ไป ไปเถอะ ไปแอ่ว จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ (ตอน 5 )

กระทู้สนทนา
( ต่อจากตอน 4 )
วันที่ ห้า ( บทสุดท้าย ..ลา..ลาแล้วลา..ฟ้า..เชียงใหม่..เอย..)
       หลังจากกินข้าวเช้า อาหารญี่ปุ่น บางอย่างของโรงแรมแล้ว ตั้งใจว่าจะพาพี่ ๆ ไปไหว้พระที่วัดพระสิงห์ และชมพิพิธภัณฑ์เชียงใหม่ ( ต้า เชคข้อมูล แล้วว่าพิพิธภัณฑ์ ปิด เนื่องจากวันหยุด) แผนเปลี่ยน พี่หมู กับพี่นิด ต้องการไปกาดวโรรส ไปซื้อสินค้าประเภทงานฝีมือ พอส่งพี่หมูกับพี่นิดแล้ว. ต้าขับรถวนไปดูร้านขายชา Vieng Joom On ปรากฏว่าร้านยังไม่เปิด พวกเราที่เหลือไปไหนดี ถามพี่ ๆ ว่าจะไปสันกำแพงหรือ...ก็ไม่มีใครตอบ เราเลยตัดสินใจว่าไปดอยปุย ( ดอยสุเทพวันนี้คนอาจเยอะมาก.. ) เพราะเมื่อคืนน้องปี 1. คงขึ้นดอยตามประเพณี...โบราณนานมา.. แต่พี่เขียวอยากไปซื้อไส้อั่วที่ตลาดแม่เหียะ ส่วนพี่แอดก็รำพัน...จะไปซื้อชาที่เวียงจูมออน ( Vieng Joom On teahouse)  เราบอกต้าว่าให้ไปขึ้นดอยก่อน เมื่อขับรถขึ้นดอยสุเทพนั้น ระหว่างทางจะเห็นร่องรอยของขยะจากเมื่อคืนแน่เลย แต่ก็ได้เห็นรุ่นพี่ปฏิบัติหน้าที่เก็บใส่ถุงดำเรียบร้อย...ขอบคุณนะพี่..ที่ทำตัวอย่างที่ดีให้น้องได้ตระหนักว่าเมื่อคุณเติบโตเป็นรุ่นพี่ คุณก็ต้องปฏิบัติแบบนี้..เช่นกัน..มิใช่บอก..ให้ยกเลิกการไหว้ครู ยกเลิกการไหว้พ่อแม่...คิดได้อย่างไร...(..แถ..ไปเรื่องอื่นอีก..จนได้...)...ผ่านน้ำตกวังบัวบาน.. ผ่านพระธาตุดอยสุเทพ... วันนี้คนไม่มาก นักท่องเที่ยวอาจยังมาไม่ถึง.. เดินทางต่อไปผ่านพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์. ..โอ้..เคยภิรมย์สุขสมจินต์..แผ่นฟ้าแผ่นดินเชียงใหม่....ภูพิงค์นั่นไง..(.นึกถึงเพลง...) ก่อนจะถึงดอยปุย ผ่านเส้นทางเดินรถที่แคบ (..เราผ่านเส้นทางหฤโหดมาแล้ว..มะนาลี..แค่นี้จิ๋ว ๆ..) แต่พอหลบหลีกได้ มีรถสวนลงมาเพียง 2. คัน ( ..บอกแล้วว่า..ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว..แต่พี่อยากมา..) การเดินทางไปดอยปุยครั้งนี้ ดูทุกคนเหงา ๆ เซ็ง ๆ เพราะมาหลายครั้งแล้ว...ไม่รู้จะไปไหนล่ะซิ.. (..แต่พี่อย่าลืมสำคัญว่า..วันนี้พี่มากับใคร..อิอิ..) ระยะทางจากเมืองเชียงใหม่มาถีงดอยปุย  37 km ใช้เวลาประมาณ 1.20 h
       ดอยปุย ( ดอยรัก ..ดอยลา..)
      ดอยปุย เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง (แม้ว) ก่อตั้งมากว่า 50 ปี ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไปหนึ่งปี มีชาวม้งอพยพเข้ามาอยู่ก่อน เรียกชื่อหมู่บ้านว่า “หมู่บ้านปานขมุก ขับรถเลยขึ้นไปจากพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ 4 กิโลเมตร อยู่ในพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่ ที่ตั้งของดอยปุยอยู่ในแนวของเทือกเขาถนนธงชัย สูงจากระดับน้ำทะเล 1,658 เมตร สภาพภูมิประเทศของดอยปุยเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และป่าสน และดอกไม้เมืองหนาว ถ้ามาในช่วงปลายธันวาคม - ต้นมกราคม..จะเห็นดอกนางพญาเสือโคร่ง ( ซากุระ..เมืองไทย..) ออกดอกสีชมพูสวยงาม อากาศเย็นและชื้น  อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีต่ำสุดในพื้นที่อยู่ระหว่าง 10-12 องศาเซลเซียส (..ชาวม้ง..ไม่ชอบให้เรียกว่า..แม้ว..ถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยาม)
     ทำไมดอยปุย (.. ดอยรัก ..ดอยลา...) เมื่อตัดสินใจ..ตัดสินใจแล้วจะไปดอยปุย..ครั้งหนึ่งตอนเป็นนิสิตเคยมาศึกษาพืชพันธุ์ไม้ในแถบภาคเหนือ ของรายวิชาที่เรียน ครั้งนั้นนิสิตในชั้น ปี 2 มีจำนวนแค่ 24  คน (..เอกเดียวกัน) เดินทางโดยรถไฟถึงเชียงใหม่ แต่ถ้ารถไฟผ่านจังหวัดใด เช่น อยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก ...ลำปาง.. ก็จะมีรุ่นพี่ส่งเสบียงอาหาร สนุกมาก เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก แต่ไม่รู้สึกว่านาน คงด้วยเป็นเด็กก็สนุกสนานกันไป พอถึงเชียงใหม่เดินทางขึ้นดอย...ตอนนั้นรถจะขึ้นได้แค่ดอยสุเทพ ( อาจารย์ assign ไว้แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง ) หลังจากนั้นทุกคนเดินขึ้นไปจากดอยสุเทพ ถึงดอยปุย ไกลมาก..เดินเป็นกลุ่มก็คอยช่วยเหลือกัน ป่าทึบ ชุมฉ่ำด้วยพื้นดินอุ้มน้ำ บางครั้งลื่น บางครั้งเจอหอยทาก (..มีบางคน ส่วนมากจะเป็นพวกสวย ๆ ก็จะหวีดว้ายไปตามเรื่อง..เล่นเอาหนุ่มน้อยมาด้วยทำอะไรไม่ถูก...) เราเฉย ๆ วาดรูปไปเรื่อย ๆ ( net ไม่มี จะได้บอกรายละเอียดพืชพันธุ์ได้) กลับมาต้องไปค้นคว้าที่หอสมุดอีกหัวโต....การเก็บข้อมูลครั้งนี้เหนื่อย หิว.กระหาย...พอสมควร แต่โชคดีมีเพื่อนคอยช่วยเหลือ แบกน้ำ แบกข้าวไปให้ เราเลยไม่หนัก (...ขอบคุณมากนะ...) กลับมาแอบปลื้ม..ถึงบนดอยบ่ายมาก เจอม้งเด็ก ๆ ชวนกันถ่ายรูป (ขาว ดำ ) พอถึงกิจกรรมกลางคืน เพื่อนคนเดิมก็มานั่งใกล้ ๆ ทำกิจกรรมเป็นคู่อีก ...อ่ะอ่ะ..(..ความลับเปิดเผย...)
     แต่แล้วอนิจจา กลับมาถึงมหาวิทยาลัยแอบเห็นสาวสวยเอกอังกฤษ มาหากินข้าวด้วยทุ้กวัน (กลางวัน..) ตัดสินใจแล้ว.. ดอยรัก...ดอยลา...ซะแล้ว (...โอ้ความรักที่ซ่อนในดวงจิต..ตามเฝ้าสะกิด...) ตื่น ๆ จากอดีต เข้าสู่ปัจจุบัน  บนดอยปุยวันนี้นักท่องเที่ยวน้อยมาก มีการกำหนดเส้นทางเดินให้ผ่านไปด้านขวาผ่านร้านค้าเสื้อผ้าแบบม้ง ของใช้ม้ง หลายคนก็ซื้อ ซื้อไปเรื่อย จนถึงที่จ่ายเงินเข้าพิพิธภัณฑ์ ( 10 บาท) จ่ายเงินแล้วเดินเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ม้ง เป็นโรงเรือน สร้างด้วยไม้ เก็บของใช้เครื่องมือ ประกอบอาชีพ มีรูปเก่า ๆ ด้วย ( จำได้ว่ามีต้นไผ่ปล้องใหญ่มากประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 - 10 นิ้ว และปล้องก็ยาวมาก..อยู่ด้านหลัง..มีบ้านม้งด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว..ชีวิตที่ยากจน..)  เดินต่อไปอีกก่อนถึงออกไปที่สวนดอกไม้ มีให้เช่าชุดม้งด้วย ( มาแล้วต้องถ่ายรูป..) มีดอกไม้ไม่มากนัก แต่ก็สวยอยู่ พอสมควร มีม้งปลอม ๆ  กลุ่มเล็ก ๆ เดินถ่ายรูป พวกเราก็เลยถ่ายรูป

      เสร็จแล้วเดินทางกลับลงจากดอย ไปกินข้าวกลางวันที่ร้านเฮือนเพ๊ญ 2  หลังจากนั้นไปซื้อไส้ฮั่วที่ตลาดแม่เหียะ  แล้วไปซื้อชา ที่ร้าน Vieng Joom On teahouse  ( วันนี้..ถ้าไม่ได้ไส้ฮั่ว กับชา ละก็..อ้ายหวังตายแน่..) ผลสุดท้ายทุกคนได้สิ่งที่ปรารถนา. ( ต้า..จัดให้..)  ไปรับพี่หมูกับพี่นิดที่กาดวโรรส พร้อมกันแล้วตรงไปไหว้พระธาตุหริภุญชัย (ระยะทางจากเชียงใหม่ถึงลำพูน  20 Km ) พอขับรถไปถึงประมาณ บ่าย  14.30 น เกือบถึงพระธาตุอยู่แล้วเชียว เกิดอะไรขึ้นรถติดเป็นตังเม เจอขบวนแห่งานวันเพ็ญเดือนวิสาขบูชายาวเป็นกิโล .(..สลบอีกครั้ง...ข้อมูลไม่หามาก่อน..เพราะต้องกลับรถไฟ 6 โมงเย็น ) ได้ยินเสียงพี่นิดบอกเราขึ้นรถไฟที่ลำพูนก็ได้..ถ้ากลับเชียงใหม่ไม่ทัน...ผลที่สุดแผนเปลี่ยนไปวัดมหาวัน 
     วัดมหาวันวนารามสร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวีครองหริภุญไชย พระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย เมื่อพระนางจามเทวีเสด็จมา หริภุญไชยนั้นได้พาไพร่พลที่มีความรู้สาขาต่างๆ พร้อมพระสงฆ์ ประมาณ 500 องค์มาด้วย รวมทั้งอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญอีก 2 องค์ คือ พระแก้วขาว (พระเสตัง คมณี) และพระศิลาดำ (พระพุทธสิกขิ) เมื่อถึงหริภุญไชย พระนางจามเทวีโปรดให้สร้างวัดมหาวัน เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระสงฆ์และนำพระศิลามาประดิษฐานไว้ด้วย (ส่วนพระแก้วขาวนั้นพระเจ้าเม็งรายแห่งล้านนาได้อัญเชิญ ไปเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ และประดิษฐานไว้ที่วัดเชียงมั่น ใน จ.เชียงใหม่ จนถึงปัจจุบัน) ต่อมาหริภุญไชยเกิดสงครามกับ ขุนลัวะวิลังขะ พระฤาษีจึงใช้พระศิลาดำเป็นต้นแบบสร้าง พระเครื่องแจกจ่ายชาวเมืองเพื่อใช้ออกศึก พระเครื่องส่วนที่เหลือบรรจุไว้ใน เจดีย์ที่วัดมหาวัน ต่อมา ในยุคหลัง เมื่อเจดีย์บรรจุพระปรักหักพังลง ชาวบ้านจึงพบพระเครื่องที่เก็บไว้ต่างนำกันไปบูชาและ พบกับอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆ พระเครื่องเหล่านี้คือ พระรอดมหาวันที่โด่งดัง  (...เสียดาย..ไม่ได้เช่า...)

         ออกจากลำพูน กลับเชียงใหม่ตรงไปสถานีรถไฟ ( สายอุตราวิถี..) เตรียมตัว...กลับ ถึงสถานีรถไฟ 17.00 น. check ตั๋วแล้วขี้นรถ เตียงบนล่าง  4 คู่ 8  คน ตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ปูเตียง เลยเป็นที่นั่งคุยกันไปก่อน  
        รถด่วนพิเศษอุตราวิถี (อุตราวิถี แปลว่า ทางสู่ภาคเหนือ; รหัสขบวน: 9/10) เป็นขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถีเริ่มเดินรถเที่ยวปฐมฤกษ์ในเส้นทางกรุงเทพมหานคร-เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เป็นรถตู้นอนปรับอากาศ พอสัก 2  ทุ่ม หลังกินข้าวกันแล้ว พนักงานก็มาปรับที่นั้งเป็นที่นอน นอนสบายทั้งชั้นล่าง และบน ( ..ไม่เหมือนที่บางประเทศ ..ที่นอน 3  ชั้น  คนอยู่ชั้นบนสุดไม่สามารถนั่งได้ ต้องคุดคู้ ..) วันนี้เดือนเพ็ญ..สวยเย็นเห็นกระจ่าง...วันวิสาขบูชา ...พวกนอนเตียงล่างบอกพระจันทร์สวยมาก ..แต่ก็ต้อง ลา..ลาแล้วลา..ฟ้า..เชียงใหม่..เอย ...สักวันหนึ่งที่เราคงได้มาพบกันอีก...แต่ความแน่นอน..อยู่บนความไม่แน่นอน ขบวนรถกว่าจะถึงบ้าน (อยุธยา..)  สายไป 1.30 h. นึกถึงคนที่ต้องไปต่อเครื่องบินเลย...(..ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ)







       การเดินทางครั้งนี้ขอขอบคุณ ต้า พนักงานขับรถอย่างมากที่ขับด้วยความกดดันมาก ( เพราะทุกคนพูดไม่หยุด..) และสามรถพาเราไปทุกสถานที่ที่ต้องการ  ขอบคุณอีกครั้ง   และขอขอบคุณทีมทัวร์....ไป...ไปเถอะ..ไปแอ๋วจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ด้วยจากใจจริง เพราะไปทัวร์กันทีไรก็สนุกทุกที ได้ฟังพวกพี่ ๆคุยกันก็มีความสุขแล้ว และยังมีต่อรองอีกว่าต้องพาไปอีก...ด้วยความยินดียิ่ง...เจ้าค่ะ...
      แล้วเราทุกคนก็ถึงเป้าหมายโดยปลอดภัย.  ลาก่อนนะ ทุกคน...ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการท่องเที่ยวครั้งนี้. 
หลังจากนั้น  อีก 2 วัน เราได้จัด   Celebrate. after end of the trip at  Chinese Restaurant  Krungsri River Hotel.
Say Goodbye !!  See you  again

  ลาก่อน...ลาก่อน...สวัสดีค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่