แชร์ประสบการณ์ ปั่นจักรยานคนเดียว โตเกียว > โอซาก้า 666 กิโลเมตร ใน 6 วัน


การทลายน้ำแข็ง (breaking the ice) หาเรื่องเริ่มต้นบทสนทนา หรือการแนะนำตัวให้ผู้คนที่ไม่รู้จักได้รู้จัก สำหรับผมนั้นอาจดูยากสักหน่อย แต่ถ้าเริ่มได้แล้ว เกิดการโต้ตอบ บทสนทนาจะไหลลื่นขึ้นได้เอง

ผมชื่อ วา ครับ บนโลกออนไลน์ผมใช้ไอดี @twometre (https://www.twitter.com/twometre) ตอนนี้ทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับองค์กรเทคโนโลยีเจ้าหนึ่ง ระบุละเอียดมากไม่ได้แต่หลายคนต้องเคยเห็นงานที่ผมดูแล ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ /ไหว้

โอกาสนี้จะมาเล่าเรื่องราวการเดินทางของผม กับการปั่นจักรยานคนเดียวจากนาริตะ (อ้อมแอ้มว่าโตเกียวแล้วกัน) ยิงยาวไปถึงโอซาก้า ในระยะเวลา 6 วัน (บวกเที่ยวเรื่อยเปื่อยสองวัน) ระยะทางประมาณการคือ 666 กิโลเมตร (ปั่นจริงได้ 521 กิโลเมตร - อ่าวทำไมอย่างนั้น อ่านต่อนะ) หวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ

ทำไมถึงคิดอยากปั่นไกลขนาดนี้

หลังจากที่วางแผนกับตัวเองและแชร์กับคนใกล้ชิดไปแล้วว่าวันที่ 19-27 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ ผมจะไปปั่นจักรยานทางไกล ตัวคนเดียว ด้วยจุดประสงค์คือ:

- อยากชาร์จแบตตัวเอง - คิดว่าไม่น่าได้ชาร์จอ่ะบอกเลย

- บำบัดอาการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์ - ทุกวันนี้เสียสมาธิกับการไถฟีดดูเพื่อนๆ แล้วอิจฉาเขาไปเรื่อย รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า แถมสมาธิสั้น อ่านอะไรยาวๆ ไม่ได้เลย

- หาตัวตน หาความมุ่งมาดปรารถนาใหม่ - คิดอยู่เสมอว่างานที่เราทำ สิ่งที่เราหลงใหลสักวันหนึ่งต้องถูกดิสรัป การได้อยู่กับตัวเองอาจทำให้ตกผลึกอะไรบางอย่าง หรือพบเจออะไรใหม่ๆ (แต่ยังแฮปปี้กับงานมากๆ นะครับตอนนี้)

- ทดลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองตลอด 8 วันนี้ - เมื่อเจออุปสรรคใด จะได้ “ช่วยตัวเอง” จริงจังก็คราวนี้แหละ แฮ่กๆ (หอบเหนื่อยเพราะปั่นจักรยาน)

ผมได้แรงบันดาลใจจากกระทู้พันทิปหลายกระทู้ ที่เขาก็ปั่นผ่านกันมาได้ (ขอบคุณทุกแรงบันดาลใจ) แน่นอนว่าพวกเขาคงมีเรื่องราวที่เขาไม่ได้เขียนลงในกระทู้ ว่าสิ่งที่พบเจอหรือความรู้สึกตลอดเส้นทางนั้นเป็นอย่างไร แต่ก็เผื่อใจและเตรียมพร้อมที่จะเจอเองอยู่ตลอด

มีแต่คนห้าม

“เป้าหมายควรเก็บไว้เป็นความลับ”

อันนี้ผมเห็นด้วย (แม้คนพูดจะเป็นไลฟ์โค้ชที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไร) เพราะถ้ามันทำไม่สำเร็จ หรือขาดการยืนระยะแล้วล้มเลิกก็จะได้ไม่เขินมาก หรือการป่าวประกาศเป้าหมายส่วนตัวออกไปดังๆ มักจะมีคำถามตามมาจากผู้คนรอบตัวที่ยังเข้าใจไม่ถ่องแท้ด้วย

ผมเลือกที่จะบอกคุณแม่ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ก่อนออกเดินทาง เพราะมั่นใจว่าต้องพบกับแรงต่อต้านที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ (คือผมยังเป็นลูกแหง่ mama boy อยู่บ้าง)

ตั๋วซื้อแล้ว โรงแรมจองแล้ว ท่านก็ห้ามไม่อยู่แล้ว ได้แต่บอกว่า “ขอให้ครั้งนี้เป็นทริปเดียวแล้วกัน” พร้อมบ่นพึมพำว่าผมชอบคิดและทำอะไรสุดโต่ง เป็นความเป็นห่วงที่เข้าใจและยอมรับเสมอ ผมจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดครับ

ด้านแฟน เธอในฐานะนักเรียนเก่าญี่ปุ่นมีท่าทีไม่ค่อยห้ามเพราะมั่นใจว่าถนนที่นั่นค่อนข้างปลอดภัย แต่แค่เป็นห่วงเพราะสภาพอากาศช่วงเวลาที่ผมซื้อตั๋วไป (ด้วยความกะตือรือร้นเฉียบพลัน) อาจจะหนาวเกิน คือใกล้ๆ สิบองศาเซลเซียส อันนี้ก็จะเตรียมเสื้อผ้าไปหนาสักหน่อย

ส่วนเพื่อนๆ ก็ดูตกใจเรื่องเส้นทาง ความชัน และการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าไปคนเดียวจะไหวเหรอ

คือถ้าทริปนี้ไม่สำเร็จ ติด ไม่เป็นตามแผน ผมก็จะเงียบๆ ไป งานเขียนนี้ก็คงไม่ได้โพสต์ที่ไหนแน่นอน ;__;
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่