หน้าแรก
เลือกห้อง
แท็ก
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
ก้นครัว
ร้านอาหาร สูตรอาหาร อาหารคาว อาหารหวาน เบเกอรี่ ไอศกรีม
กรีนโซน
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์พลังงาน Green Living การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เกษตรอินทรีย์
กรุงโซล
K-POP ซีรีส์เกาหลี นักแสดงเกาหลี อาหารเกาหลี เที่ยวเกาหลี แฟชั่นเกาหลี ภาษาเกาหลี
กล้อง
กล้องถ่ายรูป กล้อง DSLR กล้องวิดีโอ เทคนิคการถ่ายรูป
การ์ตูน
การ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนไทย การ์ตูนฝรั่ง อนิเมะ วาดการ์ตูน ของสะสมจากการ์ตูน คอสเพลย์
แก็ดแจ็ต
Gadget, Action Camera, Drone, Game Console, Smartwatch, Smartband
แกลเลอรี่
ภายถ่ายบุคคล ภาพถ่ายทิวทัศน์ ภาพถ่ายมาโคร
ไกลบ้าน
เรียนต่อต่างประเทศ ทำงานต่างประเทศ วีซ่า
จตุจักร
สัตว์เลี้ยง สุนัข แมว ต้นไม้ จัดสวน ของสะสม งานฝีมือ เกษตรกรรม
เฉลิมกรุง
นักร้องนักดนตรี เพลง เครื่องดนตรี คอนเสิร์ต มิวสิควิดีโอ
เฉลิมไทย
ภาพยนตร์ ดาราภาพยนตร์ ค่ายหนัง เทศกาลหนัง หนังสั้น
ชานเรือน
ครอบครัว ตั้งครรภ์ ตั้งชื่อลูก การเลี้ยงลูก การสอนลูก
ชายคา
บ้าน คอนโดมิเนียม ตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว
ซิลิคอนวัลเลย์
คอมมือใหม่ อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ เกม เขียนโปรแกรม Gadget
ดิโอลด์สยาม
ผู้สูงอายุ สุขภาพผู้สูงอายุ ชีวิตหลังเกษียณ สิทธิผู้สูงอายุ ท่องเที่ยวผู้สูงอายุ
โต๊ะเครื่องแป้ง
เครื่องสำอาง เสริมสวย แฟชั่น เครื่องประดับ ลดความอ้วน
ถนนนักเขียน
แต่งนิยาย เรื่องสั้น กลอน นิทาน
บลูแพลนเน็ต
เที่ยวไทย เที่ยวต่างประเทศ ทะเล ภูเขา เกาะ น้ำตก ดำน้ำ สายการบิน
บางขุนพรหม
ละคร นักแสดง ซีรี่ส์ รายการโทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์
บางรัก
ความรัก แต่งงาน พรีเวดดิ้ง ปัญหาชีวิตคู่
พรหมชาติ
ดูดวง ฮวงจุ้ย ไพ่ยิปซี ทำนายฝัน พระเครื่อง
พันทิป
ข้อเสนอแนะถึงพันทิป วิธีการใช้งานพันทิป กิจกรรมพันทิป
ภูมิภาค
ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคใต้
มาบุญครอง
โทรศัพท์มือถือ Smartphone Tablet iOS Android
รวมมิตร
รวมกระทู้จากทุกห้อง
รัชดา
รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เครื่องเสียงรถยนต์ แต่งรถ การจราจร
ราชดำเนิน
การเมือง รัฐศาสตร์ กฎหมาย สภาผู้แทน รัฐบาล ฝ่ายค้าน พรรคการเมือง
ไร้สังกัด
กระทู้อื่นๆ ที่ไม่สังกัดห้องไหนเลย
ศาลาประชาคม
กฎหมาย ปัญหาสังคม ปัญหาชีวิต เศรษฐกิจ คุ้มครองผู้บริโภค
ศาสนา
ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เที่ยววัด ทำบุญ
ศุภชลาศัย
กีฬา ฟุตบอล บาสเกตบอล มวยสากล กอล์ฟ จักรยาน นักกีฬา
สยามสแควร์
ชีวิตวัยรุ่น การเรียน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ความรักวัยรุ่น การ์ตูน เกม
สวนลุมพินี
สุขภาพกาย สุขภาพจิต โรคมะเร็ง โรคไมเกรน โรคภูมิแพ้ ปวดประจำเดือน
สินธร
หุ้น เศรษฐกิจ การลงทุน LTF RMF ธนาคาร เงินตราต่างประเทศ
สีลม
การบริหารจัดการ การตลาด ทรัพยากรบุคคล งานขาย SME ภาษีนิติบุคคล
หว้ากอ
วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ อวกาศ
ห้องสมุด
หนังสือ หนังสือนิยาย ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ปรัชญา ประวัติศาสตร์
หอศิลป์
ศิลปะ ภาพวาด ประวัติศาสตร์ศิลป์ สื่อประสม Graphic Design
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
PantipStore
iPicazz
ติดตามพันทิป
Pantip.com
@Pantip1996
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
จุดประกายชีวิต...เมื่อฉันเป็น "บัณฑิตอาสาสมัคร"
กระทู้สนทนา
การพัฒนาสังคม (Social Development)
บทความ
สังคมศาสตร์
สังคมไทย
อาสาสมัคร
ใครจะเชื่อ!!!
ถ้าย้อนเวลากลับไปในวินาทีที่ชีวิตเหมือนขาดอากาศหายใจ อยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มีชีวิตในแบบที่ไม่ได้วาดฝันไว้ ใครจะเชื่อว่าในที่สุดมันก็มีหนทางที่นำชีวิตไปสู่การเกิดใหม่ แน่นอนที่คนเราเลือกเกิดในครั้งแรกของชีวิตไม่ได้ แต่ในความโชคดีของความเป็นมนุษย์เราสามารถทำคลอดชีวิตใหม่ของเราได้เองตามที่ใจปรารถนา ตราบใดที่เรายังไม่หยุดที่จะเรียนรู้และศรัทธาว่าเรานี่แหละที่สามารถลิขิตชีวิตของเราเองได้
ผมเองมีความฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากมีชีวิตที่อิสระจากสิ่งที่มันเป็นอยู่ ผมเติบโตมาในสลัมและตั้งแต่ผมจำความได้ผมบอกกับตัวเองว่าผมจะต้องออกไปมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ บ้านซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ที่คุ้มกะลาหัวแต่หมายถึงการมีที่ยืนในสังคมอย่างไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ความจริงที่ต่ำต้อย ทางเดียวที่จะสานปณิธานของผมได้คือผมต้องเรียนให้เก่งๆ สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีหน้าที่การงานที่สังคมยอมรับว่ามั่นคงและพาพ่อแม่ครอบครัวขึ้นมาสู่จุดที่สูงขึ้น และผมก็ทำผลงานได้ไม่เลวทีเดียว สอบติดมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่มีชื่อเสียง เข้าทำงานในโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่น่าเชื่อว่าผมใช้เวลาเกือบ 10 ปี วนเวียนอยู่กับค่านิยมที่กดทับตัวผมเอง เพียงเพื่อจะพบว่ามันได้พรากชีวิตที่มีชีวาของผมไป แต่เมื่อเรายังคงตั้งคำถามให้กับตัวเองว่าเราอยากจะตายอย่างมีความสุขไปพร้อมกับชีวิตแบบไหน การเดินทางของชีวิตจึงยังไม่ถึงทางตัน ในวันที่ผมต้องเลือกทางเดินของชีวิตบนถนนสายใหม่ มันยากเหลือเกินที่จะยอมสลัดทิ้งสิ่งที่สังคมให้ค่าเหล่านั้นไป ผมตามหาหนทางที่จะออกไปจากจุดเดิมอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด มีความเสี่ยงน้อยที่สุด และกระทบกับคนรอบข้างโดยเฉพาะพ่อกับแม่น้อยที่สุด และแล้วผมก็พบกับหลักสูตรการเรียนอันหนึ่งจากอินเตอร์เน็ต ใช่เลย! มันเป็นสิ่งที่ผมตามหา กุญแจที่จะช่วยเปิดประตูไปสู่แสงสว่างบนขอบฟ้าใหม่ของชีวิต ใครจะเชื่อว่ามีอยู่จริงแค่เอื้อม หลักสูตรที่ไม่ต้องเสียค่าเทอม แถมยังได้เบี้ยเลี้ยงรายเดือน มีที่ให้อยู่ มีอาหารให้กิน ได้ออกต่างจังหวัดและกรอบเดิมๆ ไปเรียนรู้จากคนเก่งๆ มากมาย ได้เพื่อนใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร(เพราะเราต่างก็ไม่ยอมให้ใครมาซ้ำ) และที่สำคัญได้เข้ารับปริญญาด้วยนะ (แม่คงจะภูมิใจและด่าเราน้อยลงเรื่องลาออก) วินาทีนั้นผมดีใจมาก การออกจากงานอันมั่นคงเพื่อมาเรียนรู้การเป็นอาสาสมัคร ได้สานฝันตามอุดมการณ์ เป็นคนที่เข้าใจวิถีของการเสียสละ มีทักษะและความรู้เชิงวิชาการที่จะทำงานร่วมกับชุมชนคนรากหญ้า ได้ทำประโยชน์ให้สมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ผมกลายมาเป็นคนใหม่ที่ค้นพบศักยภาพของตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร และมีความสามารถด้านใดบ้างที่จะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง
หลักสูตรบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในสังกัดวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วยอึ๊งภากรณ์ เป็นหลักสูตรอันเก่าแก่ที่เปิดมาแล้วเกือบ 50 รุ่น ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของอาจารย์ป๋วย ที่อยากสร้างคนที่มีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับสูงให้เรียนรู้ว่า ชีวิตไม่ได้อยู่แค่ในตำราเรียนและในรั้วมหาวิทยาลัย การออกมาผจญภัยและเผชิญกับความจริง ความงามและความดีในโลกภายนอก จะทำให้นักศึกษากลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น มนุษย์ผู้ไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียวแต่พึงรู้จักเสียสละเพื่อพ่อแม่พี่น้องคนในสังคมประเทศด้วย การมาเรียนที่นี่แม้จะเพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่ 1 ปี แต่ก็ท้าทายเกือบทั้งหมดของชีวิตของผมที่ผ่านมากว่า 30 ปี (ณ เวลานั้น) พวกเราทั้งหมดต้องมาอาศัยอยู่ร่วมกัน กิน นอน เรียน ทำกิจกรรม หรือแม้แต่ทะเลาะกัน ในช่วงสามเดือนแรกเราจะเรียนนรู้หลักวิชาการต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจสังคม มนุษย์ งานอาสาสมัคร การทำวิจัย การอยู่ร่วมกัน และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจตัวเอง และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน เราเรียนรู้กันและกันผ่านการจำลองสังคมเล็กๆ ที่มากมายไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย ต้องช่วยกันทำอาหาร ทำความสะอาด ดูแลบ้านเล็กๆ ของเราให้น่าอยู่ ผมได้เรียนรู้ว่าการหนีไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่ดีที่สุดในยามที่เรามีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน โดยเฉพาะผมที่ต้องทำหน้าที่ประธานของรุ่นและเป็นผู้รักษาความไว้วางใจให้ทั่วถึง เพื่อที่จะให้ทุกคนยังมีกำลังใจที่จะเดินทางต่อไป เพราะภารกิจสุดท้าทายกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า นั่นก็คือการออกไปเรียนรู้สังคมชนบทด้วยตัวเองเพียงลำพังในระยะเวลากว่า 7 เดือน แต่โชคดีที่ก่อนไปพวกเราได้มีโอกาสซ้อม (เขาเรียกว่าการทดลองใช้ชีวิตภาคสนาม) แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่าวัน แต่ก็ทำให้เราพอจินตนาการออกว่าในอีก 7 เดือนข้างหน้าเราต้องเจออะไรบ้าง ต้องเตรียมตัวเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง และแล้ววันนั้นก็มาถึง เราทุกคนเหมือนได้รับแจกแพคเกจทัวร์ Work & Travel 7 เดือนที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ใช้ก็เพียงแต่ความตั้งใจ มุ่งมั่น กล้าเผชิญ ไม่ยอมแพ้ ผสมผสานกับวิทยายุทธที่ได้ฝึกฝนมาตลอด 3 เดือนเพื่ออยู่ให้รอดให้ได้
พวกเราแต่ละคนเดินทางไปคนละที่ตามหมุดหมายแต่ได้รับภารกิจเดียวกันคือ ไปอยู่เป็นลูกเป็นหลาน ทำงาน ไปเป็นอาสาสมัคร ไปเป็นนักวิจัยและที่สำคัญออกไปเป็นตัวเองและตามหาตัวเองให้เจอ ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ทำให้ผมมองเห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองชัดเจนมาก ผมมีความใจเย็น ใจดี อ่อนน้อม อดทน ชอบความท้าทายเป็นทุนเดิม แม้จะต้องอยู่กับคนต่างชาติ ต่างศาสนา กินอาหารแปลกๆ ใช้ชีวิตตามความเชื่อที่ไม่คุ้นชิน ผมก็สามารถเรียนรู้ปรับตัวได้ ผมได้ทำงานหลากหลายบทบาท ทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ครูมัธยม ล่ามจำเป็น และหลายครั้งก็ต้องเป็นทั้งพ่อ แม่ เพื่อน ให้กับเด็กๆ แต่จุดอ่อนที่ตามติดตัวผมมาตลอดคือความกลัว วิตกกังวล ผมไม่กล้าเข้าไปทักทายชาวบ้านเพราะความยากบางอย่าง ทำให้คนในหมู่บ้านไม่ค่อยรู้ว่าผมมีตัวตนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลให้งานวิจัยของผมคืบหน้าได้ช้ามากจนเกือบที่จะถอดใจไม่ทำ โชคดีที่ยังมีพี่เลี้ยงและอาจารย์ที่ปรึกษาคอยพูดคุยให้คำแนะนำเรียกสติกลับคืนมา ผมได้ค้นพบคุณค่าที่สำคัญอีกอย่างที่ผมยึดถือและทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิตจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ สัจจะและความรับผิดชอบ ผมเกือบลืมไปว่าเส้นทางของชีวิตสายใหม่ของผมเริ่มต้นได้เพราะหลักสูตรนี้ มันง่ายมากที่จะหาเหตุผลล้านแปดมาอธิบายว่าทำไมผมถึงอยากจะเรียนไม่จบ แต่มันหาเหตุผลไม่ได้เลยสักข้อที่จะทำลายสัจจะและความรับผิดชอบที่ผมให้ไว้ตอนสอบสัมภาษณ์เพื่อที่จะทำให้กรรมการรับผมเข้ามาเรียน และนี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมค้นพบในตัวเอง ผมเรียนรู้ที่จะเข้าหาคนหนึ่งๆ เพื่อพาผมไปรู้จักคนอื่นๆ ต่อ ซึ่งไม่นานผมก็เริ่มรู้จักคนในหมู่บ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมอาจารย์ถึงบอกให้เราไปอยู่เป็นลูกเป็นหลาน เพราะนั่นทำให้ความสัมพันธ์สามารถเชื่อมถึงกันได้ง่ายขึ้น เวลาช่วงสองสามเดือนสุดท้ายมันผ่านไปไวมากอย่างไม่รู้ตัว เหมือนผมเพิ่งเริ่มรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แต่ก็ต้องเตรียมตัวกลับเพื่อไปลุยต่อกับการเขียนเล่มงานวิจัยให้เสร็จพร้อมกับความภาคภูมิใจ มีความทรงจำมากมายที่ต้องแพ็คใส่กระเป่า โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเด็กๆ เด็กที่ไม่รู้ว่าความอบอุ่นในครอบครัวเป็นยังไงสอนให้ผมรู้จักเป็นผู้ให้ความรักความอบอุ่นนั้น เด็กที่งอแงไม่ตั้งใจเรียนทำให้ผมนึกย้อนถึงความเกเรขี้เกียจเรียนของตัวผมเองตอนที่ยังเป็นเด็ก เด็กที่หัวใจเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าร่างกายกระตุ้นเตือนให้ผมต้องยอมรับว่าถึงเวลาที่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่เสียที เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยหลายคนที่ผมพาออกนอกเขตจังหวัดทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าอิสรภาพและความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ และเด็กที่พาผมมุดรั้วหนีไปซื้อขนมข้างนอกคืนนั้นทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมได้สร้างกรอบอะไรที่เป็นอุปสรรคกับการเรียนรู้เติบโตของผมบ้าง ในช่วงคืนสุดท้ายก่อนลาจากใจมันหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูกเป็นความรู้สึกเดียวกับคืนสุดท้ายก่อนผมออกเดินทางมาที่นี่ แต่ผมก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะกลับไปเจอเพื่อนๆ พวกเขาคงมีเรื่องราวอะไรมากมายที่จะบอกเล่าการเดินทางอันแสนท้าทายและงดงามที่ต่างคนต่างได้พบเจอ และคืนนั้นเพื่อนๆ ของผมก็คงกำลังรู้สึกเช่นเดียวกัน
ผมเพิ่งมาเข้าใจเจตนารมณ์ของอาจารย์ป๋วยที่อยากให้พวกคนเมืองออกไปเรียนรู้ชนบทก็ในวันที่เรียนจบพอดี การเรียนรู้อะไรก็คงไม่เจ๋งเท่ากับการเรียนรู้ตัวเอง รู้ว่าเรายืนอยู่ตรงจุดไหนของสังคม และเราจะร่วมรับผิดชอบสังคมได้อย่างไรจากตรงที่เรายืนอยู่ การเรียนที่นี่ 1 ปี สอนให้ผมเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้จักวิเคราะห์ วิพากษ์ตัวเองและสังคม ซึ่งไม่เพียงคิดเป็น แต่ต้องทำเป็นและแก้ปัญหาเป็นด้วย และแน่นอนกระบวนการเรียนรู้ที่นี่ได้จุดประกายอาชีพในฝันของผมที่ได้ผสมผสานทุกๆ ความฝันที่ผมอยากเป็น (ผมฝันอยากเป็นดารา นักร้อง ครู คุณหมอ และคนที่มีประโยขน์ต่อคนอื่น) อยู่ในอาชีพเดียว นั่นก็คือผู้สร้างกระบวนการเรียนรู้ (ชีวิต) ผมเชื่อเสมอว่าชีวิตคือการเรียนรู้และเราก็สามารถเรียนรู้ได้เสมอ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ อาจารย์ป๋วยไม่เพียงให้ความรู้แต่ได้สร้างให้เราเห็นว่า เราจะเป็นผู้สร้างกระบวนการเรียนรู้ต่อไปได้อย่างไรเพื่อชีวิตที่ตัวเองปรารถนาและสร้างคุณค่าคืนแก่สังคม นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 7 ปีที่ผมได้ลาออกจากคราบความมั่นคงในงาน มาเป็นมนุษย์ที่สร้างความมั่นคงในจิตใจให้แก่ตนเองและผู้อื่น ตลอดเส้นทางของการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่นี้มีคนเฝ้าถามผมอยู่ตลอดเวลาว่ารู้สึกเสียดายไหมที่ตัดสินใจลาออกในวันนั้น ซึ่งใครจะเชื่อ ว่าคำตอบของผมไม่เคยมีคำว่า “เสียดาย” เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ธานินทร์ แสนทวีสุข บัณฑิตอาสาสมัครรุ่นที่ 43
กระบวนกรผู้สร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
Preview
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
การพัฒนาสังคม (Social Development)
บทความ
สังคมศาสตร์
สังคมไทย
อาสาสมัคร
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
จุดประกายชีวิต...เมื่อฉันเป็น "บัณฑิตอาสาสมัคร"
ถ้าย้อนเวลากลับไปในวินาทีที่ชีวิตเหมือนขาดอากาศหายใจ อยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มีชีวิตในแบบที่ไม่ได้วาดฝันไว้ ใครจะเชื่อว่าในที่สุดมันก็มีหนทางที่นำชีวิตไปสู่การเกิดใหม่ แน่นอนที่คนเราเลือกเกิดในครั้งแรกของชีวิตไม่ได้ แต่ในความโชคดีของความเป็นมนุษย์เราสามารถทำคลอดชีวิตใหม่ของเราได้เองตามที่ใจปรารถนา ตราบใดที่เรายังไม่หยุดที่จะเรียนรู้และศรัทธาว่าเรานี่แหละที่สามารถลิขิตชีวิตของเราเองได้
ผมเองมีความฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากมีชีวิตที่อิสระจากสิ่งที่มันเป็นอยู่ ผมเติบโตมาในสลัมและตั้งแต่ผมจำความได้ผมบอกกับตัวเองว่าผมจะต้องออกไปมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ บ้านซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ที่คุ้มกะลาหัวแต่หมายถึงการมีที่ยืนในสังคมอย่างไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ความจริงที่ต่ำต้อย ทางเดียวที่จะสานปณิธานของผมได้คือผมต้องเรียนให้เก่งๆ สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีหน้าที่การงานที่สังคมยอมรับว่ามั่นคงและพาพ่อแม่ครอบครัวขึ้นมาสู่จุดที่สูงขึ้น และผมก็ทำผลงานได้ไม่เลวทีเดียว สอบติดมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่มีชื่อเสียง เข้าทำงานในโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่น่าเชื่อว่าผมใช้เวลาเกือบ 10 ปี วนเวียนอยู่กับค่านิยมที่กดทับตัวผมเอง เพียงเพื่อจะพบว่ามันได้พรากชีวิตที่มีชีวาของผมไป แต่เมื่อเรายังคงตั้งคำถามให้กับตัวเองว่าเราอยากจะตายอย่างมีความสุขไปพร้อมกับชีวิตแบบไหน การเดินทางของชีวิตจึงยังไม่ถึงทางตัน ในวันที่ผมต้องเลือกทางเดินของชีวิตบนถนนสายใหม่ มันยากเหลือเกินที่จะยอมสลัดทิ้งสิ่งที่สังคมให้ค่าเหล่านั้นไป ผมตามหาหนทางที่จะออกไปจากจุดเดิมอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด มีความเสี่ยงน้อยที่สุด และกระทบกับคนรอบข้างโดยเฉพาะพ่อกับแม่น้อยที่สุด และแล้วผมก็พบกับหลักสูตรการเรียนอันหนึ่งจากอินเตอร์เน็ต ใช่เลย! มันเป็นสิ่งที่ผมตามหา กุญแจที่จะช่วยเปิดประตูไปสู่แสงสว่างบนขอบฟ้าใหม่ของชีวิต ใครจะเชื่อว่ามีอยู่จริงแค่เอื้อม หลักสูตรที่ไม่ต้องเสียค่าเทอม แถมยังได้เบี้ยเลี้ยงรายเดือน มีที่ให้อยู่ มีอาหารให้กิน ได้ออกต่างจังหวัดและกรอบเดิมๆ ไปเรียนรู้จากคนเก่งๆ มากมาย ได้เพื่อนใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร(เพราะเราต่างก็ไม่ยอมให้ใครมาซ้ำ) และที่สำคัญได้เข้ารับปริญญาด้วยนะ (แม่คงจะภูมิใจและด่าเราน้อยลงเรื่องลาออก) วินาทีนั้นผมดีใจมาก การออกจากงานอันมั่นคงเพื่อมาเรียนรู้การเป็นอาสาสมัคร ได้สานฝันตามอุดมการณ์ เป็นคนที่เข้าใจวิถีของการเสียสละ มีทักษะและความรู้เชิงวิชาการที่จะทำงานร่วมกับชุมชนคนรากหญ้า ได้ทำประโยชน์ให้สมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ผมกลายมาเป็นคนใหม่ที่ค้นพบศักยภาพของตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร และมีความสามารถด้านใดบ้างที่จะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง
กระบวนกรผู้สร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต