สวัสดีค่าาาา เพื่อนๆชาวพันทิป เปิดตัวด้วยการบอกว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราเลยละกัน คลาสสิคดี ฮ่าๆๆ หลังจากที่เราติดตามอ่านกระทู้ในพันทิปมาเนิ่นนาน และเนื่องด้วยเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตเราตอนนี้ มัทำให้เรามีความสุขจนจุกอก สุมทรวง กรี๊ดกร๊าด กระตู้วู้มากจนเรารู้สึกอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆ พร้อมกับอยากอ่านเรื่องราวดีๆของเพื่อนๆชอบพันทิปผ่านคอมเมนท์เช่นกันจ้า ขอนิยามคำว่าเรื่องราวความฟินก่อนละกันนะคะ ความฟินของเรานั้นเป็นความรู้สึกล้วนๆจ้า ยังไม่มีเรทบวกหรือเรทฉออะไรในตอนนี้น้าฮ่าๆๆ กระทู้นี้เราขอแบ่งเป็นตอนๆในกระทู้เดียวละกันนะคะ
ตอนที่ 1-การพบกัน
ย้อนกลับไปเมื่อพฤษภาคม 2018 ค่ะ หนุ่มญี่ปุ่นพูดน้อยคนนี้เข้ามาพักที่อพาร์ทเมนท์ของที่บ้านเราในฐานะลูกค้าค่ะ เรียกได้ว่านำเงินมาให้ก็ว่าได้ฮ่าๆๆ พ่อกับแม่เราทำห้องพักรายวันและรายเดือนอยู่ในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมติดทะเลไม่ไกลจากกรุงเทพ (บอกชื่อเมืองเลยก็ได้นะฮ่าๆๆ) ส่วนเราก็เป็นมนุษย์เงินเดือนออฟฟิศที่ทำงานตามเวลาทำการอยู่ในจังหวัดเดียวกันจ้า ด้วยความเป็นกิจการครอบครัวทุกวันหยุดเราก็จะมานั่งเมาท์มอยที่ตึกเป็นเพื่อนพ่อและคอยทักทายแขกที่เข้าพักเป็นเรื่องปกติ
และแล้ววันหยุดของเราก็มาถึงเราก็เข้าประจำการอยู่ที่ตึกเหมือนปกติในช่วงบ่าย พ่อเราก็พูดกับเราค่ะว่าเนี่ยมีแขกคนนึงมาจากญี่ปุ่นยังหนุ่มอยู่เลย ตอนแรกจองมาแค่สองคืนแล้วก็อยู่จองต่อเรื่อยๆทีละคืนๆจะครบอาทิตย์แล้วยังไม่ออกเลย เดี๋ยวอีกสักพักก็ลงมาละ เราจับใจความได้แค่คำว่าหนุ่มกับญี่ปุ่นค่าฮ่าๆๆ ทั้งพ่อและเราแปลกใจเพราะแขกที่เข้ามาพักกับเราส่วนมากจะเป็นฝรั่งใจหนุ่มซะส่วนใหญ่ค่ะ ทันใดที่พ่อพูดจบประโยคพระเอกของเรื่องการปรากฏตัวค่า
เขาเดินลงมาหาพ่อเราเพื่อจะบอกว่าเขาจะเช็คเอาท์ในเช้าวันจันทร์ค่ะ(วันนั้นคือวันเสาร์) เราทักทายและชวนเขาคุยตามประสาเจ้าบ้านที่ดีฮ่าๆๆ เขาเดินกลับขึ้นห้องไปหลังจากนั้นแล้วพ่อเราก็ออกไปซื้อของจึงเป็นเวลาที่เรานั่งตากแอร์ ผึ่งพุงอยู่คนเดียว
สักพักเขาก็เดินลงมาใหม่ ไม่รอช้าเราก็ทักทายเขาอีกครั้งพร้อมทั้งชวนนั่งคุยกันก่อน จากแต่เดิมที่เขาจะเดินออกไปร้านนวด ตอนนั้นที่เราคิดคือเห็นแดดมันร้อนจริงๆค่ะ เลยเรียกให้เขานั่งคุยตากแอร์ที่ล็อบบี้ก่อนรอแดดร่มแล้วค่อยออกไป แว็บแรกที่เราเห็นหน้าเขาตอนนั้นสิ่งแรกที่คิดคือ เขาหนุ่มตามที่พ่อบอกจริงๆค่ะ เราคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในช่วงราวๆ 29-30ตอนนั้นเรายังไม่รู้นะคะว่าเขาอายุเท่าเรา คือถึงแม้ว่าเขาจะดูหนุ่ม แต่เขาดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุจริงๆค่ะฮ่าๆๆ
เราเปิดบทสนทนาด้วยประโยคคลาสสิคที่ว่าชอบเมืองไทยไหมฮ่าๆๆ ซึ่งคงไม่ต้องเดาคำตอบเลย เริ่มจากบทสนทนาเกี่ยวกับประเทศไทย การเดินทางท่องเที่ยว เราก็เริ่มถามเขาเรื่องครอบครัว การศึกษา การงาน คุยไปคุยมากลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนโดนสัมภาษณ์ค่าฮ่าๆๆ
ระหว่างที่นั่งคุยกันเรารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดกับเรามาก่อนเวลาคุยกับคนแปลกหน้า ถึงแม้คำถามจะไม่ต่างจากการสัมภาษณ์นิตยสารแต่ความลื่นไหลของบทสนทนาและการส่งสายตาให้เราเป็นระยะ พร้อมกับท่าทางที่ตั้งใจฟังเวลาที่เราเล่าเรื่องของเรา มันทำให้เราไม่รู้สึกถึงความแปลกหน้าใดๆเลยค่ะ เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีโทรศัพท์เข้าเขาจึงขอตัวกลับขึ้นไปบนห้องค่ะ ก่อนเขาจะกลับขึ้นไปบทสนทนาสุดท้ายที่เราคุยทิ้งไว้คือการถามเขาว่ามาเที่ยวคนเดียวแฟนไม่มาด้วยเหรอ เขาส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบว่าไม่มีแฟนค่ะ ตอนนั้นด้วยความคุ้นเคยและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เราก็หลุดปากพูดกลับไปว่า I’m single too. ฉันก็โสดเหมือนกันนะฮ่าๆๆ ทั้งๆที่เราอยู่ในช่วงระหว่างตัดสินใจที่จะจบความสัมพันธ์ค่ะ
เมื่อเขากลับไปเราก็ใช้วิชามารของการเป็นลูกสาวลุงผมขาวหาอีเมล์ของเขาในเอกสารเช็คอินเพื่อจะส่งไปขอไลน์ค่ะฮ่าๆๆ เราเจออีเมล์และส่งเมล์หาเขาทั้งๆที่เราคิดไว้แล้วว่าอาจเป็นแค่อีเมล์ที่เขาสมัครขึ้นมาเพื่อใช้ในการจองห้องอย่างเดียวไม่ได้เป็นอีเมล์ที่เขาใช้จริงๆ ค่ำวันจันทร์หลังจากที่เขากลับไปในตอนเช้าและเราก็กลับบ้านมาหลังเลิกงานก็พบว่าเขาตอบอีเมล์เรากลับมาและให้ไลน์เราด้วยความยินดีค่ะ ตอนนั้นในใจคือดีใจกระโดดโล้ดเต้น ฝันถึงงานแต่งงานของเราไปแล้วจ้า ฮ่าๆๆ
ตอนที่ 2-ก่อนจะได้เจอกัน
หลังจากได้ไลน์เขามาเราก็ส่งข้อความทักทายคุยกับเขาอยู่เรื่อยๆค่ะ เรื่องที่คุยส่วนมากก็จะเป็นการถามสารทุกข์สุขดิบ แชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยว เราเลยได้รู้ว่าเขาเป็นคนชอบเดินทางเหมือนกันค่ะ เราเสียการควบคุมตัวเองไปสักพักเพราะเราตัดสินใจจบความสัมพันธ์กับผู้ชายคนเดียวที่เป็นทั้งเพื่อนและคนรักมาเป็นเวลา 9 ปีเต็มค่ะ หลังจากดูหนังเรื่อง How to be Single เราก็เห็นด้วยกับนางเอกและเจริญรอยตามเลยค่ะฮ่าๆๆ นางเอกขอเลิกการแฟนเก่าที่คบกันมานานเพราะอยากรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ในชีวิตและผู้ชายคนนี้คือคนที่อยากอยู่ด้วยตลอดชีวิตจริงๆหรือเปล่า ถ้าใครยังไม่เคยดูแล้วเป็นสาวกรอมคอมเช่นเดียวกับเราแนะนำให้ลองหามาดูค่ะ ชีวิตรักเราและชีวิตนางเอกตอนตัดสินใจเป็นโสด แทบไม่ต่างกันเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
เราดี๊ด๊ามากๆกับการเป็นโสดมันช่างหอมหวานอยู่ในช่วงสองเดือนแรกค่ะ จากนั้นเราก็พยายามจะกลับไปแต่ก็พบว่าสายไปแล้วค่ะ เราดึงสติ ดึงทุกสิ่งทุกอย่างกลับมา อยู่กับตัวเอง รักตัวเอง มีความสุขเพื่อตัวเอง ให้ตัวเอง ไปจนถึงขั้นวางแผนที่จะอยู่เป็นโสดใช้ชีวิตให้คุ้มและขึ้นคานอย่างสง่างามค่ะฮ่าๆๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วเราจึงตัดสินใจสร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งแรกให้ตัวเองเลยคือการเที่ยวต่างประเทศคนเดียวโซโล่ทริปค่ะ เราเป็นลูกคนเดียวที่ติดเพื่อนมาตลอด เราไม่มีปัญหากับการไปไหนมาไหนคนเดียว แต่การเที่ยวต่างประเทศคนเดียวมันออกจากคอมฟอร์มโซนเราไปไกลพอสมควรค่ะ แน่นอนว่าในเมื่อมันเริ่มแล้ว ประเทศที่เราเลือกก็ไม่พ้นประเทศญี่ปุ่นค่ะ ก็ลึกๆแล้วมันคุ้นๆกับที่นั่นอ่านะ ฮ่าๆๆ เราเคยไปญี่ปุ่นมาบ้างสามสี่ครั้งค่ะ ก่อนที่จะตัดสินใจจองตั๋วช่วงเดือนตุลาคม 2018 เพื่อไปทริปโรแมนติกสิ้นปีมีมายเซลล์คนเดียวที่โตเกียวค่ะ
จะรอช้าอยู่ใยเมื่อได้ตั๋วได้ที่พักแล้วเราก็ส่งข่าวบอกหนุ่มญี่ปุ่นพูดน้อยทันทีเลยค่ะว่าเราจะไปเที่ยวโตเกียวคนเดียวนะ พร้อมส่งรายละเอียดที่พักให้และขอคำแนะนำเรื่องที่เที่ยวค่ะ ตอนนั้นมโนไปเต็มๆแล้วค่ะว่าถ้าความรู้สึกเราไม่ผิดเพี้ยนเราได้ไปเดทกันแน่ๆ เสร็จฉันหวานหมูแน่นอนฮ่าๆๆ ถึงแม้จะวางแผนขึ้นคลานใสๆไปแล้วแต่เราต้องอยู่กับปัจจุบันค่ะ แผนเปลี่ยนได้ตลอดฮ่าๆๆ ความมโนยังไม่ทันหายความนกก็เข้ามาแทรกค่ะ หนุ่มพูดน้อยบอกเราว่าช่วงปีใหม่เขาจะไปดูบาสเก็ตบอลที่นิวยอร์ก ตอนนั้นเราหมดหวังแล้วค่ะ คิดว่าถ้าคลาดกันแล้วคลาดกันอีกขนาดนี้ ไม่เอาแล้วก็ได้วะ ฮ่าๆๆ คือก่อนหน้านี้ เรากับเพื่อนไปเที่ยวโอซาก้าในช่วงสิงหาคม 2018 ค่ะ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไปเที่ยวอินโดนีเซียในช่วงเวลาเดียวกันเลยค่ะฮ่าๆๆ ก่อนเราจะไปญี่ปุ่นในช่วงเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เขาก็เดินทางมาประชุมที่ไทยถึงสองครั้งค่ะ ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่เราได้เจอกัน
แต่ช้าก่อนค่ะ สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ของดีมักมาในตอนท้ายจ้า ฮ่าๆๆ ข้อความถัดไปจากเขาทำให้เราลุกขึ้นกระโดดบนเตียงเลยค่ะ เขาส่งข้อความมาต่อว่าเขาจะกลับบ้านที่โยโกฮาม่า ตัวเขาทำงานอยู่ที่นาโกย่าค่ะ ในช่วงวันที่ 29-31 ธันวาค่ะ จะไปนิวยอร์กวันที่ 1 มกราคม ระหว่างนี้ที่เขากลับบ้านเขาว่างค่ะ จากรายละเอียดที่พักเราแล้วใกล้กับโยโกฮาม่าแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และลงท้ายด้วยคำว่า I can guide you if you want. ด้วยดีกรีภาษาอังกฤษบวกกับความมโนของเราจึงคิดไปไกลแล้วว่าเขาชวนไปเที่ยวชวนไปเดทค่ะฮ่าๆๆ ตอนนั้นไม่มั่นใจอย่างแรงเลยเอาบทสนทนาไปให้เพื่อนๆเดอะแก็งและเจ๊ๆที่ออฟฟิศวิเคราะห์ค่ะ ทั้งสองกลุ่มต่างเห็นตรงกันพร้อมช่วยกันดึงสติเราว่าอย่าเพิ่งคิดไปไกล ถามไปให้แน่ใจว่า guide เนี่ยจะพาไปหรือแค่บอกทาง ด้วยความเป็นคนว่านอนสอนง่ายเราก็ถามเขาไปเลยค่ะ ว่าจะบอกทางให้เราไปเที่ยวเองใช่ไหม คำตอบเขาคือเราสามารถใช้ google map ไปได้ทุกที่ในญี่ปุ่นเลยค่ะ ง่ายมากๆไม่หลงแน่นอน
นั่นแหละค่ะจบประโยคนั้นเราก็ปิดเกมแพ็คกระเป๋าเตรียมเที่ยวคนเดียวไม่หวังการเดทใดๆแล้วค่ะ ตอนนี้มีความฉุนเพราะคุยมาด้วยดีตลอด อยู่ดีๆเหมือนถูกเตะตัดขาเลยค่ะฮ่าๆๆ หน้าแตกดังเกร้งคงได้ยินเสียงผ่านข้อความแน่นอนฮ่าๆๆ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามใช้สมองดับมโนเราก็ทำไม่ได้จริงๆค่ะ ยังมีแก่ใจเตรียมเดรสน่ารักๆใส่กระเป๋าไปเผื่อ สวรรค์อาจเป็นใจส่งหนุ่มพูดน้อยต่อยหนักคนนี้มาเจอเราจริงๆก็ได้ค่ะฮ่าๆๆ ด้วยความใจรักในการมโนและความไม่ย่อท้อ เราได้ฟังเรื่องราวผ่าน podcast หนึ่งตอนที่มีชื่อว่า ซึคิอัตเตะ คือดาไซ (ได้โปรดคบกับฉันเถอะนะ) เป็นเรื่องราวระหว่างสาวไทยกับหนุ่มญี่ปุ่นในกรุงเทพนี่หล่ะค่ะ เป็นบทสัมภาษณ์ของสาวไทยที่กำลังจะแต่งงานกับเขยญี่ปุ่น มันยิ่งทำให้เรามีแรงฮึกเหิมและกลับมามโนต่อ เอ้าเพลงมา ฝันถึงงานแต่งงานของเรา ฝันว่าเราแก่ไปด้วยกัน ฮ่าๆๆ
ตอนที่ 3-เหตุการณ์จริงที่ดีกว่ามโนภาพ และการเดทที่เกินคาดฝัน
แล้ววันเดินทางของเราก็มาถึงค่ะ เหตุไม่คาดฝันและการผจญภัยของเราเกิดขึ้นตั้งแต่ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเลยค่ะ เนื่องจากเครื่องบินเกิดเหตุขัดข้อง จากกำหนดการเดิมที่เราจะถึงโตเกียวในวันที่ 27 ธันวาคม ราวๆสองทุ่ม เรากับถึงที่สนามบินฮาเนดะตอนห้าทุ่มแทนค่ะ ซึ่งเวลานั้นไม่มีรถไฟเข้าเมืองหรือออกจากสนามบินแล้ว ดีที่การเดินทางคนเดียวทำให้เราได้เพื่อนใหม่ เราจึงนั่งๆนอนๆรอรถไฟเที่ยวแรกในวันถัดไปกับน้องสาวน่ารักที่มาดูคอนเสิร์ตกับคุณแม่ค่ะ ทันทีที่เราถึงสนามบินแล้วต้องค้างเพื่อรอรถไฟ เราก็ส่งข้อความไปหาเขาเลยค่ะ ว่าเราถึงแล้วนะแต่ยังไม่ที่พักไม่ได้ต้องรอพรุ่งนี้เช้าเพราะรถไฟหมดแล้ว เขาตอบข้อความเรากลับมาอย่างรวดเร็วจนเราคิดไม่ถึงค่ะ วินาทีที่เห็นเขาส่งข้อความกลับมาอยากร้องเพลงนี้ให้มากๆ เธอกับฉันเราเป็นอะไรช่วยบอกฉันที อยากรู้ข้อความที่เธอส่งมานี้มันหมายความว่าอะไรฮ่าๆๆ
เขาส่งรายละเอียดการเดินทางโดยรถไฟจากสนามบินไปจนถึงที่พักเราเลยค่ะ พร้อมกับลงท้ายข้อความว่าดูแลตัวเองและระวังตัวด้วยนะ เราก็ตอบเขากลับมาว่าไม่ต้องห่วงเพราะมีคนอยู่ด้วยค่ะ เช้าวันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2018 วันที่มาเต็มมากฮ่าๆๆ เราก็เดินทางถึงที่พัก อาบน้ำเก็บของ และก็ออกเที่ยวต่อในบ่ายวันนั้นเลยค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เย็นวันนั้นระหว่างเรานั่งรอรถไฟกลับที่พัก ในเมื่อเรามาถึงตรงนี้แล้ว เรากับเขาอยู่ห่างกันแค่รถไฟครึ่งชั่วโมง เราเลยส่งข้อความไปถามเขาเลยค่ะว่าพรุ่งนี้ทำอะไร เขาตอบกลับมาอย่างไม่รอช้าว่าว่างค่ะไม่ได้ทำอะไร เมื่อเห็นข้อความดังนั้นแล้ว เราก็แคปหน้าจอส่งหากองกำลังเสริมทันทีค่ะว่าเอาไงต่อดีฮ่าๆๆ กำลังเสริมเราบอกว่าลุยเลย รอช้าอะไรชวนเที่ยวไปเลย เราจึงส่งข้อความไปตรงๆเลยค่ะว่าไปเที่ยวกันไหม และแล้วคำตอบที่เราเฝ้ามโนมาตลอดก็ได้เวลาทำงานของมันค่ะ Sure. สั้นๆง่ายๆ ประหยัดคำสไตล์ผู้ชายพูดน้อยที่เขาส่งกลับมาทำให้เรายิ้มไม่หุบจนถึงที่พักเลยค่ะ
เช้าวันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2018 เราก็งัดเดรสสีชมพูฟรุ้งฟริ้งพร้อมเลกกิ้งใส่ท้าอากาศหนาวไปเลยค่ะ เรานั่งรถไฟไปเจอเขาที่ไชน่าทาวน์ราวๆบ่ายสองโมงหลังจากที่นัดกันเมื่อคืนค่ะ ระหว่างทางที่นั่งรถไฟไปก็พยายามนึกหน้าที่คาแร็กเตอร์ของเขาว่าเป็นยังไง คือกลัวทักคนผิดค่ะ เพราะเราเจอเขาและมีโอกาสได้คุยกันแค่ชั่วโมงเดียวซึ่งมันก็ผ่านมาเป็นเวลาเจ็ดเดือนแล้วค่ะ พอเราออกมาถึงประตูสถานีรถไฟก็เห็นเขายืนรอเราอยู่เลยค่ะ คือไม่ต้องกลัวทักคนผิดเลยเพราตรงนั้นมีเขายืนก้มหน้าพิงกำแพงกดโทรศัพท์อยู่คนเดียวโดดๆเลยค่ะ รอดละเราฮ่าๆๆ เขายิ้มน้อยๆค่อยๆเป็นการทักทายเรา วินาทีที่เห็นรอยยิ้มเขาความตื่นเต้น ความประหม่าของเรามันหายไปหมดเลยค่ะ เรามันไม่รู้สึกถึงความเคอะเขินกระอักกระอ่วนใดๆเลยค่ะ
หนุ่มญี่ปุ่นพูดน้อยกับสาวเมาท์มอยชอบมโน เรื่องราวความฟินจึงบังเกิด
ตอนที่ 1-การพบกัน
ย้อนกลับไปเมื่อพฤษภาคม 2018 ค่ะ หนุ่มญี่ปุ่นพูดน้อยคนนี้เข้ามาพักที่อพาร์ทเมนท์ของที่บ้านเราในฐานะลูกค้าค่ะ เรียกได้ว่านำเงินมาให้ก็ว่าได้ฮ่าๆๆ พ่อกับแม่เราทำห้องพักรายวันและรายเดือนอยู่ในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมติดทะเลไม่ไกลจากกรุงเทพ (บอกชื่อเมืองเลยก็ได้นะฮ่าๆๆ) ส่วนเราก็เป็นมนุษย์เงินเดือนออฟฟิศที่ทำงานตามเวลาทำการอยู่ในจังหวัดเดียวกันจ้า ด้วยความเป็นกิจการครอบครัวทุกวันหยุดเราก็จะมานั่งเมาท์มอยที่ตึกเป็นเพื่อนพ่อและคอยทักทายแขกที่เข้าพักเป็นเรื่องปกติ
และแล้ววันหยุดของเราก็มาถึงเราก็เข้าประจำการอยู่ที่ตึกเหมือนปกติในช่วงบ่าย พ่อเราก็พูดกับเราค่ะว่าเนี่ยมีแขกคนนึงมาจากญี่ปุ่นยังหนุ่มอยู่เลย ตอนแรกจองมาแค่สองคืนแล้วก็อยู่จองต่อเรื่อยๆทีละคืนๆจะครบอาทิตย์แล้วยังไม่ออกเลย เดี๋ยวอีกสักพักก็ลงมาละ เราจับใจความได้แค่คำว่าหนุ่มกับญี่ปุ่นค่าฮ่าๆๆ ทั้งพ่อและเราแปลกใจเพราะแขกที่เข้ามาพักกับเราส่วนมากจะเป็นฝรั่งใจหนุ่มซะส่วนใหญ่ค่ะ ทันใดที่พ่อพูดจบประโยคพระเอกของเรื่องการปรากฏตัวค่า
เขาเดินลงมาหาพ่อเราเพื่อจะบอกว่าเขาจะเช็คเอาท์ในเช้าวันจันทร์ค่ะ(วันนั้นคือวันเสาร์) เราทักทายและชวนเขาคุยตามประสาเจ้าบ้านที่ดีฮ่าๆๆ เขาเดินกลับขึ้นห้องไปหลังจากนั้นแล้วพ่อเราก็ออกไปซื้อของจึงเป็นเวลาที่เรานั่งตากแอร์ ผึ่งพุงอยู่คนเดียว
สักพักเขาก็เดินลงมาใหม่ ไม่รอช้าเราก็ทักทายเขาอีกครั้งพร้อมทั้งชวนนั่งคุยกันก่อน จากแต่เดิมที่เขาจะเดินออกไปร้านนวด ตอนนั้นที่เราคิดคือเห็นแดดมันร้อนจริงๆค่ะ เลยเรียกให้เขานั่งคุยตากแอร์ที่ล็อบบี้ก่อนรอแดดร่มแล้วค่อยออกไป แว็บแรกที่เราเห็นหน้าเขาตอนนั้นสิ่งแรกที่คิดคือ เขาหนุ่มตามที่พ่อบอกจริงๆค่ะ เราคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในช่วงราวๆ 29-30ตอนนั้นเรายังไม่รู้นะคะว่าเขาอายุเท่าเรา คือถึงแม้ว่าเขาจะดูหนุ่ม แต่เขาดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุจริงๆค่ะฮ่าๆๆ
เราเปิดบทสนทนาด้วยประโยคคลาสสิคที่ว่าชอบเมืองไทยไหมฮ่าๆๆ ซึ่งคงไม่ต้องเดาคำตอบเลย เริ่มจากบทสนทนาเกี่ยวกับประเทศไทย การเดินทางท่องเที่ยว เราก็เริ่มถามเขาเรื่องครอบครัว การศึกษา การงาน คุยไปคุยมากลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนโดนสัมภาษณ์ค่าฮ่าๆๆ
ระหว่างที่นั่งคุยกันเรารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดกับเรามาก่อนเวลาคุยกับคนแปลกหน้า ถึงแม้คำถามจะไม่ต่างจากการสัมภาษณ์นิตยสารแต่ความลื่นไหลของบทสนทนาและการส่งสายตาให้เราเป็นระยะ พร้อมกับท่าทางที่ตั้งใจฟังเวลาที่เราเล่าเรื่องของเรา มันทำให้เราไม่รู้สึกถึงความแปลกหน้าใดๆเลยค่ะ เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีโทรศัพท์เข้าเขาจึงขอตัวกลับขึ้นไปบนห้องค่ะ ก่อนเขาจะกลับขึ้นไปบทสนทนาสุดท้ายที่เราคุยทิ้งไว้คือการถามเขาว่ามาเที่ยวคนเดียวแฟนไม่มาด้วยเหรอ เขาส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบว่าไม่มีแฟนค่ะ ตอนนั้นด้วยความคุ้นเคยและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เราก็หลุดปากพูดกลับไปว่า I’m single too. ฉันก็โสดเหมือนกันนะฮ่าๆๆ ทั้งๆที่เราอยู่ในช่วงระหว่างตัดสินใจที่จะจบความสัมพันธ์ค่ะ
เมื่อเขากลับไปเราก็ใช้วิชามารของการเป็นลูกสาวลุงผมขาวหาอีเมล์ของเขาในเอกสารเช็คอินเพื่อจะส่งไปขอไลน์ค่ะฮ่าๆๆ เราเจออีเมล์และส่งเมล์หาเขาทั้งๆที่เราคิดไว้แล้วว่าอาจเป็นแค่อีเมล์ที่เขาสมัครขึ้นมาเพื่อใช้ในการจองห้องอย่างเดียวไม่ได้เป็นอีเมล์ที่เขาใช้จริงๆ ค่ำวันจันทร์หลังจากที่เขากลับไปในตอนเช้าและเราก็กลับบ้านมาหลังเลิกงานก็พบว่าเขาตอบอีเมล์เรากลับมาและให้ไลน์เราด้วยความยินดีค่ะ ตอนนั้นในใจคือดีใจกระโดดโล้ดเต้น ฝันถึงงานแต่งงานของเราไปแล้วจ้า ฮ่าๆๆ
ตอนที่ 2-ก่อนจะได้เจอกัน
หลังจากได้ไลน์เขามาเราก็ส่งข้อความทักทายคุยกับเขาอยู่เรื่อยๆค่ะ เรื่องที่คุยส่วนมากก็จะเป็นการถามสารทุกข์สุขดิบ แชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยว เราเลยได้รู้ว่าเขาเป็นคนชอบเดินทางเหมือนกันค่ะ เราเสียการควบคุมตัวเองไปสักพักเพราะเราตัดสินใจจบความสัมพันธ์กับผู้ชายคนเดียวที่เป็นทั้งเพื่อนและคนรักมาเป็นเวลา 9 ปีเต็มค่ะ หลังจากดูหนังเรื่อง How to be Single เราก็เห็นด้วยกับนางเอกและเจริญรอยตามเลยค่ะฮ่าๆๆ นางเอกขอเลิกการแฟนเก่าที่คบกันมานานเพราะอยากรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ในชีวิตและผู้ชายคนนี้คือคนที่อยากอยู่ด้วยตลอดชีวิตจริงๆหรือเปล่า ถ้าใครยังไม่เคยดูแล้วเป็นสาวกรอมคอมเช่นเดียวกับเราแนะนำให้ลองหามาดูค่ะ ชีวิตรักเราและชีวิตนางเอกตอนตัดสินใจเป็นโสด แทบไม่ต่างกันเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
เราดี๊ด๊ามากๆกับการเป็นโสดมันช่างหอมหวานอยู่ในช่วงสองเดือนแรกค่ะ จากนั้นเราก็พยายามจะกลับไปแต่ก็พบว่าสายไปแล้วค่ะ เราดึงสติ ดึงทุกสิ่งทุกอย่างกลับมา อยู่กับตัวเอง รักตัวเอง มีความสุขเพื่อตัวเอง ให้ตัวเอง ไปจนถึงขั้นวางแผนที่จะอยู่เป็นโสดใช้ชีวิตให้คุ้มและขึ้นคานอย่างสง่างามค่ะฮ่าๆๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วเราจึงตัดสินใจสร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งแรกให้ตัวเองเลยคือการเที่ยวต่างประเทศคนเดียวโซโล่ทริปค่ะ เราเป็นลูกคนเดียวที่ติดเพื่อนมาตลอด เราไม่มีปัญหากับการไปไหนมาไหนคนเดียว แต่การเที่ยวต่างประเทศคนเดียวมันออกจากคอมฟอร์มโซนเราไปไกลพอสมควรค่ะ แน่นอนว่าในเมื่อมันเริ่มแล้ว ประเทศที่เราเลือกก็ไม่พ้นประเทศญี่ปุ่นค่ะ ก็ลึกๆแล้วมันคุ้นๆกับที่นั่นอ่านะ ฮ่าๆๆ เราเคยไปญี่ปุ่นมาบ้างสามสี่ครั้งค่ะ ก่อนที่จะตัดสินใจจองตั๋วช่วงเดือนตุลาคม 2018 เพื่อไปทริปโรแมนติกสิ้นปีมีมายเซลล์คนเดียวที่โตเกียวค่ะ
จะรอช้าอยู่ใยเมื่อได้ตั๋วได้ที่พักแล้วเราก็ส่งข่าวบอกหนุ่มญี่ปุ่นพูดน้อยทันทีเลยค่ะว่าเราจะไปเที่ยวโตเกียวคนเดียวนะ พร้อมส่งรายละเอียดที่พักให้และขอคำแนะนำเรื่องที่เที่ยวค่ะ ตอนนั้นมโนไปเต็มๆแล้วค่ะว่าถ้าความรู้สึกเราไม่ผิดเพี้ยนเราได้ไปเดทกันแน่ๆ เสร็จฉันหวานหมูแน่นอนฮ่าๆๆ ถึงแม้จะวางแผนขึ้นคลานใสๆไปแล้วแต่เราต้องอยู่กับปัจจุบันค่ะ แผนเปลี่ยนได้ตลอดฮ่าๆๆ ความมโนยังไม่ทันหายความนกก็เข้ามาแทรกค่ะ หนุ่มพูดน้อยบอกเราว่าช่วงปีใหม่เขาจะไปดูบาสเก็ตบอลที่นิวยอร์ก ตอนนั้นเราหมดหวังแล้วค่ะ คิดว่าถ้าคลาดกันแล้วคลาดกันอีกขนาดนี้ ไม่เอาแล้วก็ได้วะ ฮ่าๆๆ คือก่อนหน้านี้ เรากับเพื่อนไปเที่ยวโอซาก้าในช่วงสิงหาคม 2018 ค่ะ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไปเที่ยวอินโดนีเซียในช่วงเวลาเดียวกันเลยค่ะฮ่าๆๆ ก่อนเราจะไปญี่ปุ่นในช่วงเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เขาก็เดินทางมาประชุมที่ไทยถึงสองครั้งค่ะ ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่เราได้เจอกัน
แต่ช้าก่อนค่ะ สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ของดีมักมาในตอนท้ายจ้า ฮ่าๆๆ ข้อความถัดไปจากเขาทำให้เราลุกขึ้นกระโดดบนเตียงเลยค่ะ เขาส่งข้อความมาต่อว่าเขาจะกลับบ้านที่โยโกฮาม่า ตัวเขาทำงานอยู่ที่นาโกย่าค่ะ ในช่วงวันที่ 29-31 ธันวาค่ะ จะไปนิวยอร์กวันที่ 1 มกราคม ระหว่างนี้ที่เขากลับบ้านเขาว่างค่ะ จากรายละเอียดที่พักเราแล้วใกล้กับโยโกฮาม่าแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และลงท้ายด้วยคำว่า I can guide you if you want. ด้วยดีกรีภาษาอังกฤษบวกกับความมโนของเราจึงคิดไปไกลแล้วว่าเขาชวนไปเที่ยวชวนไปเดทค่ะฮ่าๆๆ ตอนนั้นไม่มั่นใจอย่างแรงเลยเอาบทสนทนาไปให้เพื่อนๆเดอะแก็งและเจ๊ๆที่ออฟฟิศวิเคราะห์ค่ะ ทั้งสองกลุ่มต่างเห็นตรงกันพร้อมช่วยกันดึงสติเราว่าอย่าเพิ่งคิดไปไกล ถามไปให้แน่ใจว่า guide เนี่ยจะพาไปหรือแค่บอกทาง ด้วยความเป็นคนว่านอนสอนง่ายเราก็ถามเขาไปเลยค่ะ ว่าจะบอกทางให้เราไปเที่ยวเองใช่ไหม คำตอบเขาคือเราสามารถใช้ google map ไปได้ทุกที่ในญี่ปุ่นเลยค่ะ ง่ายมากๆไม่หลงแน่นอน
นั่นแหละค่ะจบประโยคนั้นเราก็ปิดเกมแพ็คกระเป๋าเตรียมเที่ยวคนเดียวไม่หวังการเดทใดๆแล้วค่ะ ตอนนี้มีความฉุนเพราะคุยมาด้วยดีตลอด อยู่ดีๆเหมือนถูกเตะตัดขาเลยค่ะฮ่าๆๆ หน้าแตกดังเกร้งคงได้ยินเสียงผ่านข้อความแน่นอนฮ่าๆๆ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามใช้สมองดับมโนเราก็ทำไม่ได้จริงๆค่ะ ยังมีแก่ใจเตรียมเดรสน่ารักๆใส่กระเป๋าไปเผื่อ สวรรค์อาจเป็นใจส่งหนุ่มพูดน้อยต่อยหนักคนนี้มาเจอเราจริงๆก็ได้ค่ะฮ่าๆๆ ด้วยความใจรักในการมโนและความไม่ย่อท้อ เราได้ฟังเรื่องราวผ่าน podcast หนึ่งตอนที่มีชื่อว่า ซึคิอัตเตะ คือดาไซ (ได้โปรดคบกับฉันเถอะนะ) เป็นเรื่องราวระหว่างสาวไทยกับหนุ่มญี่ปุ่นในกรุงเทพนี่หล่ะค่ะ เป็นบทสัมภาษณ์ของสาวไทยที่กำลังจะแต่งงานกับเขยญี่ปุ่น มันยิ่งทำให้เรามีแรงฮึกเหิมและกลับมามโนต่อ เอ้าเพลงมา ฝันถึงงานแต่งงานของเรา ฝันว่าเราแก่ไปด้วยกัน ฮ่าๆๆ
ตอนที่ 3-เหตุการณ์จริงที่ดีกว่ามโนภาพ และการเดทที่เกินคาดฝัน
แล้ววันเดินทางของเราก็มาถึงค่ะ เหตุไม่คาดฝันและการผจญภัยของเราเกิดขึ้นตั้งแต่ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเลยค่ะ เนื่องจากเครื่องบินเกิดเหตุขัดข้อง จากกำหนดการเดิมที่เราจะถึงโตเกียวในวันที่ 27 ธันวาคม ราวๆสองทุ่ม เรากับถึงที่สนามบินฮาเนดะตอนห้าทุ่มแทนค่ะ ซึ่งเวลานั้นไม่มีรถไฟเข้าเมืองหรือออกจากสนามบินแล้ว ดีที่การเดินทางคนเดียวทำให้เราได้เพื่อนใหม่ เราจึงนั่งๆนอนๆรอรถไฟเที่ยวแรกในวันถัดไปกับน้องสาวน่ารักที่มาดูคอนเสิร์ตกับคุณแม่ค่ะ ทันทีที่เราถึงสนามบินแล้วต้องค้างเพื่อรอรถไฟ เราก็ส่งข้อความไปหาเขาเลยค่ะ ว่าเราถึงแล้วนะแต่ยังไม่ที่พักไม่ได้ต้องรอพรุ่งนี้เช้าเพราะรถไฟหมดแล้ว เขาตอบข้อความเรากลับมาอย่างรวดเร็วจนเราคิดไม่ถึงค่ะ วินาทีที่เห็นเขาส่งข้อความกลับมาอยากร้องเพลงนี้ให้มากๆ เธอกับฉันเราเป็นอะไรช่วยบอกฉันที อยากรู้ข้อความที่เธอส่งมานี้มันหมายความว่าอะไรฮ่าๆๆ
เขาส่งรายละเอียดการเดินทางโดยรถไฟจากสนามบินไปจนถึงที่พักเราเลยค่ะ พร้อมกับลงท้ายข้อความว่าดูแลตัวเองและระวังตัวด้วยนะ เราก็ตอบเขากลับมาว่าไม่ต้องห่วงเพราะมีคนอยู่ด้วยค่ะ เช้าวันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2018 วันที่มาเต็มมากฮ่าๆๆ เราก็เดินทางถึงที่พัก อาบน้ำเก็บของ และก็ออกเที่ยวต่อในบ่ายวันนั้นเลยค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เย็นวันนั้นระหว่างเรานั่งรอรถไฟกลับที่พัก ในเมื่อเรามาถึงตรงนี้แล้ว เรากับเขาอยู่ห่างกันแค่รถไฟครึ่งชั่วโมง เราเลยส่งข้อความไปถามเขาเลยค่ะว่าพรุ่งนี้ทำอะไร เขาตอบกลับมาอย่างไม่รอช้าว่าว่างค่ะไม่ได้ทำอะไร เมื่อเห็นข้อความดังนั้นแล้ว เราก็แคปหน้าจอส่งหากองกำลังเสริมทันทีค่ะว่าเอาไงต่อดีฮ่าๆๆ กำลังเสริมเราบอกว่าลุยเลย รอช้าอะไรชวนเที่ยวไปเลย เราจึงส่งข้อความไปตรงๆเลยค่ะว่าไปเที่ยวกันไหม และแล้วคำตอบที่เราเฝ้ามโนมาตลอดก็ได้เวลาทำงานของมันค่ะ Sure. สั้นๆง่ายๆ ประหยัดคำสไตล์ผู้ชายพูดน้อยที่เขาส่งกลับมาทำให้เรายิ้มไม่หุบจนถึงที่พักเลยค่ะ
เช้าวันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2018 เราก็งัดเดรสสีชมพูฟรุ้งฟริ้งพร้อมเลกกิ้งใส่ท้าอากาศหนาวไปเลยค่ะ เรานั่งรถไฟไปเจอเขาที่ไชน่าทาวน์ราวๆบ่ายสองโมงหลังจากที่นัดกันเมื่อคืนค่ะ ระหว่างทางที่นั่งรถไฟไปก็พยายามนึกหน้าที่คาแร็กเตอร์ของเขาว่าเป็นยังไง คือกลัวทักคนผิดค่ะ เพราะเราเจอเขาและมีโอกาสได้คุยกันแค่ชั่วโมงเดียวซึ่งมันก็ผ่านมาเป็นเวลาเจ็ดเดือนแล้วค่ะ พอเราออกมาถึงประตูสถานีรถไฟก็เห็นเขายืนรอเราอยู่เลยค่ะ คือไม่ต้องกลัวทักคนผิดเลยเพราตรงนั้นมีเขายืนก้มหน้าพิงกำแพงกดโทรศัพท์อยู่คนเดียวโดดๆเลยค่ะ รอดละเราฮ่าๆๆ เขายิ้มน้อยๆค่อยๆเป็นการทักทายเรา วินาทีที่เห็นรอยยิ้มเขาความตื่นเต้น ความประหม่าของเรามันหายไปหมดเลยค่ะ เรามันไม่รู้สึกถึงความเคอะเขินกระอักกระอ่วนใดๆเลยค่ะ