ถึงแม้ว่าบทบาทของผู้หญิงที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วในปัจจุบัน จะออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น มีรายได้เป็นของตัวเอง แต่ยังมีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจลาออกจากงาน (ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามความประสงค์ของสามี) มารับหน้าที่
‘แม่บ้าน’ เพียงอย่างเดียว
คนใกล้ชิดหลายคนก็เป็นแบบนี้ ซึ่งมีผู้หญิงหลายคนยอมรับได้ เพราะเป็นข้อตกลงของครอบครัว แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่หลายครั้งอดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ว่า ‘ต้องแบมือขอเงินสามี’ จริงๆ ไม่อยากให้คิดแบบนั้นค่ะ เพราะการเป็น
‘แม่บ้านที่ดี’ ไม่ใช่งานง่ายๆ ถือเป็นงานหนัก และถือเป็นอาชีพ ที่ต้องมีความเป็น
“มืออาชีพ” ไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า อาชีพ
‘แม่บ้าน’ (ของครอบครัว) นั้น เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหากเกิดปัญหาครอบครัว ซึ่งที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเพิ่งนั่งดูละครสะท้อนปัญหาครอบครัว ที่ครอบครัขนาดกลาง อยู่มีความเป็นอยู่แบบเรียบๆ สามีก้าวหน้าทางการงานตามสมควร ภรรยาเป็นแม่บ้านที่ดีพร้อม และมีลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัย เป็นชีวิตครอบครัวต้นแบบที่มีความสุขอย่างง่ายๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอพบว่า สามีนอกใจ ! คบหาเลี้ยงดูเด็กสาวคราวลูก แม้จะยื่นคำขาดแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปเหมือนเดิม
เธอจำเป็นต้องอดทนในสภาพนี้ ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะ ‘รายได้จากสามี’ เป็นรายได้ทางเดียวของเธอ ถ้าเลิก เธอจะอยู่อย่างไร ลูกจะได้เรียนจนจบหรือไม่
เรื่องในละคร สะท้อนชีวิตจริงของหลายครอบครัว
ในชีวิตจริง มีรุ่นน้องของดิฉัน ซึ่งเป็น ‘คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว’ เคยเขียนประสบการณ์ตอนตัดสินใจเลิกกับสามี ความน่าสนใจอยู่ที่เธอเล่าว่า ตอนตัดสินใจนั้น เธอประเมินเรื่อง
‘รายได้’ เป็นอย่างแรก เมื่อแน่ใจว่า เธอหารายได้เอง พึ่งพาตัวเอง เลี้ยงลูกเองได้ กอปรกับคุณตาคุณยายจะช่วยดูแลหลานในเวลาที่เธอทำงาน ทำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ประเด็น ‘รายได้’ เป็นเรื่องใหญ่ แต่การดิ้นรนไปทำงานนอกบ้านเป็นเรื่องใหญ่กว่า เพราะอาจจะสร้างความขัดแย้งกับสามี เนื่องจากผิดข้อตกลงของครอบครัวไปเปล่าๆ ดังนั้น ‘แม่บ้าน’ ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้านค่ะ แต่ต้องเลิกชิลเรื่องเงินค่ะ และควรหันมาใส่ใจบริหารจัดการเงินในฐานะ ‘แม่บ้าน’ ให้ดีที่สุด
เพราะถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับครอบครัว เราก็จะเดือดร้อนน้อยที่สุด หรือถ้าเรายังรักษาสถานภาพของครอบครัวไว้ได้ และความมั่นคงทางการเงินก็ถูกส่งต่อไปยังลูกหลาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
ลองพิจารณาหลักบริหารเงินฉบับแม่บ้าน ทั้ง 4 หลักนี้ดูนะคะ
1.ใช้ให้น้อย มีเหลือเก็บ มีเท่าไหร่ ก็ใช้ให้น้อยกว่าที่มี จริงๆ คุณแม่บ้านสามารถใช้หลักคิดเดียวกับคนทำงานออฟฟิศหรือมนุษย์เงินเดือนได้ โดยเมื่อได้รับเงินเดือนจากสามีมาแล้ว ก็อาจจะแบ่ง 10-20% สำหรับเก็บออม แยกเป็นบัญชีไว้ต่างหากจากที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำ ส่วนเงินที่เหลือ คุณแม่ก็ควรทำบัญชีรายจ่ายว่า แต่ละเดือนมีรายจ่ายประจำอะไรบ้าง หรือมีรายจ่ายพิเศษในเดือนไหน จำนวนเท่าไหร่ เพื่อที่คุณแม่บ้านจะได้ทราบว่า การเงินเดือนนี้จะตึงตัวหรือคล่องตัว มีเหลือ (จากที่ออมไว้แล้วบางส่วน) หรือไม่ ซึ่งส่วนนี้อาจจะนำไปใช้สำหรับการซื้อของที่อยากได้ให้เป็นของขวัญกับตัวเองหรือให้ลูกบ้างก็ได้ค่ะ แต่อย่าบ่อยนะคะ
2.เก็บเงินไว้ในที่ปลอดภัย แหล่งเก็บเงินออมที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับ “แม่บ้าน” ก็คือ เงินฝากธนาคารค่ะ ถึงผลตอบแทนจะต่ำ ดอกเบี้ยออมทรัพย์แค่ 0.75% ต่อป หรือฝากประจำดอกเบี้ย 1.50-1.75% ต่อปี แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำ เพียงแค่คุณแม่บ้านอาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังด้วยการหมั่นเช็คหรืออัพเดทสมุดเงินฝากเป็นระยะๆ เพื่อความปลอดภัย ส่วนใครอยากสะสมทองหรือเพชร ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเรื่องขโมย เคยมีรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เก็บสะสมทองคำน้ำหนักราว 40 บาทไว้ในเซฟที่บ้าน ปรากฏว่าขโมยขึ้นบ้านครั้งเดียว ทองคำที่สะสมมาจากน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิตก็หมดไปในคราวเดียว นี่ไม่นับรวมเรื่องอุบัติภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากไฟไหม้หรือน้ำท่วม
อีกทางหนึ่ง คุณแม่บ้านอาจจะเลือกลงทุนในสลากออมทรัพย์ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) หรือธนาคาอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งผลตอบแทนไม่สูง แต่มีสิทธิ์ถูกรางวัลทั้งเล็กและใหญ่ อย่างไรก็ตาม ควรเช็คระยะเวลาของสลากด้วยนะคะ เพราะเราต้องถือครองไว้ 1 ปี หรือ 3 ปี หรือ 5 ปี ดังนั้น ก่อนซื้อต้องแน่ใจว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในระยะเวลาที่เงินถูกล็อคอยู่จริงๆ
3.อย่านำเงินไปเสี่ยง คุณแม่บ้านหลายท่านอาจจะมีเวลาว่าง และใช้เวลาว่างท่องสังคมออนไลน์ ซึ่งมีโอกาสจะเจอกับมิจฉาชีพที่มาหลอกลวงให้นำเงินไปลงทุน โดยนำผลตอบแทนสูงๆ มาหลอกล่อ ย้ำว่าห้ามเด็ดขาดนะคะ ทั้งการเล่นแชร์ทางไลน์ ทางเฟซบุ้คกับคนที่ไม่รู้จัก หรือแชร์ทอง และ ฯลฯ เพราะส่วนใหญ่จะถูกโกงทั้งนั้น คนที่มีประสบการณ์โดนโกงแชร์ย่อมรู้ดีว่าขนาดเล่นกับคนรู้จัก ยังโดนโกงเฉยเลย เพราะฉะนั้น ต้องท่องไว้เสมอว่า เงินก้อนนี้ต้อง “เสี่ยง” น้อยที่สุด
และอีกเรื่องคือ ห้ามนำไปปล่อยกู้คิดดอกเบี้ยแพงๆ ตั้งต้นเป็นเจ้าหนี้นอกระบบนะคะ เพราะผิดกฎหมายด้วย เสี่ยงกับการถูกโกงได้ง่ายๆ อีกต่างหาก
4.หารายได้เพิ่ม มีคุณแม่บ้านจำนวนมากที่รับทำงานที่บ้าน ใช้โซเชี่ยลที่เราไปท่องโลกบ่อยๆ ให้เป็นประโยชน์ค่ะ ถ้ามีฝีมือทำอาหารก็เปิดรับออเดอร์ทำอาหารคลีนหรืออาหารเพื่อสุขภาพ เรื่องการจัดส่งปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว มีน้องและเพื่อนที่รู้จักกัน รับออเดอร์ไข่เค็ม แหนมหมู หรือเบเกอรี่ ไม่ต้องมีหน้าร้าน แต่รับทำตามออเดอร์ ก็ทำให้มีรายได้เพิ่มอีกทาง หรือถ้ามีความสามารถด้านภาษา ก็รับแปลงาน ถ้าชอบเขียน เดี๋ยวนี้มีสื่อออนไลน์หรือเว็บไซต์ต่างๆ เปิดรับงานเขียนเยอะไปหมดค่ะ
ทำให้ได้อย่างน้อย 3 เรื่องแรก ส่วนเรื่องสุดท้ายเป็นออปชั่นเสริม ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากความเป็น “แม่บ้าน” ที่ต้องรับรายได้จากสามีอย่างเดียวไปได้อย่างสบายใจแล้วค่ะ
https://money2know.com/%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%89%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99/
บริหารเงินฉบับ ‘แม่บ้าน’
คนใกล้ชิดหลายคนก็เป็นแบบนี้ ซึ่งมีผู้หญิงหลายคนยอมรับได้ เพราะเป็นข้อตกลงของครอบครัว แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่หลายครั้งอดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ว่า ‘ต้องแบมือขอเงินสามี’ จริงๆ ไม่อยากให้คิดแบบนั้นค่ะ เพราะการเป็น ‘แม่บ้านที่ดี’ ไม่ใช่งานง่ายๆ ถือเป็นงานหนัก และถือเป็นอาชีพ ที่ต้องมีความเป็น “มืออาชีพ” ไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า อาชีพ ‘แม่บ้าน’ (ของครอบครัว) นั้น เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหากเกิดปัญหาครอบครัว ซึ่งที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเพิ่งนั่งดูละครสะท้อนปัญหาครอบครัว ที่ครอบครัขนาดกลาง อยู่มีความเป็นอยู่แบบเรียบๆ สามีก้าวหน้าทางการงานตามสมควร ภรรยาเป็นแม่บ้านที่ดีพร้อม และมีลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัย เป็นชีวิตครอบครัวต้นแบบที่มีความสุขอย่างง่ายๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอพบว่า สามีนอกใจ ! คบหาเลี้ยงดูเด็กสาวคราวลูก แม้จะยื่นคำขาดแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปเหมือนเดิม
เธอจำเป็นต้องอดทนในสภาพนี้ ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะ ‘รายได้จากสามี’ เป็นรายได้ทางเดียวของเธอ ถ้าเลิก เธอจะอยู่อย่างไร ลูกจะได้เรียนจนจบหรือไม่
เรื่องในละคร สะท้อนชีวิตจริงของหลายครอบครัว
ในชีวิตจริง มีรุ่นน้องของดิฉัน ซึ่งเป็น ‘คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว’ เคยเขียนประสบการณ์ตอนตัดสินใจเลิกกับสามี ความน่าสนใจอยู่ที่เธอเล่าว่า ตอนตัดสินใจนั้น เธอประเมินเรื่อง ‘รายได้’ เป็นอย่างแรก เมื่อแน่ใจว่า เธอหารายได้เอง พึ่งพาตัวเอง เลี้ยงลูกเองได้ กอปรกับคุณตาคุณยายจะช่วยดูแลหลานในเวลาที่เธอทำงาน ทำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ประเด็น ‘รายได้’ เป็นเรื่องใหญ่ แต่การดิ้นรนไปทำงานนอกบ้านเป็นเรื่องใหญ่กว่า เพราะอาจจะสร้างความขัดแย้งกับสามี เนื่องจากผิดข้อตกลงของครอบครัวไปเปล่าๆ ดังนั้น ‘แม่บ้าน’ ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้านค่ะ แต่ต้องเลิกชิลเรื่องเงินค่ะ และควรหันมาใส่ใจบริหารจัดการเงินในฐานะ ‘แม่บ้าน’ ให้ดีที่สุด
เพราะถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับครอบครัว เราก็จะเดือดร้อนน้อยที่สุด หรือถ้าเรายังรักษาสถานภาพของครอบครัวไว้ได้ และความมั่นคงทางการเงินก็ถูกส่งต่อไปยังลูกหลาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
ลองพิจารณาหลักบริหารเงินฉบับแม่บ้าน ทั้ง 4 หลักนี้ดูนะคะ
1.ใช้ให้น้อย มีเหลือเก็บ มีเท่าไหร่ ก็ใช้ให้น้อยกว่าที่มี จริงๆ คุณแม่บ้านสามารถใช้หลักคิดเดียวกับคนทำงานออฟฟิศหรือมนุษย์เงินเดือนได้ โดยเมื่อได้รับเงินเดือนจากสามีมาแล้ว ก็อาจจะแบ่ง 10-20% สำหรับเก็บออม แยกเป็นบัญชีไว้ต่างหากจากที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำ ส่วนเงินที่เหลือ คุณแม่ก็ควรทำบัญชีรายจ่ายว่า แต่ละเดือนมีรายจ่ายประจำอะไรบ้าง หรือมีรายจ่ายพิเศษในเดือนไหน จำนวนเท่าไหร่ เพื่อที่คุณแม่บ้านจะได้ทราบว่า การเงินเดือนนี้จะตึงตัวหรือคล่องตัว มีเหลือ (จากที่ออมไว้แล้วบางส่วน) หรือไม่ ซึ่งส่วนนี้อาจจะนำไปใช้สำหรับการซื้อของที่อยากได้ให้เป็นของขวัญกับตัวเองหรือให้ลูกบ้างก็ได้ค่ะ แต่อย่าบ่อยนะคะ
2.เก็บเงินไว้ในที่ปลอดภัย แหล่งเก็บเงินออมที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับ “แม่บ้าน” ก็คือ เงินฝากธนาคารค่ะ ถึงผลตอบแทนจะต่ำ ดอกเบี้ยออมทรัพย์แค่ 0.75% ต่อป หรือฝากประจำดอกเบี้ย 1.50-1.75% ต่อปี แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำ เพียงแค่คุณแม่บ้านอาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังด้วยการหมั่นเช็คหรืออัพเดทสมุดเงินฝากเป็นระยะๆ เพื่อความปลอดภัย ส่วนใครอยากสะสมทองหรือเพชร ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเรื่องขโมย เคยมีรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เก็บสะสมทองคำน้ำหนักราว 40 บาทไว้ในเซฟที่บ้าน ปรากฏว่าขโมยขึ้นบ้านครั้งเดียว ทองคำที่สะสมมาจากน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิตก็หมดไปในคราวเดียว นี่ไม่นับรวมเรื่องอุบัติภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากไฟไหม้หรือน้ำท่วม
อีกทางหนึ่ง คุณแม่บ้านอาจจะเลือกลงทุนในสลากออมทรัพย์ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) หรือธนาคาอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งผลตอบแทนไม่สูง แต่มีสิทธิ์ถูกรางวัลทั้งเล็กและใหญ่ อย่างไรก็ตาม ควรเช็คระยะเวลาของสลากด้วยนะคะ เพราะเราต้องถือครองไว้ 1 ปี หรือ 3 ปี หรือ 5 ปี ดังนั้น ก่อนซื้อต้องแน่ใจว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในระยะเวลาที่เงินถูกล็อคอยู่จริงๆ
3.อย่านำเงินไปเสี่ยง คุณแม่บ้านหลายท่านอาจจะมีเวลาว่าง และใช้เวลาว่างท่องสังคมออนไลน์ ซึ่งมีโอกาสจะเจอกับมิจฉาชีพที่มาหลอกลวงให้นำเงินไปลงทุน โดยนำผลตอบแทนสูงๆ มาหลอกล่อ ย้ำว่าห้ามเด็ดขาดนะคะ ทั้งการเล่นแชร์ทางไลน์ ทางเฟซบุ้คกับคนที่ไม่รู้จัก หรือแชร์ทอง และ ฯลฯ เพราะส่วนใหญ่จะถูกโกงทั้งนั้น คนที่มีประสบการณ์โดนโกงแชร์ย่อมรู้ดีว่าขนาดเล่นกับคนรู้จัก ยังโดนโกงเฉยเลย เพราะฉะนั้น ต้องท่องไว้เสมอว่า เงินก้อนนี้ต้อง “เสี่ยง” น้อยที่สุด
และอีกเรื่องคือ ห้ามนำไปปล่อยกู้คิดดอกเบี้ยแพงๆ ตั้งต้นเป็นเจ้าหนี้นอกระบบนะคะ เพราะผิดกฎหมายด้วย เสี่ยงกับการถูกโกงได้ง่ายๆ อีกต่างหาก
4.หารายได้เพิ่ม มีคุณแม่บ้านจำนวนมากที่รับทำงานที่บ้าน ใช้โซเชี่ยลที่เราไปท่องโลกบ่อยๆ ให้เป็นประโยชน์ค่ะ ถ้ามีฝีมือทำอาหารก็เปิดรับออเดอร์ทำอาหารคลีนหรืออาหารเพื่อสุขภาพ เรื่องการจัดส่งปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว มีน้องและเพื่อนที่รู้จักกัน รับออเดอร์ไข่เค็ม แหนมหมู หรือเบเกอรี่ ไม่ต้องมีหน้าร้าน แต่รับทำตามออเดอร์ ก็ทำให้มีรายได้เพิ่มอีกทาง หรือถ้ามีความสามารถด้านภาษา ก็รับแปลงาน ถ้าชอบเขียน เดี๋ยวนี้มีสื่อออนไลน์หรือเว็บไซต์ต่างๆ เปิดรับงานเขียนเยอะไปหมดค่ะ
ทำให้ได้อย่างน้อย 3 เรื่องแรก ส่วนเรื่องสุดท้ายเป็นออปชั่นเสริม ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากความเป็น “แม่บ้าน” ที่ต้องรับรายได้จากสามีอย่างเดียวไปได้อย่างสบายใจแล้วค่ะ
https://money2know.com/%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%89%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99/