สวัสดีครับ ขออนุญาตแนะนำตัวกันก่อน ผมชื่อแตงโมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในพระนคร อีกบทบาทหนึ่งผมเป็นนักร้องนักแต่งเพลงในวงดนตรีเมทัล underground  — นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้โพสต์อะไรลง pantip ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
ต่อไปนี้จะเป็นข้อตกลงกันว่า เรื่องราวประหลาดๆที่ผมจะเล่าต่อจากนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมทั้งสิ้น หากมีการพาดพิงบุคคล หรือสถานที่ใดๆ ก็ต้องขออภัย มา ณ โอกาสนี้ และถ้าจำเป็นจริงๆผมจะเลี่ยงด้วยการใช้นามสมมติ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะแม้แต่ตัวผมเองบางครั้งก็ยังเก็บมาขบคิดหาคำตอบอยู่บ่อยๆ  .... OK นะครับ
7-8 กุมภาพันธ์ 2562 …
เรื่องนี้กำลังคิดว่าจะเล่าดีมั้ย เพราะไม่รู้จะเขียนยังไงให้สนุก แต่ด้วยความอยากเล่าและอาจจะเล่าให้ใครฟังไปบ้างแล้ว ก็เลยคิดว่าเล่าดีกว่า...
           หลังจากรถไฟไปถึงสถานีขอนแก่นราวตีสองกว่า ผมเคว้งคว้างและไม่รู้จะเข้าเมืองยังไง เพราะสถานีรถไฟย้ายออกมานอกเมืองหลายกิโล รถรับจ้างก็คิดราคาเกือบ 300 บาท แพงกว่าค่ารถไฟ ผมไม่มีทางเลือกเลยต้องเดินไป ถ่ายทอดสดไป รอบๆตัวมืดตื้อ มีแต่หมา ป่า(ช้า?) และร้านช่างที่ปิดหมดแล้ว ... เดินอยู่ราวยี่สิบนาทีก็มาถึงรอบนอกของเมืองซึ่งรู้สึกโอเคขึ้น ผมเดินผ่านโรงเรียนชื่อดัง ร้านเหล้า อาบอบนวดที่เพิ่งปิดไปไม่นาน มีผู้บ่าวไทบ้านขี่มอเตอร์ไซค์สวนมาพร้อมชักมีดใส่ผม ...ด้วยความรักตัวกลัวตาย ผมเก็บมีดแล้วยกมือไหว้อย่างฉับพลันก่อนจะวิ่งหนีไปหน้า 7-11 ไอ้หมอนั่นหัวเราะเสียงลั่นก่อนจะแว๊นหายไปในความมืด
          ผมเดินไปตามถนนที่ไม่มีผู้คน เปิดแผนที่จาก google ไปเรื่อยๆเพื่อหาร้านอะไรก็ได้ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อนั่งพิมพ์งานรอเวลา แต่ไม่พบว่ามีร้านใดเปิดนอกจากร้านเกม และก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ...ผมแวะ 7-11 เกือบทุกสาขาที่ผ่านเพื่อเติมเกลือแร่ สุดท้ายก็มาถึงจุดหมาย คือคาเฟ่ในโรงแรมแห่งหนึ่งที่โฆษณาว่าเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ข่าวร้ายคือ ทางโรงแรมได้เปลี่ยนเวลา เปิดถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น
          ผมยิ่งเคว้งคว้างหนักด้วยความเหนื่อยล้า และง่วงสุดขีด เดินผ่านโรงเรียนชื่อดังอีกแห่งหนึ่งมาสักพักเห็นป้ายโรงแรมที่มีห้องพักราคาเพียง 220 บาท ผมลังเลอยู่นานพยายามดูรีวิวในเน็ต แต่ไม่มีใครพูดถึงโรงแรมแห่งนี้เลย แต่ผมรอไม่ได้แล้ว เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามพนักงานต้อนรับหน้าเข้ม ซึ่งสุภาพเรียบร้อยและเป็นกันเองมากๆ ผมรู้สึกเป็นความประทับใจแรก เลยบอกไปว่าผมต้องการห้องพัก และจะเช็คเอ้าท์ก่อนเที่ยง 
          "มีเหลืออยู่ 1 ห้องพอดีครับ ผมคิดราคาพิเศษ 120 บาท แต่เช็คเอ้าท์เที่ยงผมคงต้องคิด 140 บาท ... ถ้าจะอยู่อีกคืนนึงผมให้ 180 บาทเลยครับ"
           ผมไม่ต้องคิดเยอะอีกแล้ว ราคานี้ ห้องพัดลม คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เตียงเดี่ยว 6 ฟุตนี่มันคือสุดยอด ผมตกลงทันที
           "แต่งตัวเข้ากับบรรยากาศโรงแรมเราเลยนะครับ" ...เขาว่า ผมได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
           จ่ายเงินเสร็จสรรพ มีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งพาผมไปที่ห้อง ผ่านบันไดไม้ที่มีไม้แกะเป็นตุ๊กตาสิงโตกับกวางแบบวินเทจ มายังห้องเบอร์ 052 ชวนคุยด้วยนิดๆหน่อยๆพอเป็นพิธี พร้อมกับแนะนำห้องและบริการต่างๆเป็นอย่างดี ทีแรกจะช่วยถือกระเป๋าด้วยแต่ผมเกรงใจ เพราะแค่นี้ก็ดีมากๆแล้ว เขาให้น้ำขวดลิตรมาหนึ่งขวด ผ้าเช็ดตัวสองผืน แต่ไม่ให้กุญแจ
"ขอเก็บกุญแจไว้ที่ผมนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้น หรือจะออกไปไหนค่อยมาขอจากผมได้ตลอดเวลา"
ผมงงเล็กน้อยกับนโยบายดี แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เขาคงห่วงความปลอดภัยมั้ง เผื่อเป็นอะไรจะได้ไขกุญแจห้องได้
"หลับฝันดีนะครับ เกิดอะไรขึ้นเรียกผมได้ตลอดเวลา" พี่แกกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ
          ผมไม่รีรอที่จะถ่ายรูปห้องพักตามมุมต่างๆ เพราะเป็นโรงแรมแบบโอลด์สคูล ห้องพักขนาด 5x5 เมตร ติดถนน มีแสงสว่างลอดเขามาตามหน้าต่างและกระจกสี ประตูล็อกลูกบิดได้ แต่ใส่กลอนไม่ได้ บนช่องเหนือประตูมีกระดาษกาวแปะไว้กันคนแอบดู พื้นไม้ไม่ได้ขัดแบบในหนังคาวบอยไหวพะเยิบพะยาบส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ฝาไม้อัดที่มีรอยเจาะเป็นรูพรุนแต่ได้รับการอุดแล้ว ฝ้าเพดานไม้เก่าๆมีหญ้าแห้งๆด้านบนกับใยแมงมุม พัดลมแบบสมัยเรียนโรงเรียนประถม ปลั๊กไฟแบบแป้นไม้ ห้องน้ำที่วางท่อแบบแปลกๆ มีชักโครกกับอ่างล้างหน้าจากยุค 60's โต๊ะเครื่องแป้งแบบเก่าๆมีร่องรอยการใช้งานผ่านมาหลายสมัย ผมชอบมากๆ บรรยากาศราวกับผมได้แสดงเป็นนายอำเภอคนใหม่ในหนังของคุณฉลอง ภักดีวิจิตร
          ผมล้มตัวลงนอนในราวตีสี่กว่าๆ เสื้อผ้าไม่ได้ใส่ เหลือกางเกงในตัวเดียว เอาพัดลมจ่อ... ผ่านไปไม่น่าจะนานนักมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมสะดุ้งตื่นทันที เข้าใจว่าพี่พนักงานจะบริการอะไรรึเปล่า แต่ไม่ใช่ ...ชายคนนึงเห็นหน้าไม่ถนัดยืนอยู่ปลายเตียงข้างพัดลม ในความมืดนั้นผมเห็นว่าเป็นคนรูปร่างสันทัดพอสมควร เขาเดินเข้ามาใกล้
                "ออกไป ออกไป ออกไป!!!" เสียงค่อนข้างแข็งกร้าวและดัง ผมตกใจมาก แต่ด้วยความง่วง ผมจึงตะโกนสวนไปว่า
          “I-Sudd  Ku จะนอนเดี๋ยว Ku ออกไปก่อนเที่ยง”
          ชายคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร แต่เหมือนจะงอนผม แกหันหลังช้าๆแล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่เปิดประตู ... ใช่!! เดินทะลุประตูออกไปเลย !!!
ผมไม่สนใจ หยิบมือถือมาส่องไฟดู ประตูก็ล็อคนี่หว่า แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนต่อในราวตีห้าเศษๆ
.......................................
ตื่นมาตอน 9 โมงกว่าๆ ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดแล้วก็ขำ อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยจะไปที่สำนักโบราณคดีขอนแก่น เดินลงไปจากห้องเจอเจ้าของโรงแรมเป็นหญิงวัยกลางคนสวยพริ้งทีเดียว ผมเลยถามเธอ
"ขอโทษนะครับ เมื่อคืนมีพี่พนักงานขึ้นไปบนห้องรึเปล่าครับ ผมหลับอยู่อาจจะพูดไม่ดีกับเขา"
เธองงเล็กน้อยก่อนจะโทรไปถามคนที่ผมพูดถึง คำตอบคือเปล่า 
"เขามาทำอะไรหรือ" เธอถาม
"เขามายืนปลายเตียง มาไล่ผม บอกให้ออกไปๆๆ น่ะครับ แต่ผมง่วงเลยด่าไปนิดนึง เขาก็เดินทะลุประตูออกไปเลย"
เจ้าของโรงแรมสะดุ้งเฮือก แล้วก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะฉับพลัน
"อ๋อออ คนห้องข้างๆล่ะมั้ง เขาเมาน่ะ คงเข้าผิดห้อง"
ผมเองก็หัวเราะ ขอบคุณเธอก่อนจะร่ำลากัน เธอบอกว่าถ้ามีโอกาสมาพักที่นี่อีก ยินดีที่ได้บริการลูกค้า ... ผมชื่นใจ สัญญากับเธอว่าถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาพักที่นี่อีกแน่นอน																															
						 
												
						
					
นายแตงโมกับเรื่องประหลาด#1 : เข้าผิดห้อง?
ต่อไปนี้จะเป็นข้อตกลงกันว่า เรื่องราวประหลาดๆที่ผมจะเล่าต่อจากนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมทั้งสิ้น หากมีการพาดพิงบุคคล หรือสถานที่ใดๆ ก็ต้องขออภัย มา ณ โอกาสนี้ และถ้าจำเป็นจริงๆผมจะเลี่ยงด้วยการใช้นามสมมติ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะแม้แต่ตัวผมเองบางครั้งก็ยังเก็บมาขบคิดหาคำตอบอยู่บ่อยๆ .... OK นะครับ
7-8 กุมภาพันธ์ 2562 …
เรื่องนี้กำลังคิดว่าจะเล่าดีมั้ย เพราะไม่รู้จะเขียนยังไงให้สนุก แต่ด้วยความอยากเล่าและอาจจะเล่าให้ใครฟังไปบ้างแล้ว ก็เลยคิดว่าเล่าดีกว่า...
หลังจากรถไฟไปถึงสถานีขอนแก่นราวตีสองกว่า ผมเคว้งคว้างและไม่รู้จะเข้าเมืองยังไง เพราะสถานีรถไฟย้ายออกมานอกเมืองหลายกิโล รถรับจ้างก็คิดราคาเกือบ 300 บาท แพงกว่าค่ารถไฟ ผมไม่มีทางเลือกเลยต้องเดินไป ถ่ายทอดสดไป รอบๆตัวมืดตื้อ มีแต่หมา ป่า(ช้า?) และร้านช่างที่ปิดหมดแล้ว ... เดินอยู่ราวยี่สิบนาทีก็มาถึงรอบนอกของเมืองซึ่งรู้สึกโอเคขึ้น ผมเดินผ่านโรงเรียนชื่อดัง ร้านเหล้า อาบอบนวดที่เพิ่งปิดไปไม่นาน มีผู้บ่าวไทบ้านขี่มอเตอร์ไซค์สวนมาพร้อมชักมีดใส่ผม ...ด้วยความรักตัวกลัวตาย ผมเก็บมีดแล้วยกมือไหว้อย่างฉับพลันก่อนจะวิ่งหนีไปหน้า 7-11 ไอ้หมอนั่นหัวเราะเสียงลั่นก่อนจะแว๊นหายไปในความมืด
ผมเดินไปตามถนนที่ไม่มีผู้คน เปิดแผนที่จาก google ไปเรื่อยๆเพื่อหาร้านอะไรก็ได้ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อนั่งพิมพ์งานรอเวลา แต่ไม่พบว่ามีร้านใดเปิดนอกจากร้านเกม และก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ...ผมแวะ 7-11 เกือบทุกสาขาที่ผ่านเพื่อเติมเกลือแร่ สุดท้ายก็มาถึงจุดหมาย คือคาเฟ่ในโรงแรมแห่งหนึ่งที่โฆษณาว่าเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ข่าวร้ายคือ ทางโรงแรมได้เปลี่ยนเวลา เปิดถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น
ผมยิ่งเคว้งคว้างหนักด้วยความเหนื่อยล้า และง่วงสุดขีด เดินผ่านโรงเรียนชื่อดังอีกแห่งหนึ่งมาสักพักเห็นป้ายโรงแรมที่มีห้องพักราคาเพียง 220 บาท ผมลังเลอยู่นานพยายามดูรีวิวในเน็ต แต่ไม่มีใครพูดถึงโรงแรมแห่งนี้เลย แต่ผมรอไม่ได้แล้ว เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามพนักงานต้อนรับหน้าเข้ม ซึ่งสุภาพเรียบร้อยและเป็นกันเองมากๆ ผมรู้สึกเป็นความประทับใจแรก เลยบอกไปว่าผมต้องการห้องพัก และจะเช็คเอ้าท์ก่อนเที่ยง
"มีเหลืออยู่ 1 ห้องพอดีครับ ผมคิดราคาพิเศษ 120 บาท แต่เช็คเอ้าท์เที่ยงผมคงต้องคิด 140 บาท ... ถ้าจะอยู่อีกคืนนึงผมให้ 180 บาทเลยครับ"
ผมไม่ต้องคิดเยอะอีกแล้ว ราคานี้ ห้องพัดลม คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เตียงเดี่ยว 6 ฟุตนี่มันคือสุดยอด ผมตกลงทันที
"แต่งตัวเข้ากับบรรยากาศโรงแรมเราเลยนะครับ" ...เขาว่า ผมได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
จ่ายเงินเสร็จสรรพ มีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งพาผมไปที่ห้อง ผ่านบันไดไม้ที่มีไม้แกะเป็นตุ๊กตาสิงโตกับกวางแบบวินเทจ มายังห้องเบอร์ 052 ชวนคุยด้วยนิดๆหน่อยๆพอเป็นพิธี พร้อมกับแนะนำห้องและบริการต่างๆเป็นอย่างดี ทีแรกจะช่วยถือกระเป๋าด้วยแต่ผมเกรงใจ เพราะแค่นี้ก็ดีมากๆแล้ว เขาให้น้ำขวดลิตรมาหนึ่งขวด ผ้าเช็ดตัวสองผืน แต่ไม่ให้กุญแจ
"ขอเก็บกุญแจไว้ที่ผมนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้น หรือจะออกไปไหนค่อยมาขอจากผมได้ตลอดเวลา"
ผมงงเล็กน้อยกับนโยบายดี แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เขาคงห่วงความปลอดภัยมั้ง เผื่อเป็นอะไรจะได้ไขกุญแจห้องได้
"หลับฝันดีนะครับ เกิดอะไรขึ้นเรียกผมได้ตลอดเวลา" พี่แกกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ
ผมไม่รีรอที่จะถ่ายรูปห้องพักตามมุมต่างๆ เพราะเป็นโรงแรมแบบโอลด์สคูล ห้องพักขนาด 5x5 เมตร ติดถนน มีแสงสว่างลอดเขามาตามหน้าต่างและกระจกสี ประตูล็อกลูกบิดได้ แต่ใส่กลอนไม่ได้ บนช่องเหนือประตูมีกระดาษกาวแปะไว้กันคนแอบดู พื้นไม้ไม่ได้ขัดแบบในหนังคาวบอยไหวพะเยิบพะยาบส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ฝาไม้อัดที่มีรอยเจาะเป็นรูพรุนแต่ได้รับการอุดแล้ว ฝ้าเพดานไม้เก่าๆมีหญ้าแห้งๆด้านบนกับใยแมงมุม พัดลมแบบสมัยเรียนโรงเรียนประถม ปลั๊กไฟแบบแป้นไม้ ห้องน้ำที่วางท่อแบบแปลกๆ มีชักโครกกับอ่างล้างหน้าจากยุค 60's โต๊ะเครื่องแป้งแบบเก่าๆมีร่องรอยการใช้งานผ่านมาหลายสมัย ผมชอบมากๆ บรรยากาศราวกับผมได้แสดงเป็นนายอำเภอคนใหม่ในหนังของคุณฉลอง ภักดีวิจิตร
ผมล้มตัวลงนอนในราวตีสี่กว่าๆ เสื้อผ้าไม่ได้ใส่ เหลือกางเกงในตัวเดียว เอาพัดลมจ่อ... ผ่านไปไม่น่าจะนานนักมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมสะดุ้งตื่นทันที เข้าใจว่าพี่พนักงานจะบริการอะไรรึเปล่า แต่ไม่ใช่ ...ชายคนนึงเห็นหน้าไม่ถนัดยืนอยู่ปลายเตียงข้างพัดลม ในความมืดนั้นผมเห็นว่าเป็นคนรูปร่างสันทัดพอสมควร เขาเดินเข้ามาใกล้
"ออกไป ออกไป ออกไป!!!" เสียงค่อนข้างแข็งกร้าวและดัง ผมตกใจมาก แต่ด้วยความง่วง ผมจึงตะโกนสวนไปว่า
“I-Sudd Ku จะนอนเดี๋ยว Ku ออกไปก่อนเที่ยง”
ชายคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร แต่เหมือนจะงอนผม แกหันหลังช้าๆแล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่เปิดประตู ... ใช่!! เดินทะลุประตูออกไปเลย !!!
ผมไม่สนใจ หยิบมือถือมาส่องไฟดู ประตูก็ล็อคนี่หว่า แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนต่อในราวตีห้าเศษๆ
.......................................
ตื่นมาตอน 9 โมงกว่าๆ ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดแล้วก็ขำ อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยจะไปที่สำนักโบราณคดีขอนแก่น เดินลงไปจากห้องเจอเจ้าของโรงแรมเป็นหญิงวัยกลางคนสวยพริ้งทีเดียว ผมเลยถามเธอ
"ขอโทษนะครับ เมื่อคืนมีพี่พนักงานขึ้นไปบนห้องรึเปล่าครับ ผมหลับอยู่อาจจะพูดไม่ดีกับเขา"
เธองงเล็กน้อยก่อนจะโทรไปถามคนที่ผมพูดถึง คำตอบคือเปล่า
"เขามาทำอะไรหรือ" เธอถาม
"เขามายืนปลายเตียง มาไล่ผม บอกให้ออกไปๆๆ น่ะครับ แต่ผมง่วงเลยด่าไปนิดนึง เขาก็เดินทะลุประตูออกไปเลย"
เจ้าของโรงแรมสะดุ้งเฮือก แล้วก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะฉับพลัน
"อ๋อออ คนห้องข้างๆล่ะมั้ง เขาเมาน่ะ คงเข้าผิดห้อง"
ผมเองก็หัวเราะ ขอบคุณเธอก่อนจะร่ำลากัน เธอบอกว่าถ้ามีโอกาสมาพักที่นี่อีก ยินดีที่ได้บริการลูกค้า ... ผมชื่นใจ สัญญากับเธอว่าถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาพักที่นี่อีกแน่นอน