท่าน อย่าถามว่าการกลับไปจะเป็นการแบ่งเบาหรือเพิ่มภาระกันแน่ เพราะว่าเราย่อมประเมินสภาพครอบครัวของเราเองได้ ยอมรับว่าเรายังไม่ได้ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างเต็มที่ รายได้ของเรามาจากการช่วยพ่อแม่ทำเกษตรในตอนนี้ ซึ่งก็กำลังเรียนรู้เป็นอีกหนึ่งปริญญาวิชาชีวิต แตกต่างที่ไม่มีเกรดกับใบประกาศก็เท่านั้นเอง คนอื่นจึงไม่ให้ค่าเห็นความสำคัญ แล้วที่เรียนมาเอาไปไว้ไหนละไม่เอามาใช้ประโยชน์หรอ เราคงต้องยืมสุภาษิตอันศักสิทธิ์ที่เคารพนับถือว่า " รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม " มาใช้ เราคิดว่าเราสามารถเอามาช่วยเสริมงานเราในอนาคตได้ไม่หายไปไหน เราไม่เสียดายเวลาที่เรียนป.ตรีเลย นั่นคือประสบการณ์ที่ดีที่มอบโอกาสให้เราได้ออกไปท่องโลก จนค้นพบตัวเองถึงแม้จะไม่ใช่สายเดียวกันกับที่เรียนมา
แต่ว่าเราก็รู้จักกับคำว่า permaculture (ถ้าเป็นของไทยผมเข้าใจว่าน่าจะใกล้เคียงกับศาสตร์พระราชา) จากแฟนของเรา พูดแบบหยาบๆง่ายๆมันคือศาสตร์เกี่ยวกับการทำเกษตร+การdesign เพื่อจัดการจัดการพื้นที่วางแผนการทำงานให้ทุกอย่างมีระบบที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงที่สุดภายในสวน เราสามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาปรับใช้กับการทำงานของเราได้
เราแค่มาแชร์ความคิดเห็น ในมุมมองของคนที่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนอะไรมากมายและยังต้องการประสบการณ์ชีวิตอีกมากมายนัก เป็นแค่คนที่กลับมาเริ่มต้นทำอะไรตามคำเรียกร้องของหัวใจตัวเอง เราไม่คิดว่าการจบป.ตรีแล้วกลับมาทำสวนเป็นสิ่งที่แย่ ไม่มีงานไหนสูงส่งหรือด้อยค่าเพียงเพราะราคาค่าตอบแทนน้อยนิด เงินเดือนแพงแค่ไหนแต่ถ้าอาศัยความทุจริตในการมีชีวิตอยู่ก็ไรซึ่งคุณค่าราคาในตัวคนคนนั้น แล้วอย่าพูดถึงเกียรติที่แถมมากับอาชีพเลย ของเล่นที่แถมมากับขนมยังมีคุณค่ากว่า อยู่ที่เราจะรักและให้คุณค่ากับสิ่งที่เราทำมากแค่ไหน เราให้คุณค่ากับสิ่งใด สิ่งนั้นก็ย่อมให้คุณค่ากับเราเช่นกัน
โลกนี้มีเรื่องแปลกๆมากมาย บางคนพยายามกอบโกยทุกอย่างเท่าที่ชีวิตจะสามารถทำได้มาเพื่อสนองตัวเองก่อนจากไป แม้รู้ว่า ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้เลย
แต่ก็ยังมีบางคนเกิดมาพร้อมแล้วทุกอย่างบางคนยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ จะอยู่เฉยๆไม่ต้องมาเดือดร้อนอะไรมากมายก็ได้ แต่กลับอุทิศตนให้กับคนอื่น บุกน้ำลุยฝนทนแดดทำทุกอย่างเท่าที่ชีวิตจะทำได้ ทิ้งไว้ให้เป็นประโยชน์แก่สาธารณะก่อนจากไป เพื่อให้ผู้อื่นได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณค่าของตัวเอง
อย่าคิดมากเลยว่าจบป.ตรีมาทำเกษตรแล้วใครจะคิดยังไง มนุษย์นั้นถ้ามีความคิดเหมือนกันทุกคนว่าจบป.ตรีต้องทำงานแบบคนจบป.ตรี โลกนี้คงน่าเบื่ออ่ะเราว่า
ตัวเราเองไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรใหญ่โต เรียกว่ายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยดีกว่า ใหม่มาก พอจะหัวอกเดียวกันได้มั้ง เราไม่ได้คาดหวังว่าการประสบความสำเร็จในชวิตเป็นสิ่งที่สูงที่สุดในชีวิต และไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะต้องสำเร็จด้วยหรือเปล่าเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นใช่ที่สุดของชีวิตอย่างที่เขาคุยกันเป็นค่านิยมหรือเปล่า ใครเป็นคนรู้ดีว่าตัวเราเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตตามต้องการ ใครเป็นคนรู้ดีว่าชีวิตที่เราต้องการคืออะไร ใครเป็นคนรู้ดีว่าคุณค่าในตัวเราคืออะไร ตัวเราเองหรือเขา(คนอื่น)หรือที่รู้ในตัวเรา? เราเพียงแค่ต้องการรู้ว่าชีวิตกำลังทำอะไรอยู่ มีความสุขดีไหมและอะไรคือคุณค่าของสิ่งที่เราทำ ก็เท่านั้นเอง.
เราเป็นเด็กบ้านนอก มีความฝันทะเยอทะยานอยากเป็นนักออกแบบ เราดุ่มๆเข้ากรุงคนเดียวสมัครเรียนคนเดียวบางแห่งไปสอบคนเดียว(สมัยนนั้นสอบตรง) เพราะไม่มีเพื่อนคนไหนสมัครเรียนคณะเดียวกับเรา จนเรียนจบป.ตรี สาขาเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ในคณะสถาปัตย์ จากสถาบันดังของประเทศ จบปุ๊ปเราหันหลังให้เมืองกรุงทันที ไม่สมัครงาน แน่นอนว่าจบม.ดังแต่เลือกที่จะไม่ทำงานตามสายที่เรียนผลที่ตามมากกับตัวเราก็คือ
-หลายคนไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพียงเพราะว่า
เราอยากกลับมาทำเกษตร อ้างว่าเกษตรมันเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เชื่อ จะให้เชื่อได้อย่างไรในเมื่อเราไม่เคยทำ(แต่เราก็พอมีพื้นฐานจากการช่วยพ่อแม่อยู่บ้างและเตรียมตัวกับใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร)
-หลายคนเสียดายโอกาสในการที่เราจะได้ทำงานดีๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนดให้งานที่เราจะทำเป็นงานที่ดีหรือไม่ดี นอกจากตัวเราเอง
-หลายคนอยากให้เราทำงานก่อนสัก1-2ปี หาเงินคืนทุนก่อนหรือประสบการณ์ก่อนค่อยออกมาทำเกษตร (ซึ่งชีวิตเราจะหายไปอีก1-2ปี เราคิดว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ประสบการณ์ทั้งนั้นถ้าถ้าลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจ เพียงแต่ประสบการณ์ที่ได้ในแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันไปตามสิ่งที่เราทำ ถ้าจะทำสิ่งนั้นจริงๆจังๆเราก็จะได้ประสบการณ์ที่ตรงกับเป้าหมาย อันนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนว่าอยากได้ประสบการณ์ในด้านไหน/ส่วนเรื่องเงินคืนทุน ทำอะไรก็คืนทุนทั้งนั้นแหละถ้าได้เงิน)
-หลายคนมองว่าเราเอาแต่ใจ (เราก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเราก็เอาแต่ใจ แต่ว่าคำถามคือเราต้องเอาใจใครบ้างล่ะ เราควรจะใช้ชีวิตของเราหรือเราควรใช้ชีวิตของคนอื่น)
-บางคนก็ว่าเราไม่อดทน (แล้วการทำเกษตรไม่ต้องอดทนใช่ไหม ก็ดีจะได้สบาย)
-บางคน ถามเรา(ซึ่งไม่รู้สึกว่าเป็นคำถามสักเท่าไร)ว่า จบแล้วมาทำสวน จะไปเรียนทำไม(ออกเสียง มั๊ยยยย แบบกระแทกเสียงหน่อย) ตอนนั้นเรากำหมัดแน่น แต่ก็ต้องเฉยไว้ ต้องทนอย่างเดียว ทำสมาธิเข้าไว้ นี่แค่อุปสรรคเล็กๆด่านแรกเท่านั้น
-บางคนบอกให้ไปทำงานที่เรียน ส่วนสวนจ้างคนทำก็ได้ มันเหนื่อยมาทำเองทำไม (ซึ่งไม่ได้เข้าใจเลยหรอว่าความต้องการของเราคือต้องการกลับมาทำเอง แอบนึกตำหนิในใจอยู่นิดๆว่า รู้ดีแต่ยังไม่มากพอ)
-บางคนอยากให้เรามีหน้าตาในสังคม (หน้าตาน่ะมีอยู่แล้ว แต่มันก็บังคับไม่ได้ว่าจะมีใครมีมุมมองที่ดีต่อเรา)
-ฯลฯ
ก่อนหน้านี้เราก็พอรู้ตัวว่าจะต้องมาทนกับแรงกดดันจากคำคน(อื่น)อยู่แล้วแหละ เตรียมพร้อมมาบ้างเหมือนกัน คิดว่าแค่ทำหูทวนลมก็พอ แต่พอมาเจอของจริงมันรุนแรงเกินจินตนาการมาก ทั้งจากคนใกล้ตัว ญาติ คนรู้จัก คนไม่รู้จัก มันมากพอที่จะบั่นทอนจิตใจจนทำให้จิตเสียได้เลย และแน่นอนพ่อแม่ของเราได้รับผลกระทบนี้ด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ความกดดันเพิ่มเป็น3เท่า คำคนเหล่านี้มันคอยสั่นคลอนจิตใจเราให้รู้สึกสญเสียความมั่นใจและสูญเสียความเป็นตัวเอง มีบางครั้งที่เราระแวงถึงอนาคตของตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าถ้าไม่กลับมาทำเกษตรก็จะไม่มีแรงกดดันอะไรเลย จะอยู่ตรงนี้ก็มีแรงกดดันของตรงนี้ จะอยู่ตรงนู้นก็มีแรงกดดันของตรงนู้น จะอยู่ตรงไหนก็มีแรงกดดันของตรงนั้นนั่นแหละ แตกต่างกันตรงรูปแบบของแรงกดดันที่เราจะพบเจอ มีใครไม่เจอบ้าง? ไม่ประสบความสำเร็จก็โดนดูถูก ประสบความสำเร็จก็ถูกนินทาริษยา นอบน้อมยอมรับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสากลโลกเพื่อรักษาหัวใจเราให้สงบดีกว่า
แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบปีละ คำพูดพวกนั้นมันค่อยๆจางหายไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาพูดให้ได้ยินอีกแล้ว แต่ลับหลังไม่รู้ ขอเพียงแค่อดทนหน่อย
แต่ก็ใช่ว่าเราเรียนจบแล้วถึงค่อยอยากทำเกษตรนะ เราเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในเมืองตั้งแต่ปี 3 ของชีวิตมหาลัยแล้ว ช่วงนั้นเราเริ่มหมดไฟ รู้ว่าไม่ถูกจริตกับการใช้ชีวิตในเมือง จนตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ยังไง แล้วเป็นยังไงต่อไปในอนาคต คำตอบคือเคว้งคว้างมาก เราเริ่มหาความหมายของชีวิต จนเราต้องพยายามหนีออกจากกรอบของมหาลัยไปเที่ยวเตร่ธรรมชาติแบบให้ลืมโลกใบเก่า ไปสมัครเข้าร่วมกิจกรรมนู่นนี่นั่นหลายอย่างจิตอาสาบ้างนิดหน่อยที่จะช่วยให้เราพักใจได้ ก็ด้วยโชคดีหรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราได้ออกมาเห็นมากกว่ารอบบ้านก็ไม่รู้ทำให้เราได้รู้จักความสุขขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกอย่ากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด อยากกลับไปทำสวนทำเกษตร พึ่งพาตัวเอง เรารู้สึกว่าข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่บ้าน ข้าวพ่อแม่เราปลูกเองแต่ไม่ได้เอาไว้ขาย ปลูกเอาไว้กินเองตลอดปี มีแต่พวกผลไม้ที่เอาไว้ขายเป็นรายได้ส่วนใหญ่ ผักบางอย่างก็ปลูกเองเหลือก็ขาย เช่นมะนาว หรือผลไม้อย่างกล้วย รายได้อาจน้อยแต่ในวันหนึ่งๆเสียเงินไม่เท่าไร เมื่อเทียบกับชีวิตในกรุง วันหนึ่งๆอย่างประหยัดก็150-200บาท (ค่าเดินทางจากหอไปมหาลัยไม่มี เดินไป)
แต่ใช่ว่าเงินไม่สำคัญ และไม่ได้ปฏิเสธ แน่นนอนหลายอย่างยังต้องใช้เงินซื้อ ค่าน้ำมันรถ ค่าไฟ ค่ารักษาพญาบาล ค่าจิปาถะ ไหนอนาคตอาจจะมีค่านมค่าเรียนลูกอีก แต่จะไม่ยอมให้เงินมาซื้อการใช้ชีวิตของเรา
เราคิดว่าเราเริ่มรู้ตัวเองแล้วหละ เพราะฉะนั้นเราไม่รู้สึกว่าตัวเราตัดโอกาสหรืออนาคตของตัวเอง แต่เรากลับรู้สึกว่าเราโชคดีที่มีสิทธิ์ได้เลือกโอกาสของตัวเราเองด้วยซ้ำ เราจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับคำว่า ทิ้งโอกาส ที่คนคนอื่นใช้อ้างเพื่อเป็นเครื่องกระทบตัวเรา หรือเพื่อสนองความสะใจของตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้
ครั้งหนึ่ง ปี 2 ของชีวิตมหาลัย อาจารย์เคยพาเราและเพื่อนนักศึกษาไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่งในกาญจนบุรี ซึ่งเป็นสายธรรมยุต วันนั้นพระอาจารย์ที่เป็นผู้ดูแลและสอนธรรมนัดให้เราไปเจอที่ศาลาแห่งหนึ่งตอนบ่ายเพื่อพูดคุยชี้ทางธรรมให้พวกเรา แต่ว่าวันนั้นแก๊งพวกเราเข้าสายเกินเวลานัด พระอาจารย์จึงถามว่า "ทำไมถึงมาสาย" พวกเราอ้ำอึ้งกัน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "พวกเราจะมาที่ศาลาแต่ว่าหลงทางครับ" (ซึ่งที่จริงก็รู้กันว่าศาลาอยู่ไหน แต่ด้วยความเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ย่อมมีความเถลไถลเป็นธรรมดา) พระอาจารย์ตอบกลับมาว่า "ดีแล้ว ถ้าเรารู้ตัวว่าเรากำลังหลง แสดงว่าเราไม่หลงแล้ว" คำนี้ผุดขึ้นมาในช่วงที่เราลังเลกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตในตอนสุดท้ายของชีวิตมหาลัย
เมื่อเรารู้ตัวเองแล้วเราก็พยายามศึกษาในสิ่งที่เราอยากกลับไปทำที่บ้านพร้อมๆกับการอดทนตั้งใจเรียนให้จบ ศึกษาความรู้ด้านการเกษตรตามแหล่งช่องท่างต่างๆเท่าที่ทำได้(เราเน้นเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง) ศึกษาจากคนที่เขาทำสำเร็จมาก่อน เราอ่านหนังสือ ท่องโซเชียล ดูรายการหลายรายการที่เกี่ยวกับการทำเกษตรเพื่อเพิ่มแรงบันดาลใจให้ตัวเอง บางคนบอกว่ารายการพวกนี้ก็นำเสนอแต่ในแง่มุมดีๆที่เขาประสบความสำเร็จเท่านั้นแหละ ยิ่งเกษตรของคนรุ่นใหม่ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นแค่รายการของคนฝันหวานเท่านั้น อันนี้เราไม่เถียง แต่ถามว่าเค้กหวานๆรสชาติดีๆอร่อยติดปากก้อนหนึ่ง กว่าจะได้มาต้องฝึกฝนฝีมือต้องผ่านอะไรบ้าง มีใครทำอะไรแล้วไม่ล้มเหลวหรือได้ดั่งใจไปทุกเรื่องบ้าง รายการนั้นๆแสดงให้เห็นแง่คิดและมุมมองเกี่ยวกับการทำเกษรตของแต่ละคน แง่คิดดีๆบางอย่างเราก็ได้มาจากคนๆหนึ่งหลายๆคนมารวมกันออกแบบปรับใช้ได้ในวิถีชีวิตของเรา ส่วนเบื้องหลังของความสำเร็จ(การทำงาน)ก็คือของใครของมัน ซึ่งหลายคนก็เปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้าไปศึกษา
เราต้องเตรียมตัวอย่างมากมายเพื่อที่จะเอาความฝันอันใหม่ไปคุยกับพ่อแม่ และก็ไม่ใช่ทันทีที่ท่านจะยอมรับความตั้งใจอันนี้ของเรา เราต้องคุยถึง3-4ครั้งที่กลับบ้านกว่าพ่อแม่จะยอมรับความคิดความตั้งใจและเห็นด้วยอย่างยิ่งกับเรา (อันนี้เราคิดว่าคุณเจ้าของกระทู้ต้องพยายามทำสิ่งที่ตั้งใจ อดทน ใจเย็นและประนีประนอมกับคุณป้าของคุณให้ดีๆตามความเหมาะสมและความสัมพันธ์ของคุณกับคุณป้า)
เราไม่ใช่คนเก่งที่ประสบความสำเร็จมาจากไหน ไม่มีเงินเดือน แต่สิ่งที่มีคือที่ดินพร้อมสวนที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ลูกคนเดียวอย่างเรา และ พลัง ที่จะไปกลับช่วยพ่อแม่ทำสวนเพื่อแบ่งเบากำลังร่างกายของท่าน อย่าถามว่าการกลับไปจะเป็นการแบ่งเบาหรือเพิ่มภาระกันแน่ เพราะว่าเราย่อมประเมินสภาพครอบครัวของเราเองได้ ยอมรับว่าเรายังไม่ได้ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างเต็มที่ รายได้ของเรามาจากการช่วยพ่อแม่ทำเกษตรในตอนนี้ ซึ่งก็กำลังเรียนรู้เป็นอีกหนึ่งปริญญาวิชาชีวิต แตกต่างที่ไม่มีเกรดกับใบประกาศก็เท่านั้นเอง คนอื่นจึงไม่ให้ค่าเห็นความสำคัญ แล้วที่เรียนมาเอาไปไว้ไหนละไม่เอามาใช้ประโยชน์หรอ เราคงต้องยืมสุภาษิตอันศักสิทธิ์ที่เคารพนับถือว่า " รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม " มาใช้ เราคิดว่าเราสามารถเอามาช่วยเสริมงานเราในอนาคตได้ไม่หายไปไหน เราไม่เสียดายเวลาที่เรียนป.ตรีเลย นั่นคือประสบการณ์ที่ดีที่มอบโอกาสให้เราได้ออกไปท่องโลก จนค้นพบตัวเองถึงแม้จะไม่ใช่สายเดียวกันกับที่เรียนมา
แต่ว่าเราก็รู้จักกับคำว่า permaculture (ถ้าเป็นของไทยผมเข้าใจว่าน่าจะใกล้เคียงกับศาสตร์พระราชา) จากแฟนของเรา พูดแบบหยาบๆง่ายๆมันคือศาสตร์เกี่ยวกับการทำเกษตร+การdesign เพื่อจัดการจัดการพื้นที่วางแผนการทำงานให้ทุกอย่างมีระบบที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงที่สุดภายในสวน เราสามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาปรับใช้กับการทำงานของเราได้
เราแค่มาแชร์ความคิดเห็น ในมุมมองของคนที่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนอะไรมากมายและยังต้องการประสบการณ์ชีวิตอีกมากมายนัก เป็นแค่คนที่กลับมาเริ่มต้นทำอะไรตามคำเรียกร้องของหัวใจตัวเอง เราไม่คิดว่าการจบป.ตรีแล้วกลับมาทำสวนเป็นสิ่งที่แย่ ไม่มีงานไหนสูงส่งหรือด้อยค่าเพียงเพราะราคาค่าตอบแทนน้อยนิด เงินเดือนแพงแค่ไหนแต่ถ้าอาศัยความทุจริตในการมีชีวิตอยู่ก็ไรซึ่งคุณค่าราคาในตัวคนคนนั้น แล้วอย่าพูดถึงเกียรติที่แถมมากับอาชีพเลย ของเล่นที่แถมมากับขนมยังมีคุณค่ากว่า อยู่ที่เราจะรักและให้คุณค่ากับสิ่งที่เราทำมากแค่ไหน เราให้คุณค่ากับสิ่งใด สิ่งนั้นก็ย่อมให้คุณค่ากับเราเช่นกัน
โลกนี้มีเรื่องแปลกๆมากมาย บางคนพยายามกอบโกยทุกอย่างเท่าที่ชีวิตจะสามารถทำได้มาเพื่อสนองตัวเองก่อนจากไป แม้รู้ว่า ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้เลย
แต่ก็ยังมีบางคนเกิดมาพร้อมแล้วทุกอย่างบางคนยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ จะอยู่เฉยๆไม่ต้องมาเดือดร้อนอะไรมากมายก็ได้ แต่กลับอุทิศตนให้กับคนอื่น บุกน้ำลุยฝนทนแดดทำทุกอย่างเท่าที่ชีวิตจะทำได้ ทิ้งไว้ให้เป็นประโยชน์แก่สาธารณะก่อนจากไป เพื่อให้ผู้อื่นได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณค่าของตัวเอง
อย่าคิดมากเลยว่าจบป.ตรีมาทำเกษตรแล้วใครจะคิดยังไง มนุษย์นั้นถ้ามีความคิดเหมือนกันทุกคนว่าจบป.ตรีต้องทำงานแบบคนจบป.ตรี โลกนี้คงน่าเบื่ออ่ะเราว่า
ตัวเราเองไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรใหญ่โต เรียกว่ายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยดีกว่า ใหม่มาก พอจะหัวอกเดียวกันได้มั้ง เราไม่ได้คาดหวังว่าการประสบความสำเร็จในชวิตเป็นสิ่งที่สูงที่สุดในชีวิต และไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะต้องสำเร็จด้วยหรือเปล่าเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นใช่ที่สุดของชีวิตอย่างที่เขาคุยกันเป็นค่านิยมหรือเปล่า ใครเป็นคนรู้ดีว่าตัวเราเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตตามต้องการ ใครเป็นคนรู้ดีว่าชีวิตที่เราต้องการคืออะไร ใครเป็นคนรู้ดีว่าคุณค่าในตัวเราคืออะไร ตัวเราเองหรือเขา(คนอื่น)หรือที่รู้ในตัวเรา? เราเพียงแค่ต้องการรู้ว่าชีวิตกำลังทำอะไรอยู่ มีความสุขดีไหมและอะไรคือคุณค่าของสิ่งที่เราทำ ก็เท่านั้นเอง.
แสดงความคิดเห็น
คิดยังไงกับคนจบปริญญาตรีแล้วกลับไปทำสวน
ใหม่ไม่ได้ แล้วที่บ้านมีสวน เลยกะว่าจะกลับไปทำสวน แต่ ป้าของเรามาพูดว่าเสียเวลาเรียนจบปริญญาตรี มหาลัยดังๆ มาทำไม ประมาณว่าไม่ต้องเรียนก็ได้ถ้าจะกลับมาทำสวน เอาจริงทำสวนก็ต้องมีความรู้ปะวะ คือเราก็
คิดว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นอ่ะ แต่ป้าเราแรงมาก แบบ ไม่หางานละ อยู่แบบไม่มีประโยชน์ ไม่มีเพื่อนหรอ