คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ขอตอบตามไทมไลน์การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การรบของไทยกับพม่าตามนี้นะครับ
1.ศึกเสียกรุงครั้งที่สอง : ไทยใช้ กลยุทธ์ตั้งรับในพระนคร พม่าใช้ กลยุทธ์คีมหนีบ และพม่าประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย
2.ศึกอะแซหวุ่นกี้ พม่ามีกำลังเยอะกว่าไทยเกือบเท่าตัวเหมือนสงครามเก้าทัพ และมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์มากมายในศีกครั้งนี้ผมขอแบ่งดังนี้
2.1 ศึกบางแก้ว : เริ่มแรกอะแซหวุ่นกี้ตั้งใจจะใช้ กลยุทธ์คีมหนีบ เหมือนกับที่เคยได้ผลตอนอยุธยา แต่ไทยเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการ เทกำลังส่วนใหญ่มารับที่ชายแดน ผลคือทัพหน้าพม่าโดนกองทัพพระเจ้าตากละลายเกลี้ยงที่บางแก้ว
2.2 ศึกเชียงใหม่ : เนื่องด้วยพม่ามีกำลังเยอะกว่า อะแซหวุ่นกี้ จึงเปลี่ยนมาใช้ ยุทธวิธีแยกกันตี โดยหวังให้เราเทกำลังรับกันไม่ถูก ขั้นแรกให้พม่าทัพแรกแกล้งตีเชียงใหม่ พอ ร.1 นำกำลังอีกครึ่งหนี่งไปรบก็ให้แกล้งแพ้เพื่อล่อให้ ร.1 ยกทัพตามตี อะแซหวุ่นกี้จะยกทัพหลวงเข้ายึดพิษณุโลกอันเป็นฐานกำลังสำคัญ แต่ ร.1 ทรงรู้ทันจึงรีบยกกลับมาป้องกันพิษณุโลก อะแซ่หวุ่นกี้ จึงได้แต่ล้อมไว้
2.3 ศึกพิษณุโลก : พระเจ้าตากนำกำลังอีกครึ่งขึ้นไปช่วยพิษณุโลกโดยคอยส่งเสบียงเข้าไปในพิษณุโลก ทำให้พิษณุโลกไม่แตก อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์เทกำลังส่วนใหญ่มารับที่ชายแดน ของไทยมีช่องโหว่มหึมาแล้ว เพราะตอนนี้กำลังเกือบทั้งหมดของไทยมากระจุกที่พิษณุโลกและอะแซหวุ่นกี้ก็เห็นจุดนี้เสียด้วย
2.4 ศึกเมืองปราณ : อะแซหวุ่นกี้ยังเหลือทัพอีก 10,000 คนจึงสั่งให้ตีตลบหลังไทยจากทางเมืองปราณ ซึ่งตอนนั้นไทยไม่มีกำลังเหลือจะไปยันพม่าที่เมืองปราณแล้ว พระเจ้าตากไม่มีทางเลือกนอกจากถอนทัพทิ้งพิษณุโลกกลับไปรับศึกที่เมืองปราณ
2.5 พิษณุโลกแตก : พิษณุโลกถูกล้อมตัดขาดโดยสมบูรณ์ ร.1 พยายามจะรักษาเมืองอย่างที่สุดแต่ก็ทำไม่ได้จึงต้องทิ้งเมืองในที่สุด
3.สงครามเก้าทัพ : พม่าตั้งใจจะใช้ ยุทธวิธีแยกกันตี แบบที่เคยได้ผลในสงครามอะแซหวุ่นกี้ แต่ครั้งนี้พม่ามีจุดตายคือการขาดเสบียง ฝ่ายไทยก็เรียนรู้จากศึกอะแซหวุ่นกี้เช่นกันโดยครั้งนี้โดยไม่แบ่งกำลังทั้งหมดไปรับพม่า แต่แบ่งกำลังส่วนน้อยออกรับแต่อาศัยการข่าว+การยึดชัยภูมิได้เปรียบ ทำให้ใช้กำลังได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้เหลือกำลังพอจะรับมือกับพม่าที่จะยกมาจากทางอื่นได้ ผลคือฝ่ายไทยชนะอย่างงดงาม
4.สงครามท่าดินแดง : พม่าตั้งใจจะแก้ไขข้อบกพร่องด้านเสบียงที่เคยเจอในสงครามเก้าทัพ โดยการส่งทหารมาตั้งค่ายเก็บเสบียงไว้ที่ชายแดงตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ไทยก็ปรับตัวไปอีกขั้น เพราะครั้งนี้ไทยส่งกองทัพไปตีค่ายพม่าที่ชายแดนแบบที่พม่าไม่ทันคิด ผลคือพม่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
5.ศึกทวาย : ครั้งที่ 1 ร.1เลือกที่จะถอยกลับเอง ครั้งที่ 2 ทัพไทยเจอความยากลำบากในการส่งกำลังบำรุง ถือว่าไทยแพ้ทั้งสองครั้ง
ถ้าดูตามไทมไลน์นี้ จขกท จะเห็นว่ากลยุทธ์คีมหนีบนั้น "มันใช้ไม่ได้ผลตั้งแต่ศึกอะแซหวุ่นกี้" แล้วครับ และการที่พระเจ้าปดุงเลือกวิธีแยกกันตีในสมัยสงครามเก้าทัพก็เพราะตระหนักว่ายุทธวิธีคลีมหนีบนั้นไม่ work และตอนที่พระเจ้าปดุงเลือกใช้วิธีแยกกันตีตอนนั้นพระเจ้าปดุงก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองจะเจอปัญหาขาดเสบียง
1.ศึกเสียกรุงครั้งที่สอง : ไทยใช้ กลยุทธ์ตั้งรับในพระนคร พม่าใช้ กลยุทธ์คีมหนีบ และพม่าประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย
2.ศึกอะแซหวุ่นกี้ พม่ามีกำลังเยอะกว่าไทยเกือบเท่าตัวเหมือนสงครามเก้าทัพ และมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์มากมายในศีกครั้งนี้ผมขอแบ่งดังนี้
2.1 ศึกบางแก้ว : เริ่มแรกอะแซหวุ่นกี้ตั้งใจจะใช้ กลยุทธ์คีมหนีบ เหมือนกับที่เคยได้ผลตอนอยุธยา แต่ไทยเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการ เทกำลังส่วนใหญ่มารับที่ชายแดน ผลคือทัพหน้าพม่าโดนกองทัพพระเจ้าตากละลายเกลี้ยงที่บางแก้ว
2.2 ศึกเชียงใหม่ : เนื่องด้วยพม่ามีกำลังเยอะกว่า อะแซหวุ่นกี้ จึงเปลี่ยนมาใช้ ยุทธวิธีแยกกันตี โดยหวังให้เราเทกำลังรับกันไม่ถูก ขั้นแรกให้พม่าทัพแรกแกล้งตีเชียงใหม่ พอ ร.1 นำกำลังอีกครึ่งหนี่งไปรบก็ให้แกล้งแพ้เพื่อล่อให้ ร.1 ยกทัพตามตี อะแซหวุ่นกี้จะยกทัพหลวงเข้ายึดพิษณุโลกอันเป็นฐานกำลังสำคัญ แต่ ร.1 ทรงรู้ทันจึงรีบยกกลับมาป้องกันพิษณุโลก อะแซ่หวุ่นกี้ จึงได้แต่ล้อมไว้
2.3 ศึกพิษณุโลก : พระเจ้าตากนำกำลังอีกครึ่งขึ้นไปช่วยพิษณุโลกโดยคอยส่งเสบียงเข้าไปในพิษณุโลก ทำให้พิษณุโลกไม่แตก อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์เทกำลังส่วนใหญ่มารับที่ชายแดน ของไทยมีช่องโหว่มหึมาแล้ว เพราะตอนนี้กำลังเกือบทั้งหมดของไทยมากระจุกที่พิษณุโลกและอะแซหวุ่นกี้ก็เห็นจุดนี้เสียด้วย
2.4 ศึกเมืองปราณ : อะแซหวุ่นกี้ยังเหลือทัพอีก 10,000 คนจึงสั่งให้ตีตลบหลังไทยจากทางเมืองปราณ ซึ่งตอนนั้นไทยไม่มีกำลังเหลือจะไปยันพม่าที่เมืองปราณแล้ว พระเจ้าตากไม่มีทางเลือกนอกจากถอนทัพทิ้งพิษณุโลกกลับไปรับศึกที่เมืองปราณ
2.5 พิษณุโลกแตก : พิษณุโลกถูกล้อมตัดขาดโดยสมบูรณ์ ร.1 พยายามจะรักษาเมืองอย่างที่สุดแต่ก็ทำไม่ได้จึงต้องทิ้งเมืองในที่สุด
3.สงครามเก้าทัพ : พม่าตั้งใจจะใช้ ยุทธวิธีแยกกันตี แบบที่เคยได้ผลในสงครามอะแซหวุ่นกี้ แต่ครั้งนี้พม่ามีจุดตายคือการขาดเสบียง ฝ่ายไทยก็เรียนรู้จากศึกอะแซหวุ่นกี้เช่นกันโดยครั้งนี้โดยไม่แบ่งกำลังทั้งหมดไปรับพม่า แต่แบ่งกำลังส่วนน้อยออกรับแต่อาศัยการข่าว+การยึดชัยภูมิได้เปรียบ ทำให้ใช้กำลังได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้เหลือกำลังพอจะรับมือกับพม่าที่จะยกมาจากทางอื่นได้ ผลคือฝ่ายไทยชนะอย่างงดงาม
4.สงครามท่าดินแดง : พม่าตั้งใจจะแก้ไขข้อบกพร่องด้านเสบียงที่เคยเจอในสงครามเก้าทัพ โดยการส่งทหารมาตั้งค่ายเก็บเสบียงไว้ที่ชายแดงตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ไทยก็ปรับตัวไปอีกขั้น เพราะครั้งนี้ไทยส่งกองทัพไปตีค่ายพม่าที่ชายแดนแบบที่พม่าไม่ทันคิด ผลคือพม่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
5.ศึกทวาย : ครั้งที่ 1 ร.1เลือกที่จะถอยกลับเอง ครั้งที่ 2 ทัพไทยเจอความยากลำบากในการส่งกำลังบำรุง ถือว่าไทยแพ้ทั้งสองครั้ง
ถ้าดูตามไทมไลน์นี้ จขกท จะเห็นว่ากลยุทธ์คีมหนีบนั้น "มันใช้ไม่ได้ผลตั้งแต่ศึกอะแซหวุ่นกี้" แล้วครับ และการที่พระเจ้าปดุงเลือกวิธีแยกกันตีในสมัยสงครามเก้าทัพก็เพราะตระหนักว่ายุทธวิธีคลีมหนีบนั้นไม่ work และตอนที่พระเจ้าปดุงเลือกใช้วิธีแยกกันตีตอนนั้นพระเจ้าปดุงก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองจะเจอปัญหาขาดเสบียง
แสดงความคิดเห็น
สงคราม9ทัพถ้าพระเจ้าปดุงใช้ยุทธวิธีคีมหนีบเหมือนพระเจ้ามังระ เราจะต้านไหวมั้ยครับ
1.พระเจ้าปดุงใช้ยุทธวิธีคีมหนีบ คือทัพนึงมาทางเชียงใหม่ กวาดทหารหัวเมืองฝ่ายเหนือสมทบทัพ อีกทัพนึงเข้ามาทางด่านสิงขร เเล้วทั้งสองทัพนัดหมายมารวมกันที่กทม. หรือ
2.ใช่ยุทธวิธีแบบพระเจ้าบุเรงนอง คือยกทัพใหญ่ทั้งหมดเข้ามาทางด่านแม่ละเมาลงมาล้อมกรุงเทพ
ถ้าพระองค์เลือกใช้1ในสองวิธีนี้ กองทัพไทยจะต้านไหวมั้ยครับ
และหว่างสองยุทธวิธีนี้ อันไหนน่าหนักใจกว่าสำหรับกองทัพไทย