สวัสดีดีค่ะ หนูรู้สึกจิตตกมา เกิน 48 ชม.แล้ว และตอนนี้หนูกำลังครรภ์
หนูต้องบอกก่อนว่าเคยรับการรักษากับจิตแพทย์ที่คลินิกแห่งหนึ่งมาเป็นเวลาประมาณ 9 เดือนก่อนตั้งครรภ์
คุณหมอให้ยาปรับเคมีในสมองแบบเบา เป็นเม็ดเล็กๆสีฟ้า พอตั้งครรภ์คุณหมอให้หยุดยาเพราะผลตอบรับดีขึ้นแล้ว
พอตั้งครรภ์ได้ราวๆ3-4เดือน ความคิดลบๆเรื่องแม่ก็กลับมา หนูปรึกษาครูสอนโยคะคนหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นปกติของคนท้องจะจิตตกง่าย เครียดง่าย รวมถึงคิดถึงแม่ ทั้งด้านดีและด้านลบขึ้นอยู่กับความทรงจำที่ดีรึว่าร้าย
หนูพยายามปรับสภาพจิตใจอยู่นานเป็นเดือนๆ ฟังธรรมะบำบัดจิตใจ มีสามีที่ดีที่คอยเป็นกำลังใจให้ หัดรู้ทันความคิด มันก็ค่อยๆดีขึ้นค่ะ
พอผ่านไป..ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 7เดือนครึ่ง
เหตุการณ์เริ่มที่ น้องสาวโทรมาคุย แม่ก็พูดเสริม หนูเพลียมากไม่อยากที่จะถือโทรศัพท์คุย ก็กดเปิดลำโพง แต่ก็งงว่าสายมันดับไป ก็โอเคไม่เป็นไร (แอบดีใจที่จะได้พักผ่อน) ซักพักแฟนก็พาออกไปทานข้าว ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอถึงร้านข้าวก็มีข้อความมาตัดพ้อต่อว่า "ยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่ไหม แม่คุยด้วยแล้วเปิดเพลงกลบเสียงแม่ แล้วตัดสายมันหมายความว่ายังไง". .อธิบายไปก็เหมือนจะเข้าใจ ..แต่ก็มีตัดพ้อต่อว่า พ่อแม่ก็น้อยใจเป็น อยากให้ลูกใส่ใจความรู้สึกของพ่อแม่บ้าง...พูดแสดงความเห็นไปก็ไม่รับฟัง ปฏิเสธความคิดเห็น..บลาๆ..เอาอดีตมายก"
ด้วยความที่พักไม่พอ นอนน้อย ลูกดิ้นหนักตอนกลางคืน มึนหนัก และร่างกายช่วงนี้รู้สึกเพลียมาก เหนื่อยง่าย ทำให้จิตตกรุนแรง เสียความรู้สึกมาก
รู้สึกแต่ว่า "แม่เอาความรู้สึกของตนเองเป็นใหญ่ คิดไม่ดีเอง ปรุงแต่งเอง คิดลบเอง แต่กลับมาถากถาง เขาเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความรู้สึกตัวเอง ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของลูก แต่กลับเรียกร้องให้เห็นใจตนเอง เขาไม่รู้เลยว่าเราอยู่ในสภาวะไหน รู้สึกยังไง
ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีต เขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรายังเด็ก เขาอ้างความเป็นแม่ที่จะทำอะไรก็ได้ ใช้คำพูดเจ็บๆแสบๆให้สะเทือนใจกับลูกทุกคน ไอ้เราก็สรรหาคำพูดมาตอกกลับคืนบ้าง เพื่อให้เขารู้สึกเจ็บเหมือนกับที่เรารู้สึกบ้าง แต่เขากลับมองด้านที่เขาถูกกระทำด้านเดียว
"คุณไม่เคยเข้าใจอะไรเลยจริงๆ😥 คุณเข้าใจแค่ตนเอง คุณไม่เคยเข้าใจคนอื่นเลย
คุณได้แต่เรียกร้องๆๆๆ คุณกลัวตัวตนคุณหายไป คุณกลัวว่าคนอื่นจะไม่เห็นคุณในสายตา คุณกลัวว่าคนอื่นจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของคุณ
คุณแต่ได้เรียกร้องให้คนอื่นปฏิบัติกับคุณ แต่พอสิ่งที่คุณปฏิบัติแย่ๆกับคนอื่นคุณกลับบอก "อย่าเอามาใส่ใจ ลืมๆไป แต่คุณไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรม" ในขณะที่คนอื่นกระทำกับคุณบ้างกลับบอกว่ามันทำให้ตนเองน้อยใจ
ทำไมไม่คิดว่าคนอื่นก็รู้สึกแย่ไม่ต่างจากคุณเลย มันแย่กว่าซะด้วยซ้ำ คุณให้แต่คนอื่นยอมรับในการกระทำของตนเอง และอยากให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงตนเอง
แน่นอนฉันอยากจะลืมๆๆมันไปซะ แต่คำแย่ๆที่คุณเรียกร้องมันทับถม
คุณควรทบทวนดูว่า คุณเคยสนใจความรู้สึกของใครจริงๆไหม ถ้าคุณใส่ใจจริงคุณจะไม่ทำร้ายใครๆด้วยคำพูดอีก
ทุกวันนี้ฉันก็พยายามปรับทัศนคติด้วยตนเอง ขอเถอะอย่าเพิ่มมาทับถม
ปัจจุบันฉันไม่ได้ใช้คำรุนแรงกับคุณมานานแล้ว แต่คุณไม่มอง ฉันปรับแล้วแล้วคุณล่ะ
คุณรู้สึกแย่คุณกลับดึงคนอื่นมารู้สึกแย่ตามคุณ
สรุปคนที่คุณรักและแคร์ความรู้สึกมากที่สุดก็คือ(...)"ตัวเอง"
ถ้าไม่มีพลังงานบวกให้ ก็อย่าส่งพลังงานลบให้กันเลย"
ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกยินดีมากที่แม่จะมาเยี่ยมและดูหน้าหลานตอนคลอด แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากได้ยินเสียงและเห็นหน้า ฉันกลัวจะได้ยินคำพูดที่ไม่อยากได้ยิน ฉันกลัวฉันจะรับไม่ได้ ฉันกลัวความรู้สึกตัวเอง...
"ถ้าไม่มีสามีกับลูก วันนั้นฉันจะพกปืนกลับบ้านไป ยิงขมับตัวเองให้เขาเห็นต่อหน้าต่อตา และบอกว่าชีวิตที่คุณมอบให้ วันนี้ฉันเอามาคืนคุณแล้ว"
ความคิดวกวนอยู่แบบนี้ทั้งวัน พยายามปรับทัศนคติดึงขึ้นมา เดี๋ยวดี ปล่อยวาง อุทิศกุศลให้ พยายามเข้าใจ บางครั้งก็คิดซ้ำแบบเดิม วนไปวนมาทั้งวัน ร้องไห้ เครียดมากจนลูกดิ้นแรง กลัวเลยว่าจะคลอดก่อนกำหนด
ขอคำแนะนำจากจิตแพทย์ด่วนค่ะ
หนูต้องบอกก่อนว่าเคยรับการรักษากับจิตแพทย์ที่คลินิกแห่งหนึ่งมาเป็นเวลาประมาณ 9 เดือนก่อนตั้งครรภ์
คุณหมอให้ยาปรับเคมีในสมองแบบเบา เป็นเม็ดเล็กๆสีฟ้า พอตั้งครรภ์คุณหมอให้หยุดยาเพราะผลตอบรับดีขึ้นแล้ว
พอตั้งครรภ์ได้ราวๆ3-4เดือน ความคิดลบๆเรื่องแม่ก็กลับมา หนูปรึกษาครูสอนโยคะคนหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นปกติของคนท้องจะจิตตกง่าย เครียดง่าย รวมถึงคิดถึงแม่ ทั้งด้านดีและด้านลบขึ้นอยู่กับความทรงจำที่ดีรึว่าร้าย
หนูพยายามปรับสภาพจิตใจอยู่นานเป็นเดือนๆ ฟังธรรมะบำบัดจิตใจ มีสามีที่ดีที่คอยเป็นกำลังใจให้ หัดรู้ทันความคิด มันก็ค่อยๆดีขึ้นค่ะ
พอผ่านไป..ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 7เดือนครึ่ง
เหตุการณ์เริ่มที่ น้องสาวโทรมาคุย แม่ก็พูดเสริม หนูเพลียมากไม่อยากที่จะถือโทรศัพท์คุย ก็กดเปิดลำโพง แต่ก็งงว่าสายมันดับไป ก็โอเคไม่เป็นไร (แอบดีใจที่จะได้พักผ่อน) ซักพักแฟนก็พาออกไปทานข้าว ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอถึงร้านข้าวก็มีข้อความมาตัดพ้อต่อว่า "ยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่ไหม แม่คุยด้วยแล้วเปิดเพลงกลบเสียงแม่ แล้วตัดสายมันหมายความว่ายังไง". .อธิบายไปก็เหมือนจะเข้าใจ ..แต่ก็มีตัดพ้อต่อว่า พ่อแม่ก็น้อยใจเป็น อยากให้ลูกใส่ใจความรู้สึกของพ่อแม่บ้าง...พูดแสดงความเห็นไปก็ไม่รับฟัง ปฏิเสธความคิดเห็น..บลาๆ..เอาอดีตมายก"
ด้วยความที่พักไม่พอ นอนน้อย ลูกดิ้นหนักตอนกลางคืน มึนหนัก และร่างกายช่วงนี้รู้สึกเพลียมาก เหนื่อยง่าย ทำให้จิตตกรุนแรง เสียความรู้สึกมาก
รู้สึกแต่ว่า "แม่เอาความรู้สึกของตนเองเป็นใหญ่ คิดไม่ดีเอง ปรุงแต่งเอง คิดลบเอง แต่กลับมาถากถาง เขาเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความรู้สึกตัวเอง ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของลูก แต่กลับเรียกร้องให้เห็นใจตนเอง เขาไม่รู้เลยว่าเราอยู่ในสภาวะไหน รู้สึกยังไง
ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีต เขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรายังเด็ก เขาอ้างความเป็นแม่ที่จะทำอะไรก็ได้ ใช้คำพูดเจ็บๆแสบๆให้สะเทือนใจกับลูกทุกคน ไอ้เราก็สรรหาคำพูดมาตอกกลับคืนบ้าง เพื่อให้เขารู้สึกเจ็บเหมือนกับที่เรารู้สึกบ้าง แต่เขากลับมองด้านที่เขาถูกกระทำด้านเดียว
"คุณไม่เคยเข้าใจอะไรเลยจริงๆ😥 คุณเข้าใจแค่ตนเอง คุณไม่เคยเข้าใจคนอื่นเลย
คุณได้แต่เรียกร้องๆๆๆ คุณกลัวตัวตนคุณหายไป คุณกลัวว่าคนอื่นจะไม่เห็นคุณในสายตา คุณกลัวว่าคนอื่นจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของคุณ
คุณแต่ได้เรียกร้องให้คนอื่นปฏิบัติกับคุณ แต่พอสิ่งที่คุณปฏิบัติแย่ๆกับคนอื่นคุณกลับบอก "อย่าเอามาใส่ใจ ลืมๆไป แต่คุณไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรม" ในขณะที่คนอื่นกระทำกับคุณบ้างกลับบอกว่ามันทำให้ตนเองน้อยใจ
ทำไมไม่คิดว่าคนอื่นก็รู้สึกแย่ไม่ต่างจากคุณเลย มันแย่กว่าซะด้วยซ้ำ คุณให้แต่คนอื่นยอมรับในการกระทำของตนเอง และอยากให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงตนเอง
แน่นอนฉันอยากจะลืมๆๆมันไปซะ แต่คำแย่ๆที่คุณเรียกร้องมันทับถม
คุณควรทบทวนดูว่า คุณเคยสนใจความรู้สึกของใครจริงๆไหม ถ้าคุณใส่ใจจริงคุณจะไม่ทำร้ายใครๆด้วยคำพูดอีก
ทุกวันนี้ฉันก็พยายามปรับทัศนคติด้วยตนเอง ขอเถอะอย่าเพิ่มมาทับถม
ปัจจุบันฉันไม่ได้ใช้คำรุนแรงกับคุณมานานแล้ว แต่คุณไม่มอง ฉันปรับแล้วแล้วคุณล่ะ
คุณรู้สึกแย่คุณกลับดึงคนอื่นมารู้สึกแย่ตามคุณ
สรุปคนที่คุณรักและแคร์ความรู้สึกมากที่สุดก็คือ(...)"ตัวเอง"
ถ้าไม่มีพลังงานบวกให้ ก็อย่าส่งพลังงานลบให้กันเลย"
ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกยินดีมากที่แม่จะมาเยี่ยมและดูหน้าหลานตอนคลอด แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากได้ยินเสียงและเห็นหน้า ฉันกลัวจะได้ยินคำพูดที่ไม่อยากได้ยิน ฉันกลัวฉันจะรับไม่ได้ ฉันกลัวความรู้สึกตัวเอง...
"ถ้าไม่มีสามีกับลูก วันนั้นฉันจะพกปืนกลับบ้านไป ยิงขมับตัวเองให้เขาเห็นต่อหน้าต่อตา และบอกว่าชีวิตที่คุณมอบให้ วันนี้ฉันเอามาคืนคุณแล้ว"
ความคิดวกวนอยู่แบบนี้ทั้งวัน พยายามปรับทัศนคติดึงขึ้นมา เดี๋ยวดี ปล่อยวาง อุทิศกุศลให้ พยายามเข้าใจ บางครั้งก็คิดซ้ำแบบเดิม วนไปวนมาทั้งวัน ร้องไห้ เครียดมากจนลูกดิ้นแรง กลัวเลยว่าจะคลอดก่อนกำหนด