“ความเหงา” อันตรายกว่าที่คิด...เมื่อ “วันวาเลนไทน์” ใกล้เข้ามาทีไร เปลี่ยวใจมากกว่าเดิม! หลายคนอาจต้องเผชิญกับความเหงาเพียงลำพัง ยิ่งคนวัยทำงานโอกาสพบปะเพื่อนฝูงยิ่งน้อยลงด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน ทำให้เจ้าตัวร้ายที่เรียกว่า “ความเหงา” เข้ามารุมทำร้ายกัน ทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจ “คนมีคู่…ไม่รู้หรอก”
คนที่เผชิญกับความเหงาบ่อยๆ นาน ๆ หากบางคนมีภูมิคุ้มกันที่ดี ก็อาจจะรับมือและหาวิธีใช้ชีวิตเพื่อให้ไม่เดือดร้อนตัวเองหรือคนรอบข้าง แต่ถ้าคนไหนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเนี่ยสิอันตรายมาก "ความเหงา" งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริคแฮม พบว่าความเหงาอันตรายมากพอกับการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน!! ดร.จูเลียน โฮลท์ ลุนสตัด จากมหาวิทยาลัยบริกแฮม รัฐยูทาห์ ผู้ทำการวิจัยกล่าวว่า การมีเพื่อนหรือครอบครัวอยู่รอบข้างช่วยให้คนค้นพบความหมายของชีวิตและมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีสังคม
"เมื่อคนๆ หนึ่งรู้สึกว่าการมีเพื่อนฝูง มีสังคม หรือต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นจะทำให้เขาดูแลตัวเองดีขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในชีวิตน้อยลง สวนทางกับคนที่แยกตัวโดดเดี่ยวความเสี่ยงที่จะมีผลกับร่างกายและจิตใจกลับเพิ่มมากขึ้น"
กล่าวคือปัจจัยทางสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์มีอายุยืนหรือสั้นลงได้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าถ้าไม่มีสังคมบวกกับอาการเหงาที่มีอยู่มากเกินไป เข้าข่ายการเป็น “โรคขาดความรัก”
ช้าก่อน! อย่างเพิ่งตกใจไป
“โรคขาดความรัก” หรือ โรคฮิสทีเรีย (Histeria) ไม่ใช่โรคขาดผู้ชายไม่ได้หรือมีความต้องการทางเพศสูงอย่างที่หลายๆคนเข้าใจกัน นั่นเป็นความเข้าใจผิดๆ โปรดทำความเข้าใจใหม่ “โรคขาดความรัก” แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ โรคประสาทฮิสทีเรีย และ บุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย ซึ่งอาจพบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง คนกลุ่มโรคบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรียนี้จะมีการแสดงออกมากจนเหมือนเล่นละคร แสดงออกเพื่อดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง ขณะที่คนกลุ่มโรคประสาทฮิสทีเรีย เวลาที่มีความเครียดหรือกังวลใจมากๆ จะเกิดอาการผิดปกติที่ระบบการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้ เช่น เป็นอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ชาที่แขนและขา พูดไม่มีเสียง พูดไม่ได้ ตามองไม่เห็น กล้ามเนื้อกระตุก หรือสูญเสียความจำในบางเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจจนไม่ต้องการรับรู้ จำชื่อตัวเองไม่ได้ จำเวลา สถานที่ บุคคลไม่ได้ เป็นต้น โรคขาดความรัก ส่วนหนึ่งเกิดจากความเหงา เมื่อสะสมมาเป็นเวลานานอาการของโรคจะแสดงออกมา…
นักวิชาการนิยาม “ความเหงา” ว่า “เป็นความรู้สึกโศกเศร้าที่มาพร้อมกับการรับรู้ความโดดเดี่ยว ซึ่งการที่บุคคลจะมีความเหงาในระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีเหตุปัจจัยใดที่ผลักดันให้ตนเองนั้นคิดปรุงแต่งไปมากน้อยเพียงใด ความจริงของทฤษฎีอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่ตา” อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีจัดการกับความเหงานะ...อย่างล่าสุดมีผลวิจัยของ Dr. John Cacioppo ที่พบว่า ในสมองของคนเหงาจะมีปฏิกิริยาบางอย่างแตกต่างจากสมองของคนปกติ การตอบรับจากเรื่องด้านลบรุนแรงกว่าคนทั่วไป จนนำมาสู่การรักษาอาการเหงาแบบรุนแรงหรือโรคซึมเศร้า ด้วยวิธีการรักษาที่เรียกว่า EASE (E-A-S-E)……..
1.Extend Yourself คือ การค่อย ๆ เข้าหาสังคม ค่อย ๆ สร้างความสัมพันธ์ไปอย่างช้า ๆ ทีละนิด บนโลกแห่งความจริงไม่ใช่โลกเสมือนจริง
2.Have an action plan คือ วางแผนเพื่อเข้าสังคม พูดคุยในสิ่งที่ตัวเองสนใจ
3.Seek collectives “ แสวงหากลุ่ม” คนที่มีความชอบเหมือน ๆ กันคนที่มีความสนใจกิจกรรมและค่านิยมที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ง่ายต่อร่วมกลุ่มกับคนเหล่านั้น
4.Expect คือ การมองโลกในแง่ดี
อย่างไรก็ตามความเหงาสอนให้คนเราเข้มแข็งขึ้น หากเรารู้จักมองในมุมที่แตกต่างและก้าวผ่านความเหงานี้ไปได้ ขอเพียงให้เชื่อมั่นว่า “ความเหงา” จะแวะมาทักทายกันเพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากเรารู้จักที่จะ “เหงาอย่างเข้าใจ”
อัพเดทข่าวสารและอ่านบทความน่าสนใจต่อได้ที่ :
https://www.facebook.com/kinyupen.co/
“ความเหงา” ภัยเงียบที่…คนขี้เหงาต้องเข้าใจ!
“ความเหงา” อันตรายกว่าที่คิด...เมื่อ “วันวาเลนไทน์” ใกล้เข้ามาทีไร เปลี่ยวใจมากกว่าเดิม! หลายคนอาจต้องเผชิญกับความเหงาเพียงลำพัง ยิ่งคนวัยทำงานโอกาสพบปะเพื่อนฝูงยิ่งน้อยลงด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน ทำให้เจ้าตัวร้ายที่เรียกว่า “ความเหงา” เข้ามารุมทำร้ายกัน ทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจ “คนมีคู่…ไม่รู้หรอก”
คนที่เผชิญกับความเหงาบ่อยๆ นาน ๆ หากบางคนมีภูมิคุ้มกันที่ดี ก็อาจจะรับมือและหาวิธีใช้ชีวิตเพื่อให้ไม่เดือดร้อนตัวเองหรือคนรอบข้าง แต่ถ้าคนไหนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเนี่ยสิอันตรายมาก "ความเหงา" งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริคแฮม พบว่าความเหงาอันตรายมากพอกับการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน!! ดร.จูเลียน โฮลท์ ลุนสตัด จากมหาวิทยาลัยบริกแฮม รัฐยูทาห์ ผู้ทำการวิจัยกล่าวว่า การมีเพื่อนหรือครอบครัวอยู่รอบข้างช่วยให้คนค้นพบความหมายของชีวิตและมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีสังคม
"เมื่อคนๆ หนึ่งรู้สึกว่าการมีเพื่อนฝูง มีสังคม หรือต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นจะทำให้เขาดูแลตัวเองดีขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในชีวิตน้อยลง สวนทางกับคนที่แยกตัวโดดเดี่ยวความเสี่ยงที่จะมีผลกับร่างกายและจิตใจกลับเพิ่มมากขึ้น"
กล่าวคือปัจจัยทางสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์มีอายุยืนหรือสั้นลงได้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าถ้าไม่มีสังคมบวกกับอาการเหงาที่มีอยู่มากเกินไป เข้าข่ายการเป็น “โรคขาดความรัก”
ช้าก่อน! อย่างเพิ่งตกใจไป “โรคขาดความรัก” หรือ โรคฮิสทีเรีย (Histeria) ไม่ใช่โรคขาดผู้ชายไม่ได้หรือมีความต้องการทางเพศสูงอย่างที่หลายๆคนเข้าใจกัน นั่นเป็นความเข้าใจผิดๆ โปรดทำความเข้าใจใหม่ “โรคขาดความรัก” แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ โรคประสาทฮิสทีเรีย และ บุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย ซึ่งอาจพบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง คนกลุ่มโรคบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรียนี้จะมีการแสดงออกมากจนเหมือนเล่นละคร แสดงออกเพื่อดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง ขณะที่คนกลุ่มโรคประสาทฮิสทีเรีย เวลาที่มีความเครียดหรือกังวลใจมากๆ จะเกิดอาการผิดปกติที่ระบบการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้ เช่น เป็นอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ชาที่แขนและขา พูดไม่มีเสียง พูดไม่ได้ ตามองไม่เห็น กล้ามเนื้อกระตุก หรือสูญเสียความจำในบางเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจจนไม่ต้องการรับรู้ จำชื่อตัวเองไม่ได้ จำเวลา สถานที่ บุคคลไม่ได้ เป็นต้น โรคขาดความรัก ส่วนหนึ่งเกิดจากความเหงา เมื่อสะสมมาเป็นเวลานานอาการของโรคจะแสดงออกมา…
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีจัดการกับความเหงานะ...อย่างล่าสุดมีผลวิจัยของ Dr. John Cacioppo ที่พบว่า ในสมองของคนเหงาจะมีปฏิกิริยาบางอย่างแตกต่างจากสมองของคนปกติ การตอบรับจากเรื่องด้านลบรุนแรงกว่าคนทั่วไป จนนำมาสู่การรักษาอาการเหงาแบบรุนแรงหรือโรคซึมเศร้า ด้วยวิธีการรักษาที่เรียกว่า EASE (E-A-S-E)……..
1.Extend Yourself คือ การค่อย ๆ เข้าหาสังคม ค่อย ๆ สร้างความสัมพันธ์ไปอย่างช้า ๆ ทีละนิด บนโลกแห่งความจริงไม่ใช่โลกเสมือนจริง
2.Have an action plan คือ วางแผนเพื่อเข้าสังคม พูดคุยในสิ่งที่ตัวเองสนใจ
3.Seek collectives “ แสวงหากลุ่ม” คนที่มีความชอบเหมือน ๆ กันคนที่มีความสนใจกิจกรรมและค่านิยมที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ง่ายต่อร่วมกลุ่มกับคนเหล่านั้น
4.Expect คือ การมองโลกในแง่ดี
อย่างไรก็ตามความเหงาสอนให้คนเราเข้มแข็งขึ้น หากเรารู้จักมองในมุมที่แตกต่างและก้าวผ่านความเหงานี้ไปได้ ขอเพียงให้เชื่อมั่นว่า “ความเหงา” จะแวะมาทักทายกันเพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากเรารู้จักที่จะ “เหงาอย่างเข้าใจ”
อัพเดทข่าวสารและอ่านบทความน่าสนใจต่อได้ที่ : https://www.facebook.com/kinyupen.co/