'หนังแอนตี้วอร์' หรือแปรตรงตัวอย่างที่หลายคนเรียกว่า 'หนังต่อต้านสงคราม' ที่อาจเป็นการจำกัดความที่ดูแคบลงไป เพราะหนังลักษณะนี้ใช้การบอกเล่าด้วยความรุนแรง ความหดหู่ และมุ่งไปยังการวิพากษ์ปมความขัดแย้ง ต้องการให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงผลกระทบของสงครามที่นำซึ่งการสูญเสียในหลายๆด้าน จนเกิดความตระหนักถึงผลลัพธ์และมุ่งยุติความขัดแย้งด้วยการสมานฉันท์ เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. Welcome to Dongmakgol (2005)
บ่อยครั้งที่ฝั่งเกาหลีจะหยิบปมขัดแย้งระหว่างเขตแดนเพื่อสร้างเป็นหนังสงครามที่ซ่อนหัวใจของการหลอมชาติ อาทิเช่น The Front Line, Tae Guk Gi และ 71-Into The Fire โดยทั้งสามเรื่องจะเลือกบอกเล่าผ่านมุมมองฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ซึ่งต่างไปจากเรื่องนี้ที่สร้างสถานการณ์จับพลัดจับผลูเชื่อมโยงตัวละครให้มาพบเจอกันที่หมู่บ้านกลางป่า โดยจะมีชาวต่างชาติ 'สมิธ' นักบินรบของกองทัพสหรัฐ เป็นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์และเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงสองฝั่ง 'ลีซูฮวา' ทหารเกาหลีใต้ และ 'เพียวฮยอนซูล' ทหารฝั่งเหนือ ให้ได้เรียนรู้และเปิดใจยอมรับอีกฝ่าย อีกทั้งตัวหนังยังใช้โทนคอมเมดี้ในการขับเคลื่อนเพื่อลดทอนความรุนแรงและตึงเครียดของสงคราม
9. Hotel Rwanda (2004)
ปมทางการเมืองที่ก่อเกิดความขัดแย้ง กระทั่งนำไปสู่การปฏิวัติของสองเชื้อพันธุ์ระหว่างเผ่าฮูตูเเละทุตซีที่เกิดในประเทศรวันดา ถิ่นแดนแห่งความแห้งแล้ง อดอยาก และปัญหาอาชญากรรมที่เกิดในทุกหนแห่ง ซึ่งหนังก็หยิบความจริงของเรื่องนี้มาเล่าผ่านมุมมองของตัวเอก 'พอล รูสเสซาบาจินา' ชาวฮูตูที่เป็นฮีโร่ช่วยให้เหล่าผู้ลี้ภัยรอดพ้นจากการสังหารหมู่ โดยตลอดทั้งเรื่องจะเต็มไปด้วยภาพแห่งความรุนแรงและผลกระทบของสงคราม ที่สร้างความรู้สึกหดหู่ สะเทือนใจแก่คนดู ขณะเดียวกันก็ซ่อนไว้ด้วยพลังแห่งแรงบันดาลใจของคนๆหนึ่งที่ลุกขึ้นมาช่วยเพื่อนมนุษย์ในยามตกยาก พร้อมกับโมเมนต์และคำพูดต่างๆที่ดูลึกซึ้งกินใจในการสร้างสมานฉันท์ของสองเชื้อพันธุ์
8. In the Valley of Elah (2007)
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะคุ้นชิน Paul Haggis ในฐานะของผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก Crash โดยการกลับมาในครั้งนี้จะเป็นรูปโฉมของหนังสงครามที่ใช้การเดินเรื่องแบบหนังสืบสวนเพื่อขุดคุ้ยผลกระทบจากความสูญเสีย ความรุนแรง ที่ถูกเก็บงำภายใต้คำพูดสวยหรูของรัฐบาลเกี่ยวกับอุดมการณ์ความรักชาติ โดยเซ็ทปมที่ผู้เป็นพ่ออย่าง 'เเฮงส์' ได้รับแจ้งข่าวการหายไปของลูกชายที่เพิ่งผ่านสงครามอิรักได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่าในฐานะของผู้เป็นพ่อก็ไม่รีรอที่จะออกสืบหาลูกชายด้วยตนเอง โดยอาศัยประสบการณ์และความช่างสังเกตในการประติดประต่อเรื่องราว เพื่อนำไปสู่ความจริงที่เป็นผลกระทบจากสงครามได้อย่างน่าเชื่อถือ
7. Hacksaw Ridge (2016)
การกลับมาที่ทรงสง่าของ Mel Gibson กับหนังสงครามที่เน้นประเด็นทางศาสนาและแฝงด้วยแนวคิดชาตินิยมที่บอกเล่าผ่านเรื่องจริงของ 'เดสมอนด์ ดอสส์' หนุ่มผู้อาสาเป็นแพทย์ประจำสนามของกองทัพสหรัฐโดยปฏิเสธการสังหารทหารฝั่งตรงข้ามและมุ่งเน้นเฉพาะการรักษาคนเจ็บ จนได้รับเหรียญกล้าหาญจากประธานาธิบดี ซึ่งหนังจะค่อยๆเล่าตามรูปแบบหนังชีวประวัติฮีโร่สงครามที่เริ่มจากพาคนดูไปสำรวจตัวละคร ก่อนลงสู่สนามรบที่นำไปสู่วีรกรรมอันกล่าวขวัญ แม้ภาพรวมอาจจะดูจำเจ แต่สร้างความต่างด้วยการเล่นประเด็นทางศาสนาในสไตล์ที่ผู้กำกับช่ำชอง กับการสำรวจความเชื่อ ความศรัทธา ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการมีอุดมการณ์อันมั่นคงที่จะเป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อไปยังผู้อื่น
6. Waltz with Bashir (2008)
งานแอนิเมชันของทีมผู้สร้างอิสราเอลที่ออกแบบงานภาพได้อย่างวิจิตรตระการตาและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ทั้งโทนสีและลายเส้น เพื่อบอกเล่าเบื้องหลังของเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามกลางเมืองในเลบานอนต้นยุค 80 โดยขับเคลื่อนผ่านตัวเอกที่เป็นทหารผ่านศึกและถูกผลกระทบจากสงครามทำให้ความทรงจำบางส่วนได้ถูกลบเลือน หรืออีกแง่หนึ่งความโหดร้ายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นมันเกินกว่าที่เขาจะรับมันได้จึงเลือกที่จะผลักไสสู่ห้วงของจิตใต้สำนึก ทำให้เส้นเรื่องหลักจะเป็นการสืบสาวเรื่องราวและประติดประต่อความทรงจำโดยผ่านกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เพื่อนำไปสู่ความจริงที่สร้างความตระหนักและสะท้อนบาดแผลจากสงครามต่อสภาพจิตใจ
5. American Sniper (2014)
การเปิดฉากด้วยสงครามกลางเมืองในอิรัก และโฟกัสไปยังมือสไนเปอร์ที่กำลังง้างไกเพื่อปลิดชีพเด็กคนหนึ่งที่ซุกระเบิดไว้ในเสื้อและกำลังมุ่งหน้าไปยังกลุ่มพวกพ้องของเขา ก่อนหนังจะตัดย้อนไปเล่าอดีตของทหารรายนี้ 'คริส ไคล์' ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสไนเปอร์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐ ด้วยสถิติการปลิดชีพศัตรูมากกว่า 150 คนตลอดการรับใช้ชาติ โดย Clint Eastwood ถ่ายทอดมุมมองของสไนเปอร์ผู้นี้ในฐานะของวีรบุรุษสงครามที่ต้องการทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อรักษาพวกพ้อง และก็ยังสะท้อนภาพความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนภายในครอบครัว ตลอดจนบทสรุปแห่งการสูญเสียฮีโร่ผู้นี้ที่เกิดผลพวงจากสงครามที่ได้ส่งผลต่อสภาพจิตใจ
4. The Boy in the Striped Pajamas (2008)
ไม่บ่อยนักที่จะมีหนังสงครามที่สะท้อนหัวใจแห่งการปรองดองและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยนำเสนอผ่านสายตาของเด็ก สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เฉกเช่นหนังเรื่องนี้ที่ได้ดัดแปลงจากนิยายชั้นเยี่ยมของ John Boyne บอกเล่ามิตรของคนสองคนที่ฝั่งเป็นเด็กชาวยิวที่ถูกจับมาใช้แรงงาน และอีกฝั่งที่เป็นลูกชายของทหารนาซีชั้นสูงผู้ควบคุมค่ายกักกัน ซึ่งตัวหนังได้สะท้อนทัศนคติที่ขัดแย้งอย่างสุดขั้วของกลุ่มคนสองช่วงวัย อย่างฝั่งผู้ใหญ่ที่ต้องการจะใช้ความรุนแรงเพื่อเป็นบทสรุปของความขัดแย้ง ส่วนฝั่งเด็กที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มองเห็นแค่เพียงความเป็นเพื่อนและพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในฐานะมนุษย์ร่วมโลก
3. The Pianist (2002)
หนังแนวชีวประวัติเป็นรูปแบบที่คนส่วนมากไม่คุ้นชินในสถานะผู้กำกับของ Roman Polanski ทว่ามันกลับกลายเป็นงานที่ดีที่สุดของตัวเขาในศตวรรษที่ 21 โดยหนังสร้างจากเรื่องจริงของ 'วลาดิสลอว์ สปิลมันน์' นักเปียโนที่ต้องผจญกับสถานการณ์อันโหดร้ายที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เหล่านาซีได้ทำการยึดโปแลนด์และจับผู้คนไปรวมอยู่ที่ค่ายกักกัน ซึ่งหนังจะโฟกัสไปยังตัวเอกและถ่ายทอดอารมณ์ของมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความกลัว ความเศร้า ความหดหู่ที่ต้องคอยหลบหลีก หลบซ่อนจากกระสุนปืน ระเบิด และทหารนาซีที่ต้องการจับศัตรูเพื่อไปเป็นทาส เรียกได้ว่าเป็นหนังดราม่าที่บอกเล่าผลกระทบและสำรวจเนื้อแท้ความเป็นมนุษย์ในสภาวะสงครามได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่ง
2. City of Life and Death (2009)
เปิดหนังด้วยฉากสงครามสุดระทึกที่เขตประตูเมืองนานกิง ก่อนตัดไปเล่าโศกนาฏกรรมสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นกับชาวจีนกว่า 300,000 ชีวิต โดยผู้กำกับเลือกที่จะเล่าด้วยกลวิธีเดียวกับ Schindler's List ในการใช้ภาพขาวดำเพื่อลดทอนความรุนแรงของสงครามทั้งฉากระเบิด การสาดกระสุน ฉากของสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยทหารที่นอนล้มตาย ตลอดจนอารมณ์ด้านลบที่เกิดจากการกระทำอันโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นต่อหญิงชาวจีน ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่ชวนหดหู่และเศร้าโศกก็ยังส่งผ่านมาถึงคนดูที่รับรู้ได้อย่างเต็มหัวอก เรียกว่าเป็นอาชญากรรมสงครามที่โหดร้ายที่สุดไม่ต่างไปจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เหล่านาซีได้กระทำกับชาวยิว
1. Letters from Iwo Jima (2006)
ปกติหนังสงครามจะบอกเล่าเรื่องราวผ่านฝั่งผู้ชนะเพื่อให้ผลลัพธ์ได้สร้างพลังเสริมในการโน้มน้าวต่อแนวคิดชาตินิยม ทว่าผลงานของ Clint Eastwood กลับเลือกที่จะมองผ่านฝั่งผู้แพ้ที่แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงลบทั้งการสูญเสีย การพลัดพราก และความเศร้าโศก แต่คนดูจะรับรู้ได้อย่างเต็มอกถึงความกล้า ความภาคภูมิที่ของกลุ่มคนพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อชาติและคนที่ตัวเองรักจวบจนวินาทีสุดท้าย โดยหนังอิงสถานการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เหล่าทหารญี่ปุ่นบนเกาะอิโวจิม่าต้องเตรียมรับมือกับทหารอเมริกันที่หมายมั่นจะบุกมายึดจุดยุทธศาสตร์แห่งนี้ ซึ่งหนังก็เลือกที่จะเล่าผ่านมุมมองฝั่งญี่ปุ่นที่นำทัพโดยนายพล 'คูริบายาชิ' ที่ต้องจัดหายุทธวิธีที่เหมาะที่สุด เมื่อฝั่งตนเองมีกำลังพลน้อยกว่าฝั่งอเมริกันอยู่หลายเท่าตัว
.
.
.
.
.
.

ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังทั่วไปเเละซีรีส์(โดยเฉพาะฝั่งเกาหลี)
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @review_me__
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน
10 หนังแอนตี้วอร์ชั้นเยี่ยม (Anti-War) แห่งศตวรรษที่ 21
'หนังแอนตี้วอร์' หรือแปรตรงตัวอย่างที่หลายคนเรียกว่า 'หนังต่อต้านสงคราม' ที่อาจเป็นการจำกัดความที่ดูแคบลงไป เพราะหนังลักษณะนี้ใช้การบอกเล่าด้วยความรุนแรง ความหดหู่ และมุ่งไปยังการวิพากษ์ปมความขัดแย้ง ต้องการให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงผลกระทบของสงครามที่นำซึ่งการสูญเสียในหลายๆด้าน จนเกิดความตระหนักถึงผลลัพธ์และมุ่งยุติความขัดแย้งด้วยการสมานฉันท์ เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. Welcome to Dongmakgol (2005)
บ่อยครั้งที่ฝั่งเกาหลีจะหยิบปมขัดแย้งระหว่างเขตแดนเพื่อสร้างเป็นหนังสงครามที่ซ่อนหัวใจของการหลอมชาติ อาทิเช่น The Front Line, Tae Guk Gi และ 71-Into The Fire โดยทั้งสามเรื่องจะเลือกบอกเล่าผ่านมุมมองฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ซึ่งต่างไปจากเรื่องนี้ที่สร้างสถานการณ์จับพลัดจับผลูเชื่อมโยงตัวละครให้มาพบเจอกันที่หมู่บ้านกลางป่า โดยจะมีชาวต่างชาติ 'สมิธ' นักบินรบของกองทัพสหรัฐ เป็นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์และเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงสองฝั่ง 'ลีซูฮวา' ทหารเกาหลีใต้ และ 'เพียวฮยอนซูล' ทหารฝั่งเหนือ ให้ได้เรียนรู้และเปิดใจยอมรับอีกฝ่าย อีกทั้งตัวหนังยังใช้โทนคอมเมดี้ในการขับเคลื่อนเพื่อลดทอนความรุนแรงและตึงเครียดของสงคราม
9. Hotel Rwanda (2004)
ปมทางการเมืองที่ก่อเกิดความขัดแย้ง กระทั่งนำไปสู่การปฏิวัติของสองเชื้อพันธุ์ระหว่างเผ่าฮูตูเเละทุตซีที่เกิดในประเทศรวันดา ถิ่นแดนแห่งความแห้งแล้ง อดอยาก และปัญหาอาชญากรรมที่เกิดในทุกหนแห่ง ซึ่งหนังก็หยิบความจริงของเรื่องนี้มาเล่าผ่านมุมมองของตัวเอก 'พอล รูสเสซาบาจินา' ชาวฮูตูที่เป็นฮีโร่ช่วยให้เหล่าผู้ลี้ภัยรอดพ้นจากการสังหารหมู่ โดยตลอดทั้งเรื่องจะเต็มไปด้วยภาพแห่งความรุนแรงและผลกระทบของสงคราม ที่สร้างความรู้สึกหดหู่ สะเทือนใจแก่คนดู ขณะเดียวกันก็ซ่อนไว้ด้วยพลังแห่งแรงบันดาลใจของคนๆหนึ่งที่ลุกขึ้นมาช่วยเพื่อนมนุษย์ในยามตกยาก พร้อมกับโมเมนต์และคำพูดต่างๆที่ดูลึกซึ้งกินใจในการสร้างสมานฉันท์ของสองเชื้อพันธุ์
8. In the Valley of Elah (2007)
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะคุ้นชิน Paul Haggis ในฐานะของผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก Crash โดยการกลับมาในครั้งนี้จะเป็นรูปโฉมของหนังสงครามที่ใช้การเดินเรื่องแบบหนังสืบสวนเพื่อขุดคุ้ยผลกระทบจากความสูญเสีย ความรุนแรง ที่ถูกเก็บงำภายใต้คำพูดสวยหรูของรัฐบาลเกี่ยวกับอุดมการณ์ความรักชาติ โดยเซ็ทปมที่ผู้เป็นพ่ออย่าง 'เเฮงส์' ได้รับแจ้งข่าวการหายไปของลูกชายที่เพิ่งผ่านสงครามอิรักได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่าในฐานะของผู้เป็นพ่อก็ไม่รีรอที่จะออกสืบหาลูกชายด้วยตนเอง โดยอาศัยประสบการณ์และความช่างสังเกตในการประติดประต่อเรื่องราว เพื่อนำไปสู่ความจริงที่เป็นผลกระทบจากสงครามได้อย่างน่าเชื่อถือ
7. Hacksaw Ridge (2016)
การกลับมาที่ทรงสง่าของ Mel Gibson กับหนังสงครามที่เน้นประเด็นทางศาสนาและแฝงด้วยแนวคิดชาตินิยมที่บอกเล่าผ่านเรื่องจริงของ 'เดสมอนด์ ดอสส์' หนุ่มผู้อาสาเป็นแพทย์ประจำสนามของกองทัพสหรัฐโดยปฏิเสธการสังหารทหารฝั่งตรงข้ามและมุ่งเน้นเฉพาะการรักษาคนเจ็บ จนได้รับเหรียญกล้าหาญจากประธานาธิบดี ซึ่งหนังจะค่อยๆเล่าตามรูปแบบหนังชีวประวัติฮีโร่สงครามที่เริ่มจากพาคนดูไปสำรวจตัวละคร ก่อนลงสู่สนามรบที่นำไปสู่วีรกรรมอันกล่าวขวัญ แม้ภาพรวมอาจจะดูจำเจ แต่สร้างความต่างด้วยการเล่นประเด็นทางศาสนาในสไตล์ที่ผู้กำกับช่ำชอง กับการสำรวจความเชื่อ ความศรัทธา ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการมีอุดมการณ์อันมั่นคงที่จะเป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อไปยังผู้อื่น
6. Waltz with Bashir (2008)
งานแอนิเมชันของทีมผู้สร้างอิสราเอลที่ออกแบบงานภาพได้อย่างวิจิตรตระการตาและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ทั้งโทนสีและลายเส้น เพื่อบอกเล่าเบื้องหลังของเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามกลางเมืองในเลบานอนต้นยุค 80 โดยขับเคลื่อนผ่านตัวเอกที่เป็นทหารผ่านศึกและถูกผลกระทบจากสงครามทำให้ความทรงจำบางส่วนได้ถูกลบเลือน หรืออีกแง่หนึ่งความโหดร้ายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นมันเกินกว่าที่เขาจะรับมันได้จึงเลือกที่จะผลักไสสู่ห้วงของจิตใต้สำนึก ทำให้เส้นเรื่องหลักจะเป็นการสืบสาวเรื่องราวและประติดประต่อความทรงจำโดยผ่านกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เพื่อนำไปสู่ความจริงที่สร้างความตระหนักและสะท้อนบาดแผลจากสงครามต่อสภาพจิตใจ
5. American Sniper (2014)
การเปิดฉากด้วยสงครามกลางเมืองในอิรัก และโฟกัสไปยังมือสไนเปอร์ที่กำลังง้างไกเพื่อปลิดชีพเด็กคนหนึ่งที่ซุกระเบิดไว้ในเสื้อและกำลังมุ่งหน้าไปยังกลุ่มพวกพ้องของเขา ก่อนหนังจะตัดย้อนไปเล่าอดีตของทหารรายนี้ 'คริส ไคล์' ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสไนเปอร์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐ ด้วยสถิติการปลิดชีพศัตรูมากกว่า 150 คนตลอดการรับใช้ชาติ โดย Clint Eastwood ถ่ายทอดมุมมองของสไนเปอร์ผู้นี้ในฐานะของวีรบุรุษสงครามที่ต้องการทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อรักษาพวกพ้อง และก็ยังสะท้อนภาพความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนภายในครอบครัว ตลอดจนบทสรุปแห่งการสูญเสียฮีโร่ผู้นี้ที่เกิดผลพวงจากสงครามที่ได้ส่งผลต่อสภาพจิตใจ
4. The Boy in the Striped Pajamas (2008)
ไม่บ่อยนักที่จะมีหนังสงครามที่สะท้อนหัวใจแห่งการปรองดองและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยนำเสนอผ่านสายตาของเด็ก สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เฉกเช่นหนังเรื่องนี้ที่ได้ดัดแปลงจากนิยายชั้นเยี่ยมของ John Boyne บอกเล่ามิตรของคนสองคนที่ฝั่งเป็นเด็กชาวยิวที่ถูกจับมาใช้แรงงาน และอีกฝั่งที่เป็นลูกชายของทหารนาซีชั้นสูงผู้ควบคุมค่ายกักกัน ซึ่งตัวหนังได้สะท้อนทัศนคติที่ขัดแย้งอย่างสุดขั้วของกลุ่มคนสองช่วงวัย อย่างฝั่งผู้ใหญ่ที่ต้องการจะใช้ความรุนแรงเพื่อเป็นบทสรุปของความขัดแย้ง ส่วนฝั่งเด็กที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มองเห็นแค่เพียงความเป็นเพื่อนและพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในฐานะมนุษย์ร่วมโลก
3. The Pianist (2002)
หนังแนวชีวประวัติเป็นรูปแบบที่คนส่วนมากไม่คุ้นชินในสถานะผู้กำกับของ Roman Polanski ทว่ามันกลับกลายเป็นงานที่ดีที่สุดของตัวเขาในศตวรรษที่ 21 โดยหนังสร้างจากเรื่องจริงของ 'วลาดิสลอว์ สปิลมันน์' นักเปียโนที่ต้องผจญกับสถานการณ์อันโหดร้ายที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เหล่านาซีได้ทำการยึดโปแลนด์และจับผู้คนไปรวมอยู่ที่ค่ายกักกัน ซึ่งหนังจะโฟกัสไปยังตัวเอกและถ่ายทอดอารมณ์ของมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความกลัว ความเศร้า ความหดหู่ที่ต้องคอยหลบหลีก หลบซ่อนจากกระสุนปืน ระเบิด และทหารนาซีที่ต้องการจับศัตรูเพื่อไปเป็นทาส เรียกได้ว่าเป็นหนังดราม่าที่บอกเล่าผลกระทบและสำรวจเนื้อแท้ความเป็นมนุษย์ในสภาวะสงครามได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่ง
2. City of Life and Death (2009)
เปิดหนังด้วยฉากสงครามสุดระทึกที่เขตประตูเมืองนานกิง ก่อนตัดไปเล่าโศกนาฏกรรมสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นกับชาวจีนกว่า 300,000 ชีวิต โดยผู้กำกับเลือกที่จะเล่าด้วยกลวิธีเดียวกับ Schindler's List ในการใช้ภาพขาวดำเพื่อลดทอนความรุนแรงของสงครามทั้งฉากระเบิด การสาดกระสุน ฉากของสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยทหารที่นอนล้มตาย ตลอดจนอารมณ์ด้านลบที่เกิดจากการกระทำอันโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นต่อหญิงชาวจีน ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่ชวนหดหู่และเศร้าโศกก็ยังส่งผ่านมาถึงคนดูที่รับรู้ได้อย่างเต็มหัวอก เรียกว่าเป็นอาชญากรรมสงครามที่โหดร้ายที่สุดไม่ต่างไปจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เหล่านาซีได้กระทำกับชาวยิว
1. Letters from Iwo Jima (2006)
ปกติหนังสงครามจะบอกเล่าเรื่องราวผ่านฝั่งผู้ชนะเพื่อให้ผลลัพธ์ได้สร้างพลังเสริมในการโน้มน้าวต่อแนวคิดชาตินิยม ทว่าผลงานของ Clint Eastwood กลับเลือกที่จะมองผ่านฝั่งผู้แพ้ที่แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงลบทั้งการสูญเสีย การพลัดพราก และความเศร้าโศก แต่คนดูจะรับรู้ได้อย่างเต็มอกถึงความกล้า ความภาคภูมิที่ของกลุ่มคนพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อชาติและคนที่ตัวเองรักจวบจนวินาทีสุดท้าย โดยหนังอิงสถานการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เหล่าทหารญี่ปุ่นบนเกาะอิโวจิม่าต้องเตรียมรับมือกับทหารอเมริกันที่หมายมั่นจะบุกมายึดจุดยุทธศาสตร์แห่งนี้ ซึ่งหนังก็เลือกที่จะเล่าผ่านมุมมองฝั่งญี่ปุ่นที่นำทัพโดยนายพล 'คูริบายาชิ' ที่ต้องจัดหายุทธวิธีที่เหมาะที่สุด เมื่อฝั่งตนเองมีกำลังพลน้อยกว่าฝั่งอเมริกันอยู่หลายเท่าตัว
.
.
.
.
.
.
ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังทั่วไปเเละซีรีส์(โดยเฉพาะฝั่งเกาหลี)
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @review_me__
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน