ได้เห็น, ได้อ่าน และได้ยิน ทัศนคติแนวนี้มาเป็นเวลานาน ยกตัวอย่างใกล้ๆก็ในสังคมพันทิปนี้แหละ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีแนวคิดแบบนี้ วันนี้เลยอยากจะถือโอกาสมาแสดงความคิดเห็น จากประสบการณ์ของของพลเมืองชั้น 2 ที่คนเหล่านั้นเข้าใจว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ
ขอยกตัวอย่างของการได้เป็นพลเมืองของประเทศ สหราชอาณาจักร United Kingdom ว่าเราได้รับสิทธิ์ อะไรบ้าง
1. มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ทั้งในระดับท้องถิ่น, ระดับประเทศ รวมถึงผู้แทนสหภาพยุโรป เช่นเดียวกันกับประชาชนทีเกิดและมีบรรพบุรุษ สืบเชื้อสายกันมายาวนาน ไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย
2. สิทธิ์ในการได้รับการดูแลรักษายามเจ็บป่วย เช่นเดียวกันกับทุกๆคน ทุกๆระดับชั้นในประเทศ ไม่มีความแตกต่างกันเลย ส่วนตัวแล้วอยู่ที่นี่มานาน ยอมรับ เลยว่า ได้รับการเอาใจใส่อย่างดี เช่น จะได้รับจดหมายจาก General doctor ให้ไปตรวจสุขภาพเมื่อถึงกำหนดเป็นประจำ พออายุ 60 ปีก็จะได้รับจดหมาย ให้ไปตรวจมะเร็งลำใส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยที่จะเป็นได้สูง หรือถ้าเรามีความกังวล หรือ พบความผิดปรกติ ก็สามารถไปพบแพทย์ได้ทั้นที และทั้งหมดนี้ ไม่มีค่าใช้จ่าย (จริงๆแล้ว เราได้จ่ายไปทั้งหมดแล้วในหัวข้อของหน้าที่)
3. สิทธิ์ในด้านการศึกษา กรณีที่เราเป็นผู้เยาว์ หรือมีบุตร ธิดา จะได้สิทธิ์ในการเข้ารับการศึกษาฟรีตั้งแต่อนุบาล(Kindergarten) จนจบการศึกษาระดับมัธยม ปลาย(High school) และข้อนี้มีกฏหมายบังคับด้วยว่าเด็กทุกๆคน ต้องได้รับการศึกษา โดยผู้ปกครองมีหน้าที่จะต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กได้รับการ ศึกษาทุกคน
สามข้อนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน มาอย่างไร เมื่อเป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักร United Kingdom แล้ว คุณย่อมได้รับสิทธิ์ และความคุ้มครองตามกฏหมายอย่างเท่าเทียมกัน
สำหรับหน้าที่นั้น เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ เช่นเดียวกันกับประชาชนทุกๆคน ไม่ว่าเราจะมีพื้นเพความเป็นมาอย่างไร ก็ต้องปฏิบัตรตามเหมือนกันหมดทุกคน เช่น เคารพปฏิบัติตามกฏหมาย เสียภาษี ฯลฯ ในส่วนนี้จะไม่ขอยกตังอย่าง เพราะทัศนคติของคนที่คิดว่าเป็นพลเมืองชั้น 2 คือ จะไม่ได้รับสิทธิ์เท่าเทียมกันกับพลเมืองท้องถิ่นดั้งเดิม จึงขอยกตัวอย่างเล็กน้อยมายืนยันว่า ความคิดแบบนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง อาจเป็นเพราะไม่มีประสบการณ์ หรือไม่มีโอกาสได้ถือสัญชาติที่ 2 เลยมโนกันไปเองล้วนๆ
และจากประสบการณ์ส่วนตัว บางครั้งเรากลับคิดว่า การดำเนินชีวิตในประเทศไทยบ้านเกิดเราเอง กลับถูกกระทำเมือนเป็นพลเมืองชั้น 2 เสียมากกว่า เช่นการไปติดต่อกับหน่วยงานราชการ ข้าราชการบางคน ปฏิบัติกับเราเหมือนกับเป็นผู้มีพระคุณของเรา เราต้องนอบน้อม ต้องทนกับการชักสีหน้า หรือคำพูดเหน็บแนม ถ้าเราต้องการให้ธุระกรรมของเราผ่านไปโดยสะดวก ข้าราชการที่ดีก็มีนะครับ แต่ผมคงบุญน้อย เลยพบเห็นไม่บ่อยนัก
และความเข้าใจผิดๆที่คนไทยจำนวนไม่น้อย ชอบคิดว่า สังคมตะวันตก เห็นแก่ตัว ตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยมีน้ำใจไมตรีต่อกัน ต่างคนต่างอยู่ อันนี้ไม่จริงโดยสิ้นเชิง ความจริงแล้วสังคมของเขานั้น เคารพและให้เกียรติกันมากว่า มันเป็นการเคารพสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในการอยู่ร่วมกัน เราไม่ควรจะไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของคนอื่นถ้าเขาไม่ได้เชิญ หรือยินดี และที่สำคัญคือ แม้จะมองดูว่าต่างคนต่างอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เค้ามีการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันในชุมชนอย่างมาก แต่ไม่ได้แสดงออกมาแบบสังคมไทย ยกตัวอย่างแถวบ้านผม พบเจอกัน ก็ทักทายกันตามมารยาท ถามทุกข์สุขกันบ้าง แต่จะไม่มีการเม้ามอย์คนอื่นกันจนเกินงาม ผิดกับสังคมที่บ้านในเมืองไทย บางทีไม่กลับไปหลายปี แต่ได้ข้อมูลข่าวสารเหมือนกับไม่ได้จากไปไหนเลย บอกตรงๆว่าอึดอัด บางทีอยากจะถามคนที่มาเม้ามอย์นั้นว่า คือ...ผมอยากรู้มั้ยเนี่ย มาเล่าทำไม...
ใครมีประสบการณ์อะไรที่อยากจะมาแชร์กัน ก็ยินดีมากครับ ถือซะว่ากระทู้นี้เอาไว้แลกเปลี่ยนทัศนคติ และความเข้าใจกันครับ ขอบคุณ
ได้สัญชาติประเทศในยุโรป หรือประเทศพัฒนาแล้ว จะกลายเป็นพลเมืองชั้น 2 (second-class citizen) จริงๆหรือ?
ขอยกตัวอย่างของการได้เป็นพลเมืองของประเทศ สหราชอาณาจักร United Kingdom ว่าเราได้รับสิทธิ์ อะไรบ้าง
1. มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ทั้งในระดับท้องถิ่น, ระดับประเทศ รวมถึงผู้แทนสหภาพยุโรป เช่นเดียวกันกับประชาชนทีเกิดและมีบรรพบุรุษ สืบเชื้อสายกันมายาวนาน ไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย
2. สิทธิ์ในการได้รับการดูแลรักษายามเจ็บป่วย เช่นเดียวกันกับทุกๆคน ทุกๆระดับชั้นในประเทศ ไม่มีความแตกต่างกันเลย ส่วนตัวแล้วอยู่ที่นี่มานาน ยอมรับ เลยว่า ได้รับการเอาใจใส่อย่างดี เช่น จะได้รับจดหมายจาก General doctor ให้ไปตรวจสุขภาพเมื่อถึงกำหนดเป็นประจำ พออายุ 60 ปีก็จะได้รับจดหมาย ให้ไปตรวจมะเร็งลำใส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยที่จะเป็นได้สูง หรือถ้าเรามีความกังวล หรือ พบความผิดปรกติ ก็สามารถไปพบแพทย์ได้ทั้นที และทั้งหมดนี้ ไม่มีค่าใช้จ่าย (จริงๆแล้ว เราได้จ่ายไปทั้งหมดแล้วในหัวข้อของหน้าที่)
3. สิทธิ์ในด้านการศึกษา กรณีที่เราเป็นผู้เยาว์ หรือมีบุตร ธิดา จะได้สิทธิ์ในการเข้ารับการศึกษาฟรีตั้งแต่อนุบาล(Kindergarten) จนจบการศึกษาระดับมัธยม ปลาย(High school) และข้อนี้มีกฏหมายบังคับด้วยว่าเด็กทุกๆคน ต้องได้รับการศึกษา โดยผู้ปกครองมีหน้าที่จะต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กได้รับการ ศึกษาทุกคน
สามข้อนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน มาอย่างไร เมื่อเป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักร United Kingdom แล้ว คุณย่อมได้รับสิทธิ์ และความคุ้มครองตามกฏหมายอย่างเท่าเทียมกัน
สำหรับหน้าที่นั้น เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ เช่นเดียวกันกับประชาชนทุกๆคน ไม่ว่าเราจะมีพื้นเพความเป็นมาอย่างไร ก็ต้องปฏิบัตรตามเหมือนกันหมดทุกคน เช่น เคารพปฏิบัติตามกฏหมาย เสียภาษี ฯลฯ ในส่วนนี้จะไม่ขอยกตังอย่าง เพราะทัศนคติของคนที่คิดว่าเป็นพลเมืองชั้น 2 คือ จะไม่ได้รับสิทธิ์เท่าเทียมกันกับพลเมืองท้องถิ่นดั้งเดิม จึงขอยกตัวอย่างเล็กน้อยมายืนยันว่า ความคิดแบบนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง อาจเป็นเพราะไม่มีประสบการณ์ หรือไม่มีโอกาสได้ถือสัญชาติที่ 2 เลยมโนกันไปเองล้วนๆ
และจากประสบการณ์ส่วนตัว บางครั้งเรากลับคิดว่า การดำเนินชีวิตในประเทศไทยบ้านเกิดเราเอง กลับถูกกระทำเมือนเป็นพลเมืองชั้น 2 เสียมากกว่า เช่นการไปติดต่อกับหน่วยงานราชการ ข้าราชการบางคน ปฏิบัติกับเราเหมือนกับเป็นผู้มีพระคุณของเรา เราต้องนอบน้อม ต้องทนกับการชักสีหน้า หรือคำพูดเหน็บแนม ถ้าเราต้องการให้ธุระกรรมของเราผ่านไปโดยสะดวก ข้าราชการที่ดีก็มีนะครับ แต่ผมคงบุญน้อย เลยพบเห็นไม่บ่อยนัก
และความเข้าใจผิดๆที่คนไทยจำนวนไม่น้อย ชอบคิดว่า สังคมตะวันตก เห็นแก่ตัว ตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยมีน้ำใจไมตรีต่อกัน ต่างคนต่างอยู่ อันนี้ไม่จริงโดยสิ้นเชิง ความจริงแล้วสังคมของเขานั้น เคารพและให้เกียรติกันมากว่า มันเป็นการเคารพสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในการอยู่ร่วมกัน เราไม่ควรจะไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของคนอื่นถ้าเขาไม่ได้เชิญ หรือยินดี และที่สำคัญคือ แม้จะมองดูว่าต่างคนต่างอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เค้ามีการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันในชุมชนอย่างมาก แต่ไม่ได้แสดงออกมาแบบสังคมไทย ยกตัวอย่างแถวบ้านผม พบเจอกัน ก็ทักทายกันตามมารยาท ถามทุกข์สุขกันบ้าง แต่จะไม่มีการเม้ามอย์คนอื่นกันจนเกินงาม ผิดกับสังคมที่บ้านในเมืองไทย บางทีไม่กลับไปหลายปี แต่ได้ข้อมูลข่าวสารเหมือนกับไม่ได้จากไปไหนเลย บอกตรงๆว่าอึดอัด บางทีอยากจะถามคนที่มาเม้ามอย์นั้นว่า คือ...ผมอยากรู้มั้ยเนี่ย มาเล่าทำไม...
ใครมีประสบการณ์อะไรที่อยากจะมาแชร์กัน ก็ยินดีมากครับ ถือซะว่ากระทู้นี้เอาไว้แลกเปลี่ยนทัศนคติ และความเข้าใจกันครับ ขอบคุณ