คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
สมาธิสัมโพชฌงค์ คือ เอกัคคตาเจตสิก
การตั้งใจมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว อย่างแน่วแน่
จนได้ชื่อว่า เป็นสมาธินทรีย
เป็นสมาธิพละ และเป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิดังนี้แหละที่เรียกว่า สมาธิสัมโพชฌงค์
มีได้ทั้งฝ่ายสมถภาวนาและวิปัสสนา ภาวนา
สมาธิในสมถภาวนา
มีบริกรรมสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
ซึ่งเป็น สมาบัติ ๘ หรือ ๙
ส่วนสมาธิในวิปัสสนาภาวนา ก็มี
สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ และอัปปณิหิตสมาธิ
สมาธิย่อมทำลายความฟุ้งซ่าน
อุปการะธรรมที่ให้เกิดสมาธิ สัมโพชฌงค์ มี ๑๑ ประการ คือ
ก. ต้องรักษาความสะอาดในปัจจัย ๔ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
ข. ให้เจริญสัทธากับปัญญาให้เสมอกันและเจริญวิริยะกับสมาธิให้เสมอกันด้วย
ค. ให้เข้าใจรักษานิมิตของสมถกัมมัฏฐาน และนิมิตของวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ง. ให้เข้าใจยกจิตให้แก่กล้าในเมื่อวิริยะอ่อน ต้องอาศัยปัญญา วิริยะปีติ ให้มี กำลังขึ้น
จ. ต้องเข้าใจระงับจิตในเมื่อมีความฟุ้งซ่านมาก
ฉ. ทำจิตให้ยินดีในความไม่ประมาท ด้วยการพิจารณาสังเวคธรรม ซึ่งมี ๘ ประการ เป็นต้น
ช. เจริญกัมมัฏฐานให้ถูกต้องกับจริต และปราศจาก ปลิโพธ กังวล
ซ. เว้นจากบุคคลที่มีใจไม่สงบ
ฌ. ให้สมาคมกับผู้ที่ยินดีในความสงบระงับ
ญ. ให้มีความชำนาญในการพิจารณาองค์ฌาน และอารมณ์วิปัสสนา
ฏ. หมั่นเจริญสติปัฏฐานเนือง ๆ ให้จิตน้อมไปเพื่อสมาธิ
เมื่อบริบูรณ์ด้วยอุปการะธรรมเหล่านี้แล้ว สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ย่อมจะเกิดขึ้น
องค์ธรรมของสมาธิสัมโพชฌงค์ ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ที่ในติเหตุกชวนจิต ๓๔
ปลิโพธ คือความกังวลห่วงใย มี ๑๐ ประการ คือ
(๑) อาวาสปลิโพธ ห่วงที่อยู่
(๒) กุลปลิโพธ ห่วงบริวาร ว่านเครือ
(๓) ลาภปลิโพธ ห่วงรายได้
(๔) คณปลิโพธ ห่วงพวกพ้อง
(๕) กัมมปลิโพธ ห่วงการงานที่กระทำ
(๖) อัทธานปลิโพธ ห่วงการเดินทาง
(๗) ญาติปลิโพธ ห่วงพ่อแม่ ลูก เมีย พี่น้อง
(๘) อาพาธปลิโพธ ห่วงการเจ็บป่วย
(๙) คันถปลิโพธ ห่วงการศึกษาเล่าเรียน
(๑๐) อิทธิปลิโพธ ห่วงการแสดงฤทธิ์
เฉพาะข้อ ๑๐ นี้
ไม่เป็นปลิโพธแก่การเจริญสมถภาวนา
แต่เป็นปลิโพธแก่ การเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว
สังเวควัตถุ คือ วัตถุที่พึงสังเวช มี ๘ ประการ คือ
(๑) ชาติทุกข ความเกิด เป็นทุกข์
(๒) ชราทุกข ความแก่ เป็นทุกข์
(๓) พยาธิทุกข ความเจ็บ เป็นทุกข์
(๔) มรณทุกข ความตาย เป็นทุกข์
(๕) นิรยทุกข ตกนรก เป็นทุกข์
(๖) ดิรัจฉานทุกข เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นทุกข์
(๗) เปตติทุกข เป็นเปรต เป็นทุกข์
(๘) อสุรกายทุกข เป็นอสุรกาย เป็นทุกข์
การตั้งใจมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว อย่างแน่วแน่
จนได้ชื่อว่า เป็นสมาธินทรีย
เป็นสมาธิพละ และเป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิดังนี้แหละที่เรียกว่า สมาธิสัมโพชฌงค์
มีได้ทั้งฝ่ายสมถภาวนาและวิปัสสนา ภาวนา
สมาธิในสมถภาวนา
มีบริกรรมสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
ซึ่งเป็น สมาบัติ ๘ หรือ ๙
ส่วนสมาธิในวิปัสสนาภาวนา ก็มี
สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ และอัปปณิหิตสมาธิ
สมาธิย่อมทำลายความฟุ้งซ่าน
อุปการะธรรมที่ให้เกิดสมาธิ สัมโพชฌงค์ มี ๑๑ ประการ คือ
ก. ต้องรักษาความสะอาดในปัจจัย ๔ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
ข. ให้เจริญสัทธากับปัญญาให้เสมอกันและเจริญวิริยะกับสมาธิให้เสมอกันด้วย
ค. ให้เข้าใจรักษานิมิตของสมถกัมมัฏฐาน และนิมิตของวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ง. ให้เข้าใจยกจิตให้แก่กล้าในเมื่อวิริยะอ่อน ต้องอาศัยปัญญา วิริยะปีติ ให้มี กำลังขึ้น
จ. ต้องเข้าใจระงับจิตในเมื่อมีความฟุ้งซ่านมาก
ฉ. ทำจิตให้ยินดีในความไม่ประมาท ด้วยการพิจารณาสังเวคธรรม ซึ่งมี ๘ ประการ เป็นต้น
ช. เจริญกัมมัฏฐานให้ถูกต้องกับจริต และปราศจาก ปลิโพธ กังวล
ซ. เว้นจากบุคคลที่มีใจไม่สงบ
ฌ. ให้สมาคมกับผู้ที่ยินดีในความสงบระงับ
ญ. ให้มีความชำนาญในการพิจารณาองค์ฌาน และอารมณ์วิปัสสนา
ฏ. หมั่นเจริญสติปัฏฐานเนือง ๆ ให้จิตน้อมไปเพื่อสมาธิ
เมื่อบริบูรณ์ด้วยอุปการะธรรมเหล่านี้แล้ว สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ย่อมจะเกิดขึ้น
องค์ธรรมของสมาธิสัมโพชฌงค์ ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ที่ในติเหตุกชวนจิต ๓๔
ปลิโพธ คือความกังวลห่วงใย มี ๑๐ ประการ คือ
(๑) อาวาสปลิโพธ ห่วงที่อยู่
(๒) กุลปลิโพธ ห่วงบริวาร ว่านเครือ
(๓) ลาภปลิโพธ ห่วงรายได้
(๔) คณปลิโพธ ห่วงพวกพ้อง
(๕) กัมมปลิโพธ ห่วงการงานที่กระทำ
(๖) อัทธานปลิโพธ ห่วงการเดินทาง
(๗) ญาติปลิโพธ ห่วงพ่อแม่ ลูก เมีย พี่น้อง
(๘) อาพาธปลิโพธ ห่วงการเจ็บป่วย
(๙) คันถปลิโพธ ห่วงการศึกษาเล่าเรียน
(๑๐) อิทธิปลิโพธ ห่วงการแสดงฤทธิ์
เฉพาะข้อ ๑๐ นี้
ไม่เป็นปลิโพธแก่การเจริญสมถภาวนา
แต่เป็นปลิโพธแก่ การเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว
สังเวควัตถุ คือ วัตถุที่พึงสังเวช มี ๘ ประการ คือ
(๑) ชาติทุกข ความเกิด เป็นทุกข์
(๒) ชราทุกข ความแก่ เป็นทุกข์
(๓) พยาธิทุกข ความเจ็บ เป็นทุกข์
(๔) มรณทุกข ความตาย เป็นทุกข์
(๕) นิรยทุกข ตกนรก เป็นทุกข์
(๖) ดิรัจฉานทุกข เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นทุกข์
(๗) เปตติทุกข เป็นเปรต เป็นทุกข์
(๘) อสุรกายทุกข เป็นอสุรกาย เป็นทุกข์
แสดงความคิดเห็น
สมถะ เป็นการอยู่แบบสบายๆทั้งกายและใจ
กายหนัก ใจหนัก ไม่ใช่สมถะ
สมถะเป็นการใส่ใจในอารมณ์เดียวที่เป็นเลิศ
อารมณ์เกิดขึ้นหลายอารมณ์ในแต่ละวินาที
เราสนใจอารมณ์ไหนให้ดูใส่ใจอารมณ์นั้น
อารมณ์เดียวที่เป็นเลิศ อารมณ์อื่นไม่ใส่ใจ
ปล่อยผ่านไปก่อน
เช่น
วันนี้เราจะสนใจในอารมณ์โกรธ
เพราะว่าเราโกรธง่ายหายช้า
เราจะใส่ใจเฉพาะอารมณ์โกรธ
อารมณ์ที่เป็นกามราคะ
อารมณ์ที่โลภเราจะไม่ใส่ใจจะปล่อยให้ผ่านไปก่อน
เมื่อเราเกิดอารมณ์โกรธ
เราใส่ใจเราก็จะจับอารมณ์นั้น
จนเห็นอารมณ์โกรธ เกิดขึ้นตั้งอยู่ แปรเปลี่ยนไปทุกขณะจิต
เราจะเห็นอารมณ์โกรธได้ชัดเจน
จนทะลุเข้า่ไปในสันดานของตัวที่ทำให้โกรธ
เราจะเห็นว่าความโกรธก็ตั้งอยู่ไม่ได้ในใจเรา
แต่ทำไมเราจึงโกรธ
เพราะอะไรเราจึงโกรธ
เราไม่ชอบความโกรธ
แต่ทำไมเราจึงโกรธ