ป.ตรี เข้าเรียน ป.เอก และ โทควบเอก ต่างกันอย่างไร

ตอบคำถามหลายท่านที่สงสัยระหว่าง แบบแรก. ป.ตรี -> ป.เอก และ แบบสอง ป.ตรี -> ป.โท ควบ ป.เอก หลายคนเข้าใจผิดว่าเหมือนกัน จริงๆ แล้วแม้จะจำนวนหน่วยกิตเท่ากันกัน แต่กระบวนการเรียน เกณฑ์การเข้าศึกษา ความเข้มข้นต่างกัน และทั้งสองแบบก็มีเด่น มีด้อย ต่างกันมาก

แบบแรก. ป.ตรี -> ป.เอก 72 หน่วยกิต ในเล่มหลักสูตรจะเขียนคุณสมบัติผู้สมัครว่า เกียรตินิยมอันดับ 1 เป็นนักศึกษา ป.เอก ตั้งแต่ Day 1 ถ้าเรียนไม่ไหว ไม่จบ ไม่ได้ปริญญาใดๆ เลย ถ้าเรียนจบจะได้เฉพาะ ป.เอก
แบบสอง. ป.ตรี -> ป.โท ควบ ป.เอก 72 หน่วยกิต ในเล่มหลักสูตรจะเขียนว่า “หลักสูตรควบระดับปริญญาโทและปริญญาเอก" คุณสมบัติผู้สมัครไม่กำหนดว่าต้องเกียรตินิยม เป็นนักศึกษา ป.โท ก่อน แล้วค่อยปรับเป็น ป.เอก ถ้าเรียน ป.เอก ไม่ไหวขอหยุดที่ ป.โท ได้ ถ้าจบการศึกษาได้ทั้ง ป.โท และ ป.เอก

สายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์(มหาวิทยาลัยชั้นนำ ในประเทศไทย ,อดีตประเทศในเครือจักรภพ  และ ในยุโรปบางมหาวิทยาลัย) จบ. ป.ตรี ต่อ ป.เอก ได้เลยครับ และไม่ใช่แบบ โทควบเอก แต่เป็น ป.เอก แท้ๆเลย ส่วนใหญ่จะต้องมีระเบียบกำหนดอย่างน้อย 2 ข้อ
1. จบ ป.ตรี ด้วยระดับคะแนน เกียรตินิยมอันดับ 1
2. คณะกรรมการหลักสูตร มีมติให้เข้ารับการศึกษา

ป.ตรี -> ป.เอก จะใช้เวลาในการเรียน 3 - 5 ปี (หลักสูตรกำหนดไว้ 4 ปี) หลักๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถมีงานวิจัยตีพิมพ์ตามเงื่อนไขการจบหลักสูตรได้ช้าเร็วแค่ไหน ความเข้มข้นก็จะเป็นแบบนักศึกษา ป.เอก ตั้งแต่ day 1 และเมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้ วุฒิ ป.เอก เลย ถ้าไม่สำเร็จการศึกษาจะขอรับแค่ ป.โท ก็ไม่ได้ คือไม่ได้อะไรเลย

ส่วนใหญ่แล้ว แม้จะจบ ป.ตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 และเดินเข้ามาสมัครแบบไม่รู้จักใคร คณะกรรมการหลักสูตรมักจะไม่ค่อยกล้ามีมติให้เข้ารับการศึกษาตามระเบียบข้อ 2. นอกจากอาจารย์ในหลักสูตรสัก 1 คน(น่าจะต้องอาวุโสระดับนึงเลย) จะยืนยันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ารู้จักคุณดีระดับหนึ่ง พูดคุยกันมาระยะนึงแล้ว และอาจารย์ท่านนั้นก็พร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาทั้งวิชาการและวิทยานิพนธ์ให้คุณ ยืนยันว่าคนนี้แหละใช่เลย คณะกรรมการหลักสูตรจึงจะมีมติให้เข้าเรียนในหลักสูตรนี้ครับ ทั้งนี้ก็เพราะระยะเวลาการเรียนมันยาวนาน 4 ปี และหลักเกณฑ์ก็เข้มข้นแบบ ป.เอก ตั้งแต่ day 1 อีกทั้งการเรียน ป.เอก เป็นการเน้นทำวิจัยเป็นหลัก ซึ่งเด็กที่พึ่งจบ ป.ตรี ส่วนใหญ่จะยังไม่มีประสบการณ์การทำวิจัยมาก่อน ดังนั้นถ้าคณะกรรมการไม่มั่นใจ หรือคุณไม่ Outstanding จริงๆ หรือไม่มีอาจารย์ในหลักสูตรยืนยัน การให้นักศึกษาเรียน ป.โท 2 ปี ไปก่อน มันเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ ป.เอก และเบากว่าด้วยเงื่อนไขการจบหลักสูตรแบบ ป.โท และเมื่อจบ ป.โท คุณก็มีโอกาสตัดสินใจใหม่อีกครั้งว่าจะเรียน ป.เอก ต่อ หรือพอเท่านี้ อย่างน้อยก็ยังมี ป.โท ติดตัว แต่ถ้าเป็นหลักสูตร ป.ตรี->ป.เอก เลย ถ้าไม่จบคุณไม่ได้วุฒิอะไรติดตัวไปเลย

นอกจากระเบียบ 2 ข้อ ยังมีอีกหลายอย่างที่แม้ไม่ได้กำหนดในเอกสารรับสมัครแต่ถ้าคุณไม่มีมา เขาก็จะมองว่าน่าจะยังไม่พร้อม เช่น
3. ผลสอบภาษาอังกฤษ ควรพกมาแบบคะแนนอยู่ในระดับจบ ป.เอก ได้เลย (ระดับ IELTS 6.0+)
4. จดหมาย Recomendation จาก อาจารย์เก่าที่สอนคุณมา แล้วในจดหมายต้องนั่งยันมาเลยว่าคุณเรียนจบ ป.เอก ได้แน่นอน ซึ่งถ้าอาจารย์ท่านไม่มั่นใจในตัวคุณท่านจะไม่เขียนให้ หรือเขียนแบบกลางๆ ผู้อ่านจะรู้กัน
5. ปริญญานิพนธ์ ที่มีแนวโน้มจะพัฒนาต่อเป็น Thesis ระดับ ป.เอก ได้ หรือหัวข้อวิจัยที่คุณสนใจ กรรมการหลักสูตรฟังแล้วเชื่อว่าไปต่อได้
6. เปเปอร์ที่ได้รับตีพิมพ์มาแล้วถ้ามีคณะกรรมการหลักสูตรอาจจะให้คะแนนคุณมากขึ้นอีกสักหน่อย
7. ความพร้อมทางการเงิน ตลอด 3-5 ปี ค่าลงทะเบียน กินใช้ ไม่มีงานทำระหว่างนั้นจะอยู่ยังไง
8. ทัศนคติ วุฒิภาวะ อุปนิสัย IQ และ EQ

แบบแรก ป.ตรี -> ป.เอก หลักสูตรกำหนด 4 ปี (72 หน่วยกิต) สำเร็จการศึกษา ป.ตรี ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 และคุณต้องฉายแววเป็นดุษฎีบัณฑิตมาตั้งแต่เรียน ป.ตรี อาจารย์ที่ปรึกษาระดับ ป.ตรี ต้องเขียนจดหมาย Recommendation ที่อ่านแล้วประจักษ์ชัดว่าคุณ Outstanding (ไม่ใช่แค่เรียนเก่ง) และจะต้องมีอาจารย์ในหลักสูตร ป.เอก 1 ท่าน ที่เห็นว่าคุณพกพาความพร้อมที่จะสำเร็จ ป.เอก ได้ และยืนยันให้คุณ แม้คุณสมบัติข้อ 3 - 8 ของคุณจะไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าอาจารย์ในหลักสูตรท่านยันให้ก็พอผ่อนผันได้ ยกเว้นคุณสมบัติข้อ 1 อันนี้ไม่น่าจะผ่อนผันได้เพราะเป็นไปตามระเบียบบัณฑิตศึกษา ดังนั้นเมื่อคุณประสงค์จะสมัครเข้าหลักสูตร ป.ตรี -> ป.เอก อย่างน้อยคุณควรพก 1 Class Honour Degree + ผลสอบภาษาอังกฤษแบบผ่านเกณฑ์  แล้วเขาจะบอกให้คุณไปหา อาจารย์ที่ปรึกษาให้ได้ก่อน

แบบสอง ป.โท ควบ ป.เอก หลักสูตรกำหนด 5  ปี (72 หน่วยกิต)  เป็นการจัดหลักสูตรให้เกิดความต่อเนื่อง ลดความซ้ำซ้อน มุ่งตรงสู่การจบ ป.เอก แบบผ่าน ป.โท อาจารย์ที่ปรึกษาจะวางแนวงานวิจัยที่กำลังจะทำให้มีคุณภาพในระดับที่ขอใช้จบ ป.เอก ได้ และนักศึกษามีทรัพยากรที่จะเรียนจบ ป.โท-ป.เอก หรือเมื่อเข้าเรียนแล้วนักศึกษาฉายแววด้านการทำวิจัย อาจารย์ท่านอาจจะหาทุนการศึกษา ป.โท ควบ ป.เอก ให้ได้ การจัดการเรียนการสอน ป.โท และ ป.เอก อาจจะควบคู่กันไปหรือต่อเนื่องทันทีหรือแล๊ปกัน(ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะปรับแบบไหนให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ อว. การศึกษา ป.โท ควบ ป.เอก) โดยอาจจะให้รายวิชาบางตัวในระดับ ป.โท เทียบแทน รายวิชาในระดับ ป.เอก และ ใช้งานวิจัยที่มีแววนั้น เป็นผลงานวิจัยตามเงื่อนไขการจบ ป.เอก เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้วุฒิ  ป.โท และ ป.เอก หรือระหว่างเรียนจะขอหยุดแค่ ป.โท ก็ได้
 
แบบแรก คุณต้องมีแววเป็น ดุษฏีบัณฑิตตั้งแต่ก่อนจบปริญญาตรีและมีผลการเรียนในระดับ ป.ตรี ที่โดดเด่น ควรมีผลสอบภาษาอังกฤษอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ก่อนเข้าเรียน มีหัวข้อวิจัยมาแล้วบ้างในใจที่อาจารย์ท่านเชื่อว่าน่าจะเป็นงานวิจัยที่สามารถใช้ จบ ป.เอก ได้ ส่วนแบบสองคุณคาดว่าตัวเองน่าจะจบ ป.เอก ได้ แต่ถ้าไม่ไหวก็ขอหยุดระหว่างทาง ได้รับ ป.โท ไว้ก่อนได้ การก็ทีละขึ้น เรียน ป.โทก่อนถ้าไหวก็อาจจะกระโดดจาก ป.โท เข้าสู่ ป.เอก เร็วขึ้นเพระาโครงสร้างหลักสูตรควบกันอยู่แล้ว

แบบแรกไม่จบการศึกษาไม่ได้อะไรเลย
แบบสองไม่จบ ป.เอก ก็จะขอหยุดแค่ ป.โท ก็ได้ 

แม้คุณจะจบ ป.ตรี ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1  แต่ไม่ Outstanding อาจารย์หรือคณะกรรมการหลักสูตรมักจะแนะนำให้คุณเรียน ป.โท ให้จบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกรอบว่าจะทำ ป.เอก หรือไม่ เป็นวิธีการที่ปลอดภัยกว่ามาก โดยเฉพาะกรณีที่คุณสมัครเรียน ป.ตรี->ป.เอก พร้อมขอรับทุนการศึกษาด้วย อันนี้ยิ่งจะยากต่อการพิจารณาอีก 10 เท่า เพราะเงินทุนที่นำมาให้คุณนั้นแท้จริงแล้วเขาให้มาที่อาจารย์ที่ปรึกษา หากคุณไม่สำเร็จการศึกษา หยุดการศึกษา ไม่สามารถมีผลงานวิจัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอาจารย์ที่ปรึกษาจะต้องชดใช้ทุนคืนให้แก่แหล่งทุน มันหมายถึงอาจารย์ที่ปรึกษารับผิดชอบเต็มๆ หรือถ้ารับคุณเข้ามาเรียนพร้อมรับทุนแล้ว แต่คุณไม่ Outstanding จริงๆอย่างที่คาดหวังกัน ภาระความปวดหัวจะกลับมาที่อาจารย์ที่ปรึกษาละคราวนี้ รับเงินทุนมาแล้ว คุณก็ใช้เงินไปแล้วกับค่าเทอมค่าใช้จ่ายรายเดือน การทำวิจัย แต่ไม่ได้ผลตามคาด อาจารย์ท่านก็ต้องทำทุกอย่างแทนคุณเพื่อปิดจ๊อป สรุปว่า ป.ตรี->ป.เอก + ทุนการศึกษา เฉพาะ กรณี Outstanding + ความรับผิดชอบสูง นักศึกษาท่านใดจบ ป.ตรี->ป.เอก+ทุน ต้องเรียกว่า "เทพ"

แบบแรกเงื่อนไขการรับเข้าเรียน รายวิชาเรียน การประเมินผลการเรียน และสำเร็จการศึกษา เป็นแบบ ป.เอก ตั้งแต่ day 1 แบบที่สองเงื่อนไขการรับเข้าเรียนและสำเร็จการศึกษาเป็นแบบ ป.โท ก่อน เมื่อปรับสภาพเป็น ป.เอก จึงเปลี่ยนเป็นเงื่อนไข ป.เอก

แบบแรก ม้วนเดียวจบ ป.ตรี -> ป.เอก ไม่มีกระบวนการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ป.โท เลย  แบบสองจริงๆ ก็คือ 2 ขั้นตอนคือการเรียน ป.โท แล้ว ค่อยปรับสภาพมาเรียน ป.เอก จึงเรียกว่า โท ควบ เอก

แบบแรก เนื่องจากผู้เรียนมีผลการเรียน และคุณสมบัติอื่นๆ อยู่ในระดับ Outstanding จึงมักมีทุนการศึกษารองรับตั้งแต่ก่อนเข้าเรียน แบบที่สองมักไม่ค่อยมีทุนการศึกษารองรับ อาจจะได้ทุนก็มักจะเป็นช่วงหลัง

เมื่อสำเร็จการศึกษาทั้งแบบแรก และแบบสอง มีศํกดิ์และสิทธิ ถือว่าสำเร็จปริญญาเอก เทียบเสมอกัน

แบบแรก ป.ตรี -> ป.เอก เท่าที่ผมพอมีข้อมูล ผู้เรียนมักจะสำเร็จการศึกษาภายในระยะเวลา 4 ปี หลายนคนมีแววว่าจะจบการศึกษาก่อนกำหนด ทั้งนี้ก็เพราะนักศึกษากลุ่มนี้มีองค์ความรู้บริบูรณ์ สำเร็จการศึกษา ป.ตรี ด้วยผลการเรียนดีเลิศ มีความสามารถในทางภาษาเหมาะสมตั้งแต่ก่อนเข้าศึกษา ป.เอก การรีวิวงานวิจัย ค้นคว้า ตลอดจนการเขียนภาษอังกฤษแทบไม่เป็นปัญหา ระหว่างเรียนได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ที่ปรึกษาแบบมุ่งตรงและมักจะได้รับทุน จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการหารายได้ระหว่างเรียน เน้นเรียน และทำวิจัย จึงมักจบตามระยะเวลา

แบบที่สอง ป.ตรี -> ป.โท ควบ ป.เอก มักจะใช้เวลาศึกษานานกว่ามิใช้เพราะหลักสูตรกำหนดให้เรียนนานกว่าเพราะเป็นกระบวนการเรียนทั้ง ป.โท และ ป.เอก ผลการเรียน ป.ตรี และ ผลสอบภาษาอังกฤษ ของผู้เข้าศึกษาอาจจะไม่สูงมาก ไม่ค่อยกล้ากำหนดเป้าหมายแบบ ป.เอก การศึกษาและงานวิจัยจะค่อยๆ ไต่ระดับ งานวิจัยระดับ ป.โท โดยทั่วไปมักจะใช้สำเร็จการศึกษา ป.เอก ไม่ได้ แต่พอค้นพบตัวเองว่าเราน่าจะ จบ ป.เอก จะไปต่อจริงๆ จังๆ  ก็จะต้องพัฒนางานวิจัยให้มีคุณภาพสูงขึ้น จึงเหมือนต้องทำงานใหม่อีกครั้ง

ป.ตรี -> ป.เอก เวลาไปสมัครงานราชการ อาจจะปวดหัวนิดหน่อย เพราะคนจำนวนมากไม่ทราบว่ามีการเรียนแบบ ป.ตรี -> ป.เอก ดังนั้นคุณจะถูกถามหาวุฒิ ป.โท แต่คุณไม่มี เจ้าหน้าที่รับสมัครอาจจะมองว่าคุณขาดคุณสมบัติการรับเข้าทำงานเพราะในประกาศรับสมัครมักระบุว่าต้องจบ ป.ตรี และ ป.โท และ ป.เอก ต้องอธิบายกันพักนึง แต่ถ้าสมัครเป็นอาจารย์ คุณอาจจะได้รับการพิจารณาอันดับต้นๆ เพราะหลักสูตร ป.ตรี -> ป.เอก ออกแบบไว้เฉพาะ Outstanding ยิ่งถ้าคุณได้รับทุนระหว่างเรียนด้วย มันพิสูจน์ชัดว่าคุณ Outstand + ความรับผิดชอบสูง หากสถาบันการศึกษานั้นพิจารณาที่ความรู้ความสามารถจริงๆ คุณได้รับการพิจารณาก่อนคนอื่นแน่นอน

แบบแรก ป.ตรี -> ป.เอก ไม่ใช่หลักสูตร ป.โท ควบ ป.เอก เงื่อนไขการเข้าศึกษา กิจกรรมวิชาการ เงื่อนไขการสำเร็จการศึกษา เป็นแบบ ป.เอก ตั้งแต่ Day 1 เรียนไม่จบไม่ได้ปริญญาอะไรเลย จะหยุดขอรับแค่ ป.โท ก็ไม่ได้ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่