ขอบอกก่อนว่าสรีระ/ระบบร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน สภาพพยาธิวิทยาก็ต่างกัน นี่คือการบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวโดยไม่มีเจตนาจะชี้แนะ/ชี้นำทางหนึ่งทางใด
ในช่วงที่ชีวิตกำลังพีค ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ วางแผนจะเลิกทำงานในอีก 4-5 ปีข้างหน้า แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตรชีวิตพังทะลายกลายเป็นศูนย์เมื่อต้องตกเป็น victim of a drunk driving/hit and run accident ใช่แล้วค่ะ นอกจากจะเมาแล้วคนขับคู่กรณียังหลบหนีไปหลังจากเกิดเหตุ ขับรถมาตั้งแต่อายุครบตามกฎหมายกำหนดไม่เคยมีอุบัติเหตุ ไม่เคยแม้แต่จะได้ parking ticket เมื่อต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้มันเป็นการยาก ยากมากๆที่จะทำใจยอมรับ ท้ายที่สุดจบลงที่อาการโรคซึมเศร้าและใบสั่งยาโรคทางประสาท แต่ด้วยความดื้อรั้นของมนุษย์พันธุ์พิเศษ AB ก็ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ด้วยสถานะ single mom ที่ต้องรับผิดชอบลูกวัยเรียนถึงสองคนมีกฎเหล็กในใจ; ห้ามขาด ห้ามลา และ ห้ามตาย
การใช้ชีวิตต่างแดนเพียงลำพังสามคนแม่ลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ต่อสู้กันไป Life must goes on

ยาที่ใช้มีผลกระทบทางลบมากกว่าทางบวก ท่านที่เคยใช้ยารักษาโรคนี้คงพอจะทราบว่ามันทรมานจิตใจ บั่นทอนอัตลักษณ์แค่ไหน รู้สึกเบลอตลอดเวลา สมองไม่สั่งงาน กระบวนการคิด/แก้ไขปัญหาและหลายอย่างรวน ทนอยู่กับมันได้ไม่นานก็ตัดสินใจหักดิบหยุดยา (
ขอย้ำอีกทีว่านี่เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ขอผู้ใดกรุณาอย่าได้คิดจะทำตามโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญโดยเด็ดขาด) และเริ่มออกกำลังกาย
จุดเริ่มต้น;
ยาที่หมอสั่งให้มีทั้งยาคลายเครียด ยานอนหลับ ยาระงับปวดก็ต้องเป็นชนิด high dose และไม่มีการยืนยันว่าจะต้องใช้มันไปอีกนานแค่ไหน กี่เดือน กี่ปี หรือ ตลอดชีวิต ทุกครั้งที่ทานยารู้สึกปลง/เวทนาตัวเอง อายุแค่นี้ต้องรับยาโรคทางประสาท ยาระงับปวดมีผลให้แสบกระเพาะต้องรับยาเคลือบ ยาตัวอื่นสะสม/มีผลต่ออวัยวะต้องรับยาป้องกัน/บรรเทา วนลูปอยู่เกือบหนึ่งปี บอกกับตัวเองนี่ไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการจะเป็น ฉันไม่ได้เกิดเพื่อจะทนอยู่กับสิ่งนี้

วันนั้นเก็บยาทุกตัวใส่กล่องปิดฝาเอาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เก็บของและเริ่มต้นวางแผนชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง นั่งคุยนอนคุยกับตัวเองอยู่เป็นอาทิตย์(ยังค่ะ ยังไม่บ้า) ฟังเสียงจิตวิญญาณด้านมืดกับด้านสว่างเถียงกันในหัว
ฉันต้องออกกำลังกาย
อะไรหล่ะ
วิ่งไง ฉันรักการวิ่ง ฉันวิ่งมาตั้งแต่อายุ14-15แล้ว
สภาพร่างกายแบบนี้นะจะไปวิ่ง ไม่เจียม!!
เอาน่า ฉันทำได้
หยุดยาแล้วช๊อคตาย ใครจะดูแลลูก
ฉันสัญญา ฉันจะไม่ตาย ฉันจะต่อสู้กับมัน(ไอ้โรคซึมเศร้า) และฉันต้องชนะมัน
สาระพัดสาระเพที่ต้องต่อสู้ ต้องอดและต้องทน แต่แล้วก็ก้าวผ่านมันไปได้ สภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิด
ช่วงแรกๆที่ออกวิ่งต้องวิ่งไปร้องไห้ไปเพราะความเจ็บปวดแต่ไม่ยอมหยุดค่ะ วิ่งก็ปวด ไม่วิ่งก็ปวดอยู่ดี ต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมากกกก

วิ่งช่วงแรกๆการเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมีให้เห็น เจ็บก็เจ็บ ท้อก็ท้อแต่ด้วยความรักการวิ่งอยู่แล้วจึงไม่เคยหยุด นึกถึงสมัยก่อนที่การวิ่งยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนในสมัยนี้ ออกไปวิ่งเคยเจอคนบอกว่าบ้า เคยโดนเอาน้ำสาดก็มี เอาน่ะ บ้าก็บ้าวิ่ง คิดแล้วกำลังใจมาวิ่งต่อไป ให้การวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นกิจวัตรประจำวัน

Pre-accident ชีวิตปกติจะวิ่งประจำ2-3ครั้ง/week แต่ระยะทางแค่3-5miles/ครั้งแค่นั้นเอง ช่วงหยุดยาได้วางแผนการวิ่งอย่างจริงจังสม่ำเสมอและเพิ่มระยะทาง/เพิ่มความเร็ว/พัฒนา cedance
ช่วงแรกวิ่งเยอะมาก การวิ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาร่างกายแล้วยังส่งผลต่อดีทางด้านจิตวิทยา สมองได้สั่งงานระบบประสาทหลายระบบในเวลาเดียวกัน ตา เท้า แขน ขา หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อลาย ส่งผลให้สะสารต่างๆในร่างกายบาลานซ์มากขึ้น รู้สึกดีขึ้น ความเครียดค่อยๆลดลงและหายไปทีละน้อย
ไม่ต้องการจะแข่งขันกับใครนอกจากตัวเองเลยวิ่งไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีผ่านไป 6 เดือนแล้วที่ไม่ได้ทานยารักษาโรคซึมเศร้าและคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่ใช่ซอมบี้แบบที่เคยเป็นตอนใช้ยา
ผ่านไปอีก 6เดือน ครบ1ปีพอดี ตอนที่เก็บของย้ายกลับไทยไปเจอขวดยาที่เก็บใส่กล่องไว้ เปิดดูยายังเต็มกระปุก พลิกดูวันที่ถึงได้รู้ว่าอยู่มาได้โดยไม่ต้องใช้มันเป็นปีแล้ว ดีใจมาก ดีใจที่สุด

มีเหตุให้ต้องหยุดวิ่งไปเป็นปีแต่ช่วงที่หยุดนี้ก็ไม่ได้กลับไปใช้ยา หรือ feel the urge ที่ต้องใช้มัน เมื่อปลายปีที่ผ่านมาจึงได้มีโอกาสกลับมาวิ่งจริงจังอีกครั้ง ครั้งนี้ตั้งเป้าหมายระยะยาวคือจะวิ่งให้ได้ 1,000kms/1ปี ฟังดูเหมือนจะเยอะแต่คิดเฉลี่ยแล้วต้องวิ่งประมาณ 20 kms/week แค่นั้นเอง

วันที่ 15 ที่ผ่านมาครบรอบ 4 ปี ที่เกิดอุบัติเหตุ และครบรอบ3 ปีที่ไม่แตะต้องยาเลย (โยนทิ้งตั้งแต่ขนย้ายกลับไทย) ร่างกายในปัจจุบันดีขึ้นมาก สามารถวิ่งระยะ half marathon ได้ที่ pace 7ต้นๆ ระยะ mini marathon คือระยะขนม( ตามที่คนสอนวิ่งพาเรียก) เป็นระยะที่ใช้ซ้อมประจำโดยวิ่งระยะนี้2-3ครั้ง/week และรักษาpace ไว้ที่ 6:2x-7:2x
เป้าหมายที่จะหยุดยาสำเร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการลงแข่ง marathon ในช่วงปลายปีนี้-ต้นปีหน้า เป็นกำลังใจให้นักวิ่งร่างพังด้วยนะคะ เพื่อเป็นการฉลองชีวิตใหม่ให้ตัวเองที่เริ่มต้นเมื่ออายุ40+ รายการที่อยากไปคือ บุรีรัมย์ มาราธอน, จอมบึง มาราธอน, บางแสน มาราธอน แต่การสมัครก็ยากซะเหลือเกิน
ร่างกายที่เคยประสบอุบัติเหตุใหญ่ยังไงก็ไม่มีวันจะกลับไปดีได้เหมือนที่เคยเป็น วิ่งไปเจ็บไปรักษาตัวไปแต่จะไม่ยอมหยุดวิ่ง จำได้ครั้งหนึ่งคุณหมอเคยบอกว่าอาจจะต้องหยุดวิ่งตลอดชีวิต วันนั้นเสียใจมากร้องไห้โฮต่อหน้าหมอ แต่พอตั้งสติได้ก็ค่อยๆทำใจยอมรับมัน เชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์และวิเศษที่สุด เวลา แผนการที่เหมาะสม ความรู้ความเข้าใจ จะสามารถเยียวยาร่างกายได้...
ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ก่อนจะฝึกบ่าวให้เข้มแข็งต้องฝึกนายให้ตั้งมั่นบริสุทธิ์เสียก่อน ไปฝึกนายกันค่ะ....
ชื่อกระทู้; คอร์สหลีกเร้น วัดป่าดอนหายโศก สถานที่ปฎิบัติธรรมที่สัปปายะ/วิเวิก
เจออุบัติเหตุเปลี่ยนชีวิต ไม่สามารถรับจ้างใครได้ ต้องสร้างงานสร้างรากฐานให้ตัวเอง
ชื่อกระทู้; "เกษตรกร" หมวกอีกใบที่สามใส่แล้วเป็นสุข
วิ่งรัก(ษา)โรค; ประสบการณ์โรคซึมเศร้า-หักดิบหยุดยา-วิ่ง วิ่ง และ วิ่ง
ในช่วงที่ชีวิตกำลังพีค ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ วางแผนจะเลิกทำงานในอีก 4-5 ปีข้างหน้า แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตรชีวิตพังทะลายกลายเป็นศูนย์เมื่อต้องตกเป็น victim of a drunk driving/hit and run accident ใช่แล้วค่ะ นอกจากจะเมาแล้วคนขับคู่กรณียังหลบหนีไปหลังจากเกิดเหตุ ขับรถมาตั้งแต่อายุครบตามกฎหมายกำหนดไม่เคยมีอุบัติเหตุ ไม่เคยแม้แต่จะได้ parking ticket เมื่อต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้มันเป็นการยาก ยากมากๆที่จะทำใจยอมรับ ท้ายที่สุดจบลงที่อาการโรคซึมเศร้าและใบสั่งยาโรคทางประสาท แต่ด้วยความดื้อรั้นของมนุษย์พันธุ์พิเศษ AB ก็ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ด้วยสถานะ single mom ที่ต้องรับผิดชอบลูกวัยเรียนถึงสองคนมีกฎเหล็กในใจ; ห้ามขาด ห้ามลา และ ห้ามตาย
การใช้ชีวิตต่างแดนเพียงลำพังสามคนแม่ลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ต่อสู้กันไป Life must goes on
ยาที่ใช้มีผลกระทบทางลบมากกว่าทางบวก ท่านที่เคยใช้ยารักษาโรคนี้คงพอจะทราบว่ามันทรมานจิตใจ บั่นทอนอัตลักษณ์แค่ไหน รู้สึกเบลอตลอดเวลา สมองไม่สั่งงาน กระบวนการคิด/แก้ไขปัญหาและหลายอย่างรวน ทนอยู่กับมันได้ไม่นานก็ตัดสินใจหักดิบหยุดยา (ขอย้ำอีกทีว่านี่เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ขอผู้ใดกรุณาอย่าได้คิดจะทำตามโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญโดยเด็ดขาด) และเริ่มออกกำลังกาย
จุดเริ่มต้น;
ยาที่หมอสั่งให้มีทั้งยาคลายเครียด ยานอนหลับ ยาระงับปวดก็ต้องเป็นชนิด high dose และไม่มีการยืนยันว่าจะต้องใช้มันไปอีกนานแค่ไหน กี่เดือน กี่ปี หรือ ตลอดชีวิต ทุกครั้งที่ทานยารู้สึกปลง/เวทนาตัวเอง อายุแค่นี้ต้องรับยาโรคทางประสาท ยาระงับปวดมีผลให้แสบกระเพาะต้องรับยาเคลือบ ยาตัวอื่นสะสม/มีผลต่ออวัยวะต้องรับยาป้องกัน/บรรเทา วนลูปอยู่เกือบหนึ่งปี บอกกับตัวเองนี่ไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการจะเป็น ฉันไม่ได้เกิดเพื่อจะทนอยู่กับสิ่งนี้
วันนั้นเก็บยาทุกตัวใส่กล่องปิดฝาเอาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เก็บของและเริ่มต้นวางแผนชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง นั่งคุยนอนคุยกับตัวเองอยู่เป็นอาทิตย์(ยังค่ะ ยังไม่บ้า) ฟังเสียงจิตวิญญาณด้านมืดกับด้านสว่างเถียงกันในหัว
ฉันต้องออกกำลังกาย
อะไรหล่ะ
วิ่งไง ฉันรักการวิ่ง ฉันวิ่งมาตั้งแต่อายุ14-15แล้ว
สภาพร่างกายแบบนี้นะจะไปวิ่ง ไม่เจียม!!
เอาน่า ฉันทำได้
หยุดยาแล้วช๊อคตาย ใครจะดูแลลูก
ฉันสัญญา ฉันจะไม่ตาย ฉันจะต่อสู้กับมัน(ไอ้โรคซึมเศร้า) และฉันต้องชนะมัน
สาระพัดสาระเพที่ต้องต่อสู้ ต้องอดและต้องทน แต่แล้วก็ก้าวผ่านมันไปได้ สภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิด
ช่วงแรกๆที่ออกวิ่งต้องวิ่งไปร้องไห้ไปเพราะความเจ็บปวดแต่ไม่ยอมหยุดค่ะ วิ่งก็ปวด ไม่วิ่งก็ปวดอยู่ดี ต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมากกกก
วิ่งช่วงแรกๆการเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมีให้เห็น เจ็บก็เจ็บ ท้อก็ท้อแต่ด้วยความรักการวิ่งอยู่แล้วจึงไม่เคยหยุด นึกถึงสมัยก่อนที่การวิ่งยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนในสมัยนี้ ออกไปวิ่งเคยเจอคนบอกว่าบ้า เคยโดนเอาน้ำสาดก็มี เอาน่ะ บ้าก็บ้าวิ่ง คิดแล้วกำลังใจมาวิ่งต่อไป ให้การวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นกิจวัตรประจำวัน
Pre-accident ชีวิตปกติจะวิ่งประจำ2-3ครั้ง/week แต่ระยะทางแค่3-5miles/ครั้งแค่นั้นเอง ช่วงหยุดยาได้วางแผนการวิ่งอย่างจริงจังสม่ำเสมอและเพิ่มระยะทาง/เพิ่มความเร็ว/พัฒนา cedance
ช่วงแรกวิ่งเยอะมาก การวิ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาร่างกายแล้วยังส่งผลต่อดีทางด้านจิตวิทยา สมองได้สั่งงานระบบประสาทหลายระบบในเวลาเดียวกัน ตา เท้า แขน ขา หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อลาย ส่งผลให้สะสารต่างๆในร่างกายบาลานซ์มากขึ้น รู้สึกดีขึ้น ความเครียดค่อยๆลดลงและหายไปทีละน้อย
ไม่ต้องการจะแข่งขันกับใครนอกจากตัวเองเลยวิ่งไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีผ่านไป 6 เดือนแล้วที่ไม่ได้ทานยารักษาโรคซึมเศร้าและคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่ใช่ซอมบี้แบบที่เคยเป็นตอนใช้ยา
ผ่านไปอีก 6เดือน ครบ1ปีพอดี ตอนที่เก็บของย้ายกลับไทยไปเจอขวดยาที่เก็บใส่กล่องไว้ เปิดดูยายังเต็มกระปุก พลิกดูวันที่ถึงได้รู้ว่าอยู่มาได้โดยไม่ต้องใช้มันเป็นปีแล้ว ดีใจมาก ดีใจที่สุด
มีเหตุให้ต้องหยุดวิ่งไปเป็นปีแต่ช่วงที่หยุดนี้ก็ไม่ได้กลับไปใช้ยา หรือ feel the urge ที่ต้องใช้มัน เมื่อปลายปีที่ผ่านมาจึงได้มีโอกาสกลับมาวิ่งจริงจังอีกครั้ง ครั้งนี้ตั้งเป้าหมายระยะยาวคือจะวิ่งให้ได้ 1,000kms/1ปี ฟังดูเหมือนจะเยอะแต่คิดเฉลี่ยแล้วต้องวิ่งประมาณ 20 kms/week แค่นั้นเอง
วันที่ 15 ที่ผ่านมาครบรอบ 4 ปี ที่เกิดอุบัติเหตุ และครบรอบ3 ปีที่ไม่แตะต้องยาเลย (โยนทิ้งตั้งแต่ขนย้ายกลับไทย) ร่างกายในปัจจุบันดีขึ้นมาก สามารถวิ่งระยะ half marathon ได้ที่ pace 7ต้นๆ ระยะ mini marathon คือระยะขนม( ตามที่คนสอนวิ่งพาเรียก) เป็นระยะที่ใช้ซ้อมประจำโดยวิ่งระยะนี้2-3ครั้ง/week และรักษาpace ไว้ที่ 6:2x-7:2x
เป้าหมายที่จะหยุดยาสำเร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการลงแข่ง marathon ในช่วงปลายปีนี้-ต้นปีหน้า เป็นกำลังใจให้นักวิ่งร่างพังด้วยนะคะ เพื่อเป็นการฉลองชีวิตใหม่ให้ตัวเองที่เริ่มต้นเมื่ออายุ40+ รายการที่อยากไปคือ บุรีรัมย์ มาราธอน, จอมบึง มาราธอน, บางแสน มาราธอน แต่การสมัครก็ยากซะเหลือเกิน
ร่างกายที่เคยประสบอุบัติเหตุใหญ่ยังไงก็ไม่มีวันจะกลับไปดีได้เหมือนที่เคยเป็น วิ่งไปเจ็บไปรักษาตัวไปแต่จะไม่ยอมหยุดวิ่ง จำได้ครั้งหนึ่งคุณหมอเคยบอกว่าอาจจะต้องหยุดวิ่งตลอดชีวิต วันนั้นเสียใจมากร้องไห้โฮต่อหน้าหมอ แต่พอตั้งสติได้ก็ค่อยๆทำใจยอมรับมัน เชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์และวิเศษที่สุด เวลา แผนการที่เหมาะสม ความรู้ความเข้าใจ จะสามารถเยียวยาร่างกายได้...
ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ก่อนจะฝึกบ่าวให้เข้มแข็งต้องฝึกนายให้ตั้งมั่นบริสุทธิ์เสียก่อน ไปฝึกนายกันค่ะ....
ชื่อกระทู้; คอร์สหลีกเร้น วัดป่าดอนหายโศก สถานที่ปฎิบัติธรรมที่สัปปายะ/วิเวิก
เจออุบัติเหตุเปลี่ยนชีวิต ไม่สามารถรับจ้างใครได้ ต้องสร้างงานสร้างรากฐานให้ตัวเอง
ชื่อกระทู้; "เกษตรกร" หมวกอีกใบที่สามใส่แล้วเป็นสุข