ช่วงนี้มีน้องๆ มาปรึกษาเรื่องอนาคตทางการงานของตัวเองติดๆ กันหลายคน
ทั้งน้องที่เพิ่งจบใหม่ และคนที่ทำงานมาซักพัก และกำลังคิดเรื่องเปลี่ยนงาน
ก็เลยเกิดไอเดียว่า ข้อคิดของผมอาจจะมีประโยชน์กับท่านอื่นๆ ในนี้ด้วย
ตัวผมเองผ่านการทำงานมาตั้งแต่เป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นเจ้าของบริษัท
และประกอบอาชีพอิสระ ดังนั้น ก็หวังว่าประสบการณ์และมุมมองของผมเอง
ก็อาจจะเป็นประโยชน์กับน้องๆ และเพื่อนๆ บ้างนะครับ
ถ้าให้สรุปเส้นทางชีวิตของผมสั้นๆ ก็เริ่มจากเป็นมนุษย์เงินเดือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ตั้งแต่เงินเดือนหมื่นเดียว ย้ายงานสองสามครั้ง จนเงินเดือนสามหมื่น
แล้วก็ลาออกมาทำอาชีพอิสระ รายได้แกว่งๆ อยู่ตั้งแต่ ห้าหมื่นถึงแสนต้นๆ
จนมีพี่ที่รู้จักมาชวนกันเปิดบริษัท รายได้ก็พุ่งไปหลายแสน แต่เพราะเหตุผลส่วนตัว
ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องการให้เวลาครอบครัว ที่สำคัญคืออยากเลี้ยงลูกเอง
เลยตัดสินใจถอนตัวจากบริษัท กลับมาทำงานอิสระเหมือนเดิม และเริ่มศึกษาการลงทุน
มาถึงข้อคิดที่ผมอยากฝากถึงน้องๆ และเพื่อนๆ นะครับ
1. การเป็นมนุษย์เงินเดือน มีต้นทุนที่เราลืมนึกไปซ่อนอยู่ด้วย
ถ้ามองตามจริง เราทำงานสัปดาห์ละ 5-6 วัน วันละ 8-9 ชั่วโมงก็จริง
แต่ต้นทุนที่แฝงอยู่อีกอย่าง ซึ่งบริษัทไม่สนใจ และหลายๆ คนเอง
ก็ไม่สนใจ หรือลืมนึกถึงไป ก็คือ การเดินทางไปกลับจากที่พักและบริษัท
ในความเป็นจริง สิ่งที่เราทุกคนมีเท่าๆ กันก็คือ "เวลา" ครับ
ถ้าเราใช้เวลาไปกับการเดินทางมากกว่าคนอื่น ก็เท่ากับเราขาดทุนชีวิต
มากกว่าคนอื่นแล้วเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในการพิจารณาเลือกงาน
ก็คือ "เวลาที่แท้จริง" ที่เราเสียไปให้กับการทำงานนั้นๆ
2. มองตัวเองเป็นสินค้าหรือบริการ
เวลาเราทำงาน โดยเฉพาะเวลาทำงานกับบริษัท เราไม่ควรใช้ความรู้สึก
ไม่ควรกะเอาเองว่าเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะดี หรือคิดเอาเองว่าเราควรได้เงินเดือนเท่าไหร่
แต่เราจำเป็นต้องรู้ "มูลค่าที่แท้จริง" ของตัวเรา
เราต้องรู้ให้ได้ว่า งานที่เราทำ คุณภาพระดับนี้ ความเร็วระดับนี้
ถ้าบริษัทไปจ้างคนอื่น จะต้องเสียเงินเท่าไหร่ หรือถ้าเราไปทำให้บริษัทอื่น
เขาจะเต็มใจจ่ายที่เท่าไหร่
ข้อนี้น้องๆ จบใหม่จะมีโอกาสรู้ได้ยากมากๆ เพราะอาจจะตั้งเป้าไว้แค่
"งานอะไรก็ได้ ให้มันมีทำๆ ไปก่อน เก็บประสบการณ์"
แถมเอาเข้าจริง บางคนทำงานมาหลายปีก็ยังตอบไม่ได้
ส่วนนึงเพราะไม่ได้ใส่ใจจะคิด หรือหาคำตอบ ก็เลยไม่ก้าวหน้าหรือไปไม่ถึงไหน
วิธีง่ายๆ ที่จะรู้ได้ก็คือ "ถามจากคนในวงการเดียวกัน"
พยายามผูกมิตร เก็บเกี่ยว Connection ให้ได้มากที่สุด
3. ต้องเข้าใจภาพรวมของอุตสาหกรรม
ยุคปัจจุบัน มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นและตายไปอย่างรวดเร็ว
อย่าได้หลงผิดว่างานที่เราทำมั่นคง และจะฝากผีฝากไข้ได้จนเราแก่
หมั่นติดตามข่าวสารไว้บ้าง ยิ่งถ้าเราทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ หน่อย
เราจะสามารถอ่านงบของบริษัทที่เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ด้วย
อย่าซื่อสัตย์จนไม่ลืมหูลืมตา เพราะวันที่กิจการล้ม พนักงานภายใน
จะรู้เป็นคนสุดท้ายเสมอ รู้ตัวอีกทีคือประกาศปิดไปแล้ว
เราต้องเปิดหูเปิดตา ติดตามสถานการณ์ ว่าอุตสาหกรรมของเราโดยรวมๆ
ยังโอเคอยู่ไหม สินค้าและบริการของเรา ใช่สิ่งที่ยังมีการบริโภคอยู่ไหม
ผมทันเห็นการล่มสลายของกล้องฟิล์ม/ผู้ผลิตฟิล์มรายใหญ่
ค่ายโทรศัพท์ Nokia ที่ถูก Android ตีกระจุยเละ
หรือแม้กระทั่ง Gadget ที่มาไวไปไวอย่าง BlackBerry
แม้ในช่วงๆ นึงบริษัทเหล่านี้จะเคยยิ่งใหญ่
แต่มันก็มีวันที่จะล้มได้เช่นกัน ดังนั้นเราเองก็ควรจะเตรียม
ทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองด้วย คงไม่มีใครอยากตกงานตอนอายุ 40+ แน่ๆ
4. หมั่นแหงนหน้าไว้ อย่าก้มหน้าเด็ดขาด
ข้อนี้หมายถึง ทุกการทำงาน เราจะมีหัวหน้าเสมอ
ลองถามตัวเองดูเล่นๆ ถ้าพรุ่งนี้หัวหน้าลาออก เราสามารถทำงานแทนหัวหน้าได้ไหม
ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือยัง ถ้ายัง เราขาดทักษะอะไร เราต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีก
เคล็ดลับความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง คือเราต้องพัฒนาตัวเองเสมอ
บางคนคิดง่ายๆ แค่ "ต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จทัน งานไม่มีปัญหา"
การทำแบบนั้นเราจะย่ำอยู่กับที่และมีโอกาสเติบโตน้อยมาก เพราะการจะก้าวหน้าได้
ยังมีทักษะอื่นนอกจากความชำนาญเชิงลึกในงานที่ทำ ซึ่งจะพูดถึงในข้อต่อไป
5. ต้องเป็นได้ทุกแผนก ถ้าอยากเป็นผู้บริหาร/ทำงานอิสระ
ถ้าเราอยากเป็นผู้บริหารหรืออยากทำงานอิสระ เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ
อีกหลายอย่าง ที่นอกเหนือจากการเก่งในงานของเรา
อาทิ
- ต้องเป็น Sales ได้ กล่าวคือ ต้องคุยกับลูกค้ารู้เรื่อง ต้องเขียนเมลสื่อสารกับลูกค้าได้
ต้องนำเสนองานได้ ประชุมผ่านวิดีโอคอลได้ โดยเฉพาะยุคนี้ ภาษาอังกฤษไม่ใช่จุดเด่น
แต่เป็นทักษะพื้นฐานไปแล้ว ไหนจะต้องประสานงานกับแผนกอื่นๆ หรือเพื่อนร่วมทีม
เพื่อแก้ปัญหา และทำงานออกมาให้สำเร็จลุล่วงได้
- ต้องเป็นแผนกบัญชีได้ อย่างน้อยๆ ต้องรู้ว่า PO/Invoice คืออะไร ทำยังไง
จะเรียกเก็บเงินยังไง การโอนเงินระหว่างประเทศทำยังไง Swift Code คืออะไร ฯลฯ
คุณต้องอ่านงบเป็น ต้องเข้าใจว่าจะคำนวณค่าใช้จ่ายยังไง คิดมาร์จินยังไง
รวมถึงภาษีต่างๆ ที่ต้องเสียด้วย
- ต้องเป็น IT ได้ ยุคนี้งานแทบทุกอย่างทำกันบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เราจะมามัวล้าหลังเรื่องพวกนี้ กระทั่งโหลดแอพ หรือ Sign in ยังไม่เป็น ไม่ได้
อย่าให้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มาทำให้งานล่าช้า โดยเฉพาะถ้าคิดจะทำงานอิสระ
(กรณีเปิดบริษัท ถ้าตอนที่ยังเล็กๆ ก็คงไม่มีแผนก IT อยู่ดี ถ้าแก้ปัญหาพื้นฐานเองได้
ก็จะช่วยลดต้นทุนได้เยอะมาก)
ทั้งหมดนี้อาจจะฟังดูยากและไกลตัวสำหรับบางคน แต่เชื่อผมเถอะว่า
ถ้าคุณอยากก้าวหน้าทางอาชีพการงาน อยากลาออกมาทำอาชีพอิสระ
หรืออยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณจะขาดทักษะเหล่านี้ไม่ได้เลย
6. ศึกษาเรื่องการเงินและการลงทุน รวมถึงประกันชีวิต/ประกันสุขภาพไว้บ้าง
ของพวกนี้ บางคนอาจจะมองว่าไกลตัว ทุกวันนี้แค่ใช้ให้รอดเดือนชนเดือนยังยาก
แต่ผมจะบอกว่า ถ้ารอถึงตอนมีเงินเหลือ ค่อยเริ่มศึกษา มันจะไม่ทันแล้ว
เรื่องพวกนี้ยิ่งเข้าใจเร็วยิ่งดี คุณควรจะรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินออมล่าสุดเป็นยังไง
ฝากประจำล่าสุดเป็นยังไง ผลตอบแทนจากกองทุนเป็นยังไง
ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ให้ผลตอบแทนคุ้มหรือไม่คุ้มยังไงบ้าง
ถ้าเทียบกับการออมเงินเอง
คนที่เขารวยและเขาประสบความสำเร็จทุกคน นอกจากจะมีความสามารถ
ในการหาเงินแล้ว เขายังมีความสามารถในการใช้เงินอย่างคุ้มค่าด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้ มาจากการศึกษาเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น
7. อย่าลืมดูแลสุขภาพ และใส่ใจครอบครัว
ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ ว่าผมเลิกทำบริษัท ทั้งๆ ที่หาเงินได้เยอะขึ้นหลายเท่า
ทั้งนี้ ส่วนนึงเพราะผมเคยตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่มๆ ว่าถ้ามีลูก
ผมจะเลี้ยงลูกเอง ผมจะไม่พลาดโอกาสการได้เห็นลูกเติบโต
แต่ตอนที่ทำบริษัท ผมยุ่งอยู่แต่กับงาน วันนึงมี 24 ชั่วโมง ผมทำงาน 15+
เงินที่ได้มา ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีโอกาสได้ใช้ไหม ขนาดหน้าภรรยายังแทบไม่ได้มอง
กลางคืนกว่าจะหลับลงได้ มันช่างยากเย็น ในหัวคิดแต่เรื่องงาน
สุดท้ายผมเลยคิดว่าผมพอดีกว่า ไม่ต้องรวยมากไปกว่านี้ก็ได้
แต่ทวงเวลาในชีวิต และสุขภาพคืนมา ได้หลับสนิททุกคืน
ทุกวันนี้ได้อยู่กับลูกกับภรรยาตลอดทั้งวัน แม้จะไม่รวย แต่ก็ไม่ขัดสนความสุข
หวังว่ากระทู้ผมจะพอมีประโยชน์บางนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่าน
ข้อคิดถึงน้องๆ และเพื่อนๆ เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน
ทั้งน้องที่เพิ่งจบใหม่ และคนที่ทำงานมาซักพัก และกำลังคิดเรื่องเปลี่ยนงาน
ก็เลยเกิดไอเดียว่า ข้อคิดของผมอาจจะมีประโยชน์กับท่านอื่นๆ ในนี้ด้วย
ตัวผมเองผ่านการทำงานมาตั้งแต่เป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นเจ้าของบริษัท
และประกอบอาชีพอิสระ ดังนั้น ก็หวังว่าประสบการณ์และมุมมองของผมเอง
ก็อาจจะเป็นประโยชน์กับน้องๆ และเพื่อนๆ บ้างนะครับ
ถ้าให้สรุปเส้นทางชีวิตของผมสั้นๆ ก็เริ่มจากเป็นมนุษย์เงินเดือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ตั้งแต่เงินเดือนหมื่นเดียว ย้ายงานสองสามครั้ง จนเงินเดือนสามหมื่น
แล้วก็ลาออกมาทำอาชีพอิสระ รายได้แกว่งๆ อยู่ตั้งแต่ ห้าหมื่นถึงแสนต้นๆ
จนมีพี่ที่รู้จักมาชวนกันเปิดบริษัท รายได้ก็พุ่งไปหลายแสน แต่เพราะเหตุผลส่วนตัว
ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องการให้เวลาครอบครัว ที่สำคัญคืออยากเลี้ยงลูกเอง
เลยตัดสินใจถอนตัวจากบริษัท กลับมาทำงานอิสระเหมือนเดิม และเริ่มศึกษาการลงทุน
มาถึงข้อคิดที่ผมอยากฝากถึงน้องๆ และเพื่อนๆ นะครับ
1. การเป็นมนุษย์เงินเดือน มีต้นทุนที่เราลืมนึกไปซ่อนอยู่ด้วย
ถ้ามองตามจริง เราทำงานสัปดาห์ละ 5-6 วัน วันละ 8-9 ชั่วโมงก็จริง
แต่ต้นทุนที่แฝงอยู่อีกอย่าง ซึ่งบริษัทไม่สนใจ และหลายๆ คนเอง
ก็ไม่สนใจ หรือลืมนึกถึงไป ก็คือ การเดินทางไปกลับจากที่พักและบริษัท
ในความเป็นจริง สิ่งที่เราทุกคนมีเท่าๆ กันก็คือ "เวลา" ครับ
ถ้าเราใช้เวลาไปกับการเดินทางมากกว่าคนอื่น ก็เท่ากับเราขาดทุนชีวิต
มากกว่าคนอื่นแล้วเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในการพิจารณาเลือกงาน
ก็คือ "เวลาที่แท้จริง" ที่เราเสียไปให้กับการทำงานนั้นๆ
2. มองตัวเองเป็นสินค้าหรือบริการ
เวลาเราทำงาน โดยเฉพาะเวลาทำงานกับบริษัท เราไม่ควรใช้ความรู้สึก
ไม่ควรกะเอาเองว่าเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะดี หรือคิดเอาเองว่าเราควรได้เงินเดือนเท่าไหร่
แต่เราจำเป็นต้องรู้ "มูลค่าที่แท้จริง" ของตัวเรา
เราต้องรู้ให้ได้ว่า งานที่เราทำ คุณภาพระดับนี้ ความเร็วระดับนี้
ถ้าบริษัทไปจ้างคนอื่น จะต้องเสียเงินเท่าไหร่ หรือถ้าเราไปทำให้บริษัทอื่น
เขาจะเต็มใจจ่ายที่เท่าไหร่
ข้อนี้น้องๆ จบใหม่จะมีโอกาสรู้ได้ยากมากๆ เพราะอาจจะตั้งเป้าไว้แค่
"งานอะไรก็ได้ ให้มันมีทำๆ ไปก่อน เก็บประสบการณ์"
แถมเอาเข้าจริง บางคนทำงานมาหลายปีก็ยังตอบไม่ได้
ส่วนนึงเพราะไม่ได้ใส่ใจจะคิด หรือหาคำตอบ ก็เลยไม่ก้าวหน้าหรือไปไม่ถึงไหน
วิธีง่ายๆ ที่จะรู้ได้ก็คือ "ถามจากคนในวงการเดียวกัน"
พยายามผูกมิตร เก็บเกี่ยว Connection ให้ได้มากที่สุด
3. ต้องเข้าใจภาพรวมของอุตสาหกรรม
ยุคปัจจุบัน มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นและตายไปอย่างรวดเร็ว
อย่าได้หลงผิดว่างานที่เราทำมั่นคง และจะฝากผีฝากไข้ได้จนเราแก่
หมั่นติดตามข่าวสารไว้บ้าง ยิ่งถ้าเราทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ หน่อย
เราจะสามารถอ่านงบของบริษัทที่เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ด้วย
อย่าซื่อสัตย์จนไม่ลืมหูลืมตา เพราะวันที่กิจการล้ม พนักงานภายใน
จะรู้เป็นคนสุดท้ายเสมอ รู้ตัวอีกทีคือประกาศปิดไปแล้ว
เราต้องเปิดหูเปิดตา ติดตามสถานการณ์ ว่าอุตสาหกรรมของเราโดยรวมๆ
ยังโอเคอยู่ไหม สินค้าและบริการของเรา ใช่สิ่งที่ยังมีการบริโภคอยู่ไหม
ผมทันเห็นการล่มสลายของกล้องฟิล์ม/ผู้ผลิตฟิล์มรายใหญ่
ค่ายโทรศัพท์ Nokia ที่ถูก Android ตีกระจุยเละ
หรือแม้กระทั่ง Gadget ที่มาไวไปไวอย่าง BlackBerry
แม้ในช่วงๆ นึงบริษัทเหล่านี้จะเคยยิ่งใหญ่
แต่มันก็มีวันที่จะล้มได้เช่นกัน ดังนั้นเราเองก็ควรจะเตรียม
ทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองด้วย คงไม่มีใครอยากตกงานตอนอายุ 40+ แน่ๆ
4. หมั่นแหงนหน้าไว้ อย่าก้มหน้าเด็ดขาด
ข้อนี้หมายถึง ทุกการทำงาน เราจะมีหัวหน้าเสมอ
ลองถามตัวเองดูเล่นๆ ถ้าพรุ่งนี้หัวหน้าลาออก เราสามารถทำงานแทนหัวหน้าได้ไหม
ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือยัง ถ้ายัง เราขาดทักษะอะไร เราต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีก
เคล็ดลับความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง คือเราต้องพัฒนาตัวเองเสมอ
บางคนคิดง่ายๆ แค่ "ต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จทัน งานไม่มีปัญหา"
การทำแบบนั้นเราจะย่ำอยู่กับที่และมีโอกาสเติบโตน้อยมาก เพราะการจะก้าวหน้าได้
ยังมีทักษะอื่นนอกจากความชำนาญเชิงลึกในงานที่ทำ ซึ่งจะพูดถึงในข้อต่อไป
5. ต้องเป็นได้ทุกแผนก ถ้าอยากเป็นผู้บริหาร/ทำงานอิสระ
ถ้าเราอยากเป็นผู้บริหารหรืออยากทำงานอิสระ เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ
อีกหลายอย่าง ที่นอกเหนือจากการเก่งในงานของเรา
อาทิ
- ต้องเป็น Sales ได้ กล่าวคือ ต้องคุยกับลูกค้ารู้เรื่อง ต้องเขียนเมลสื่อสารกับลูกค้าได้
ต้องนำเสนองานได้ ประชุมผ่านวิดีโอคอลได้ โดยเฉพาะยุคนี้ ภาษาอังกฤษไม่ใช่จุดเด่น
แต่เป็นทักษะพื้นฐานไปแล้ว ไหนจะต้องประสานงานกับแผนกอื่นๆ หรือเพื่อนร่วมทีม
เพื่อแก้ปัญหา และทำงานออกมาให้สำเร็จลุล่วงได้
- ต้องเป็นแผนกบัญชีได้ อย่างน้อยๆ ต้องรู้ว่า PO/Invoice คืออะไร ทำยังไง
จะเรียกเก็บเงินยังไง การโอนเงินระหว่างประเทศทำยังไง Swift Code คืออะไร ฯลฯ
คุณต้องอ่านงบเป็น ต้องเข้าใจว่าจะคำนวณค่าใช้จ่ายยังไง คิดมาร์จินยังไง
รวมถึงภาษีต่างๆ ที่ต้องเสียด้วย
- ต้องเป็น IT ได้ ยุคนี้งานแทบทุกอย่างทำกันบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เราจะมามัวล้าหลังเรื่องพวกนี้ กระทั่งโหลดแอพ หรือ Sign in ยังไม่เป็น ไม่ได้
อย่าให้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มาทำให้งานล่าช้า โดยเฉพาะถ้าคิดจะทำงานอิสระ
(กรณีเปิดบริษัท ถ้าตอนที่ยังเล็กๆ ก็คงไม่มีแผนก IT อยู่ดี ถ้าแก้ปัญหาพื้นฐานเองได้
ก็จะช่วยลดต้นทุนได้เยอะมาก)
ทั้งหมดนี้อาจจะฟังดูยากและไกลตัวสำหรับบางคน แต่เชื่อผมเถอะว่า
ถ้าคุณอยากก้าวหน้าทางอาชีพการงาน อยากลาออกมาทำอาชีพอิสระ
หรืออยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณจะขาดทักษะเหล่านี้ไม่ได้เลย
6. ศึกษาเรื่องการเงินและการลงทุน รวมถึงประกันชีวิต/ประกันสุขภาพไว้บ้าง
ของพวกนี้ บางคนอาจจะมองว่าไกลตัว ทุกวันนี้แค่ใช้ให้รอดเดือนชนเดือนยังยาก
แต่ผมจะบอกว่า ถ้ารอถึงตอนมีเงินเหลือ ค่อยเริ่มศึกษา มันจะไม่ทันแล้ว
เรื่องพวกนี้ยิ่งเข้าใจเร็วยิ่งดี คุณควรจะรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินออมล่าสุดเป็นยังไง
ฝากประจำล่าสุดเป็นยังไง ผลตอบแทนจากกองทุนเป็นยังไง
ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ให้ผลตอบแทนคุ้มหรือไม่คุ้มยังไงบ้าง
ถ้าเทียบกับการออมเงินเอง
คนที่เขารวยและเขาประสบความสำเร็จทุกคน นอกจากจะมีความสามารถ
ในการหาเงินแล้ว เขายังมีความสามารถในการใช้เงินอย่างคุ้มค่าด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้ มาจากการศึกษาเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น
7. อย่าลืมดูแลสุขภาพ และใส่ใจครอบครัว
ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ ว่าผมเลิกทำบริษัท ทั้งๆ ที่หาเงินได้เยอะขึ้นหลายเท่า
ทั้งนี้ ส่วนนึงเพราะผมเคยตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่มๆ ว่าถ้ามีลูก
ผมจะเลี้ยงลูกเอง ผมจะไม่พลาดโอกาสการได้เห็นลูกเติบโต
แต่ตอนที่ทำบริษัท ผมยุ่งอยู่แต่กับงาน วันนึงมี 24 ชั่วโมง ผมทำงาน 15+
เงินที่ได้มา ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีโอกาสได้ใช้ไหม ขนาดหน้าภรรยายังแทบไม่ได้มอง
กลางคืนกว่าจะหลับลงได้ มันช่างยากเย็น ในหัวคิดแต่เรื่องงาน
สุดท้ายผมเลยคิดว่าผมพอดีกว่า ไม่ต้องรวยมากไปกว่านี้ก็ได้
แต่ทวงเวลาในชีวิต และสุขภาพคืนมา ได้หลับสนิททุกคืน
ทุกวันนี้ได้อยู่กับลูกกับภรรยาตลอดทั้งวัน แม้จะไม่รวย แต่ก็ไม่ขัดสนความสุข
หวังว่ากระทู้ผมจะพอมีประโยชน์บางนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่าน