สวัสดีครับ...กลับมาเจอกันอีกครั้งกับ PART 2 ของการเที่ยวที่กัมพูชา เนื่องด้วย PART นี้เป็นการรีวิวถึงความยิ่งใหญ่ทางอารยธรรมของกัมพูชา ผมต้องขอบอกกับผู้อ่านทุกท่านว่า ผมใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลค่อนข้างเยอะ ทั้งจากเอกสาร ออนไลน์ ผู้รู้ รวมถึงพี่ปังปอนด์ไกด์นำเที่ยวผู้น่ารักครับ (จากคนที่ขี้เกียจอ่าน ครั้งนี้ต้องอ่านครับ เพราะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเผยเเพร่นี้ 555+) อย่างไรก็ดี ผมใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะนำข้อมูลที่เเสนหนักนี้ให้คนอ่านอ่านเเล้วรู้สึกสนุก ไม่หนักวิชาการจนเกินไปหากมีข้อมูลส่วนใดผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปต้องขออภัยนะครับ เเละหากผู้อ่านมีข้อมูลที่ถูกต้องเเม่นยำกว่า เเนะนำเเละเสริมได้เลยครับ ผมยินดีมาก 

.

.

.

เริ่มต้นกันเลยครับ...การเที่ยวชมปราสาทต่าง ๆ ในกัมพูชาจะต้องซื้อบัตรเข้าชมครับ  ผมเเละคณะเดินทางไปซื้อ ANGKOR PASS ก่อน 

ตัว  ANGKOR PASS ราคาอยู่ที่

1 day pass 37 USD

3 day pass 62 USD

7 day pass 72 USD

สถานที่จำหน่าย ANGKOR PASS

เจ้าหน้าที่ที่คอยให้บริการ ANGKOR PASS จุดนี้ เราต้องชำระเงินทั้งสิ้น 37 USD เเละจะต้องถ่ายภาพหน้าเราเพื่อติดในตัวบัตรด้วยนะครับ ขั้นตอนนี้ไม่นานครับเพราะเจ้าหน้าที่ทำงานเร็วเเละคล่องมากครับ

นี่คือ ANGKOR PASS ครับ ของจริงจะเป็นกระดาษอ่อน ๆ ระวังอย่าให้โดนน้ำนะครับเพราะหมึกพิมพ์อาจจะเลอะได้ ถ้าใครที่ไม่ทันระมัดระวังก็เตรียมซองกันน้ำที่ไปด้วยจะดีมาก (ฝากนิดนึงครับตอนถ่ายภาพติดบัตรก็พยามยามตั้งสตินิดนึงครับ เพราะมันจะเร็วมาก บัตรนี้จะต้องเเสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ประจำแต่ละปราสาททุกครั้ง เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะตกใจนะครับว่าตัวจริงกับภาพในบัตรถึงเเตกต่างกัน จริง ๆ 555+ เเต่ของผมก็ไม่ดีมากนะครับ

เพราะตอนถ่ายก็เคลิ้ม ๆ อยู่ 555+)

ไม่ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน ทุกที่จะมีกฎ กติการะบุไว้ชัดเจนครับ ที่กัมพูชาก็เหมือนกัน ข้อห้ามหลัก ๆ มี 7 ข้อครับ

1. ห้ามถ่ายรูปเซลฟี่กับพระสงฆ์ในบริเวณโบราณสถานนะครับ

2. ห้ามเอามือ/สัมผัสตัวโบราณสถานที่ประกาศห้าม

3. ควรเเต่งกายให้เกียรติสถานที่ คุณผู้หญิงหลีกเลี่ยงการสวมกางเกงขาสั้นนะครับ

4. ไม่ขึ้น ปีนป่ายไปบนซากโบราณสถานนะครับ 

5. ไม่ตะโกน ส่งเสียงดัง

6. อย่าให้เงินเด็กครับ เพราะถ้าให้คนใดคนหนึ่งจะมีอีกกลุ่มใหญ่วิ่งมาหาท่านครับ

7. ไม่สูบบุหรี่ ของมึนเมา ไม่ทิ้งขยะ

ระเบียบง่าย ๆ นี้ถ้าเราทำได้ก็จะทำให้การเที่ยวของเราราบรื่นมีความสุขครับ โอเคเมื่อเราพร้อมเเละเข้าใจเเล้วก็ไปเที่ยวกันเลยครับ

 

ประตูทางเข้าปราสาทบายน

.

.

....ดังที่บอกไว้ว่าทริปนี้เอารถยนต์ส่วนตัวไปเที่ยวเอง ผมจึงไม่สามารถบอกข้อมูลการเที่ยวโดยใช้รถโดยสารประจำทางได้ เเต่พี่ไกด์บอกว่าเขามีบริการตลอด ยังไงถ้าผู้อ่านที่วางเเผนว่าจะไปเที่ยวลองศึกษาเพิ่มเติมข้อมูลส่วนนี้ดูนะครับ  เราเริ่มต้นด้วยการเที่ยวบายน ข้อมูลส่วนนี้ได้มาจากอินเทอร์เน็ตเเละคำบอกเล่าของพี่ปังปอนด์ไกด์นำเที่ยวครับ

....ปราสาทบายนสร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นศิลปะแบบบายน ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ปราสาทบายนเป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และเป็นการปฏิวัติรูปแบบของการสร้างปราสาทที่มีภาพลักษณ์ต่างจากการสร้างรูปแบบเดิม ๆ โดยสิ้นเชิง เป็นเพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งต่างจากกษัตริย์หลายพระองค์ที่ล้วนแล้วแต่นับถือศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ที่สืบทอดมากกว่า 415 ปี ปราสาทบายนถูกสร้างโดยการนำหินมาวางซ้อน ๆ กันขึ้นเป็นรูปร่าง แม้จะเป็นปราสาทไม่ใหญ่โตเท่านครวัด แต่มีความแปลกและดูลี้ลับทั้งปราสาทมีแต่ใบหน้าคน เพราะมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมตัวปราสาทเยอะ  เเต่ ณ ปัจจุบันพวกต้นไม้ รากไม้ไม่มีเเล้วครับ เพราะต้นไม้เเละรากไม้ทำให้ตัวปราสาทเสียหาย จึงต้องรื้อถอนออกตอนปฏิสังขรณ์ อย่างไรก็ดีก็เพื่อคงสภาพตัวปราสาทให้คงอยู่ ตัวพระปรางค์ปราสาทบายนทั้ง 54 ปรางค์ถูกสลักเป็นภาพพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศ เพื่อสอดส่องดูแลความทุกข์สุขของเหล่าพสกนิกรของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุข รอยยิ้มที่ระเรื่อนี้เรียกว่ายิ้มแบบบายนเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ใบหน้าเหล่านั้นหากนับรวมกัน 54 ปรางค์ปราสาทปรางค์ปราสาทละ 4 หน้า จะมีรวมถึง 216 หน้า แต่ปัจจุบันได้สึกกร่อนพังทลายลงไปหลายหน้าแล้ว ระดับพื้น ตัวปราสาทโดยรอบแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ประกอบระเบียงคตด้านนอก ชั้นระเบียงคตด้านใน และบนสุดเป็นชั้นของปรางค์ประธาน และปรางค์บริวารที่ทุกปรางค์จะมีภาพพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผินพระพักตร์มองออกไปทั้งสี่ทิศ

 

ภาพเหล่านี้บอกเล่าความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเขมร  ครั้งเเรกที่ผมไปเจอผมทึ่งมากครับ

ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอกับความมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่สร้างจากมนุษย์

พระพุทธรูปปางนาคปรกตั้งอยู่ ณ ปราสาทบายน จากข้อมูลพบว่าในยุคหลังบายนมีการทำลายพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 กษัตริย์ที่มีความศรัทธาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  มีการทำลายพระพุทธรูปทั่วทั้งเมืองพระนคร หากเป็นองค์ที่ใหญ่ ก็ถูกทุบทำลายแล้วเอาไปฝังไว้ในที่ต่าง ๆ ดังเช่น พระพุทธรูปองค์นาคปรก ถูกทำลายแล้วฝังไว้ตรงกลางปราสาทบายน (ข้อมูลจาก Facebook Kang Vol Khatshima)

 

ปราสาทตาพรหม

.

.

.

 

“ปราสาทตาพรหม” เป็นปราสาทที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างอุทิศให้แก่พระราชพระมารดา ต่อมาปราสาทหลังนี้ถูกใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง    “ทูม ไรเดอร์” และกลายเป็นหนึ่งในปราสาทขอมที่คนนิยมไปเที่ยวกันมาก สำหรับความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของปราสาทตาพรหมก็คือ ต้นสะปงขนาดใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมและมีรากชอนไชไปทั่ว ซึงปัจจุบันปราสาทตาพรหมกลายเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว 

ครั้งหนึ่งผมถ่ายรูปคู่กับต้นสะปงใหญ่ (mission complete 555+)

เห็นพระพุทธรูปกันมั้ยครับ พี่ไกด์บอกว่าต้องสังเกตดี ๆ จึงจะมองเห็น

.

.

.

 

ปราสาทนครวัด (ANGKOR WAT)

นี่เป็นไฮต์ไลท์ของทริปนี้เลยครับ ทีเเรกเราตั้งใจว่าจะมาดูพระอาทิตย์ตกที่นครวัด เเต่เหมือนโชคไม่เข้าข้างครับ เพราะเรามาถึงปราสาทนครวัดเกือบ ๆ 16.30 น. (คิดว่าทัน เเต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนเเล้ว...เสียใจมากกลั้นสะอื้นอยู่ลึก ๆ เวลา อีกประมาณ 30 นาทีก่อนปราสาทจะปิด ผมกับคณะก็จ้ำอ้าวถ่ายรูปเลยครับ ภาพที่นี้เก็บได้น้อยมากครับ ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งเพราะตัวปราสาทใหญ่ ...ใหญ่...ใหญ่มาก)

 

ตัวปราสาทใหญ่มาก ก่อนจะเข้าชมจะต้องเดินข้ามสะพานโป๊ะครับ

สีหน้าเมื่อรู้ว่าไม่สามารถขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดปราสาทนครวัดได้ 555+

บางมุมจากปราสาทนครวัด

.

.

.

พี่ไกด์บอกว่าใครที่ได้มาเที่ยวที่ปราวสาทนครวัด เขามีความเชื่อว่าเมื่อชาติปางก่อนอาจจะเป็นคนที่เคยอยู่ใต้ร่มโพธิสมภารของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ครับ      ไม่ว่าชาติที่เเล้วผมจะเป็นช่างกระเทาะหินหรือ มด เเมง อะไรก็เเล้วเเต่ การได้มาเยือนนครวัดครั้งนี้ผมประทับใจมาก ความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมทำให้รู้สึกทึ่งในพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ ความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมทำให้รู้สึกทึ่งในพระอัจฉริยภาพด้านสถาปัตยกรรมของกษัตริย์

สรุปเเล้ว ทึ่ง! ทึ่ง! ทึ่ง! ครับ โอ้พระเจ้า!