(ขอคำปรึกษา)จะรักษาความรักที่รู้สึกเหมือนกัน แต่แตกต่างมากครั้งนี้ได้ยังไง..

กระทู้นี้ค่อนข้างยาว เวิ่นเว้อ ใช้สำนวนพร่ำเพ้อ เลยขอติดเเท็กเรื่องสั้นไปเลย (เเต่เรื่องจริงนะคะ)เเละเราเองอยากที่จะขอคำเเนะนำ กำลังใจ อะไรก็ตามที่จะทำให้เราก้าวต่อไปได้ด้วยทางที่ดีที่สุดเพื่อเเฟนเรา เรายอมทำทุกอย่างจริงๆ เรามืดเเปดด้านไปหมดเเล้ว


     ตามหัวกระทู้  จขกท กับแฟนอายุห่างกันราวๆ 8 ปีค่ะ เราสองคนรู้จักกันผ่านการเล่นเกมออนไลน์ เเละต่อจากนั้นก็มาสานสัมพันธ์กันต่อนอกจอในโลกแห่งความเป็นจริง
             เราได้รู้จักมาเรื่อยๆ พอตกลงคบกัน ช่วงแรก มีแฟนเก่าเค้าที่พยายามจะกลับมาบ้าง ได้รู้จักคนในสังคมของเค้า ได้รู้จักสตอรี่เก่าๆของเค้าผ่านเพื่อนของเค้าบ้าง ถึงรู้ว่า ที่ผ่านมา เค้าใช้ชีวิตอย่างไร
            เริ่มแรกของการคบกัน ถ้าไม่อิงปัจจัยอื่นๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเราสองคนแล้ว เราเข้ากันได้ดีอย่างน่าใจหาย เหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นส่วนพิเศษที่ขาดไป แล้วประกอบเข้ารอยต่อกันได้พอดิบพอดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทัศนคติในชีวิตคู่ มุมมองที่มีต่อโลกในปัจจุบัน ความรู้สึกที่มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่เข้าใจกัน เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ
        แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เริ่มตระหนักได้ว่านอกจากข้างในแล้ว เราต่างกันอย่างมากมายจริงๆ
    แฟนเราอายุ 29 เราอายุ 22  อายุเราต่างกัน 8 ปี
    แฟนเราเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ   เรากำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัยที่คนในประเทศไม่อยากให้ลูกตัวเองเข้าไปเรียนถ้าเลือกได้
    แฟนเราครอบครัวอบอุ่น มีฐานะ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี  ส่วนเราครอบครัวปานกลาง แค่ไม่มีหนี้สิน กินอิ่มทุกมื้อ แต่ไม่มีเงินใช้ฟุ่มเฟือย เสมอตัว มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง พ่อกับแม่ด่ากันตลอด จนสุดท้ายก็เลิกกันเมื่อห้าปีก่อน
    แฟนเรามีหน้าที่การงานที่ดี เป็นเจ้าของบริษัท ทำงานเก่ง มีความรับผิดชอบสูง มีวิสัยทัศน์ที่ดี ส่วนเราเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่ไม่รู้แม้กระทั่งที่ว่า ตัวเองจบไปจะทำอะไรได้อย่างที่คิดไหม
    แฟนเราเป็นคนประหยัดจริง ถ้าเทียบกับเงินในมือที่เค้ามี เค้ามักจะสนใจซื้อเสื้อผ้าลดราคา  แต่อย่างน้อยก็เป็นของแบรนด์ ราคาหลักหลายร้อยถึงหมื่น ซึ่งเค้าไม่เดือดร้อน ในขณะที่เรายังแบมือขอแม่ เดินข้างๆกัน เราใส่เสื้อผ้าเก่าๆ เฉิ่มเชย     
    ข้างต้นที่เราบอก แฟนเราแต่งตัวน้อยแต่มาก ไม่ได้แฟชั่นอะไรก็ดูดี ผิวขาว สะอาดสะอ้าน สูง บุคลิกดี ส่วนเรา.. นอกจากเบ้าหน้าที่สมส่วน เราแต่งตัวไม่เก่ง บุคลิกไม่ดี เป็นคนติดตลก ติดเล่นมากไป อวบอ้วน เดินไม่สวย ร้านทำผมเข้าไม่เป็น(ไม่มีเงินเข้าด้วย)
    แฟนเราเป็นคนมีเหตุผลสูงมาก ใช้เหตุผลกับทุกเรื่องมากกว่าอารมณ์ ส่วนเราก็เป็นคนที่มีเหตุผลสูง(ตามคำบอกเล่าของคนรอบตัว และแฟนเราก็บอกว่า ชอบเรามากส่วนหนึ่งก็เพราะเราเป็นผู้หญิงที่ใช้อารมณ์น้อยที่สุดเท่าที่เค้าเคยเจอมา) แต่ถึงขนาดนั้น  พอคบกันมาสักพัก เราสองคนกลับใช้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น และมันก็กลายเป็นว่าเหตุผลและอารมณ์ไม่สอดคล้องกันง่ายดายอย่างที่คิด
    เรายังติดการแสดงความรักแบบเด็กๆ วันเกิดเค้าเราอยากให้ของขวัญ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่รู้จะให้อะไรที่เค้าสามารถใช้ประโยชน์ได้ เราเลยสั่งทำพวงกุญแจและนั่งทำของแฮนด์เมดเองนิดหน่อย ซึ่งพอช่วงที่เค้าเลิกงานมาเจอเราก้มหน้าทำอะไรบางอย่างงุดๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย เค้าก็บอกว่ารู้นะว่าทำอะไรอยู่ แต่เค้าอยากให้เราใส่ใจที่ความรู้สึกมากกว่า ไม่ใช่สิ่งของ ควรให้ในสิ่งที่อีกฝ่าย(เค้า)ต้องการ ไม่ใช่ให้ในสิ่งที่เค้าไม่ได้ต้องการ
    เราคิดว่าเค้าพูดถูกค่ะ แต่เราก็รู้สึกเสียความมั่นใจในการแสดงความรักไประดับนึง.. เรารู้สึกได้ว่า เหมือนเค้าต้องการอะไรที่พอดีพอเหมาะและจริงจังไปอีกระดับขั้น ส่วนเราแม้จะมีเจตนาและความรู้สึกที่ดี แต่ผลลัพธ์มันก็ไม่ได้ดีเลย

    แฟนเราเป็นคนที่พูดจาดีกับทุกคนก็จริง แต่เค้าไม่ชอบการสนิทสนมกับใครง่ายๆ  ในขณะที่เราเป็นคนที่ภาพลักษณ์เฟรนด์ลี่มากไป สามารถพูดคุยและปล่อยให้ใครๆก็ตามเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งตรงนี้เค้ามองว่า เป็นการวางตัวที่ไม่ดี ทำให้คนหลายคนขาดความเกรงใจ ไม่ให้เกียรติ ไม่เป็นผลดีต่อการทำงานในอนาคต และสังคมเพื่อนฝูงที่เราอยู่ตอนนี้

    ไปกินข้าวด้วยกัน  สำหรับเราหลายๆร้านนั้นต้องไปกินเมื่อมีโอกาสพิเศษ อย่างน้อยปีนึงไม่กี่ครั้ง หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้ไปกินอีกเลยด้วยซ้ำ  แต่สำหรับแฟนเรา การไปกินร้านอาหารเหล่านั้นคือเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เพราะแถวที่ทำงานของเค้าในกทม เป็นแหล่งรายล้อมไปด้วยร้านอาหารราคาแพง ซึ่ง สะดวก อร่อย ไม่เดือดร้อน การกินอาหารคนเดียวของเค้า จานนึง 200+ คือถูกและดี  มื้อละ 500 ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เรากินข้าวแกง 50 บาท ซึ่งสองครั้งแรกเรารู้สึกว่าการที่เค้าเลี้ยงข้าวนั้นก็ดีนะ.. แต่พอนานๆไป เราเริ่มรู้สึกแย่ค่ะ.. เราอยากหาร ปัญหาคือ แต่ละมื้อที่เค้าจะไปกิน  แม้เต่ครึ่งหนึ่งเราก็ออกช่วยไม่ไหว..  วันนึงกินสองสามมื้อ ไม่ต้องสืบเลย แล้วพอเราลองชวนไปกินร้านถูกๆ เค้าก็จะพูดทำนองว่า มีร้านดีๆให้กินอยู่แล้วนะ ราคาไม่แพงด้วย...  เราก็น้ำท่วมปาก รู้สึกอายค่ะ.. อายที่จะบอกเค้าตรงๆว่า เราอยากกินข้าวกับเค้าทุกๆวันเลยนะ แต่ไม่ได้อยากให้เค้าเลี้ยงทุกมื้อ แล้วเราก็ไม่มีเงินนะ..
    เค้ากินแต่อาหารดีๆ จะให้ลดเกรดมากินแบบเราหรอ.. จะพูดยังไงดี..

    แฟนเรามองว่าความรักไม่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว ไม่ต้องการการปิดบัง คนสองคนจะต้องพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องพูดหมดก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องโกหก เวลาไปไหนต้องบอก อย่าให้เป็นห่วง ซึ่งปกติเรามองว่า ทุกคนต่างก็มีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเอง การทำอะไรแบบนั้นมันไร้สาระ(แต่เราไม่ได้รำคาญแฟนเรานะคะ) เราจะไม่ค้นมือถือ ไม่ค้นเฟซ ไม่โทรจิก ไม่วุ่นวาย  ส่วนแฟนเราเวลาไปไหนมาไหน เค้าจะบอกเราก่อนเสมอแม้ว่าเราไม่ได้ถาม เราสามารถโทรเข้าไปหาได้ตลอดทุกครั้งที่เราต้องการ(ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่เคยขอและไม่ได้ทำ)  ที่บริษัท เราเคยส่งข้อความไปให้กำลังใจและบอกว่าคิดถึงในช่วงวันที่เราหยุดอยู่บ้านคนเดียวแล้วไม่ได้ไปเรียน  เค้าก็เปิดกล้องโน้ตบุ๊คให้เราเห็นเค้าเวลาทำงาน เวลาประชุม เราได้ยินทุกอย่างที่เค้าพูดตอนประชุมกับพาร์ทเนอร์(แฟนเราเป็นจข.บริษัท แล้วก็ไม่มีอะไรที่เราจะไม่ได้รู้) เหมือนได้อยู่ด้วยตลอดเวลา จนกระทั่งเลิกงาน เค้าก็ปิดกล้อง ขับรถ คอลไลน์ต่อจนถึงบ้าน
มันทำให้เรารู้สึกดีมาก มันเป็นอะไรที่เราไม่เคยคิดว่าต้องการ แต่เมื่อได้รับ มันทำให้เรารู้สึกว่ามันดีที่สุด และเราสองคนก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด

แฟนเราเคยขอจดทะเบียนสมรสกับเรา  เค้าบอกว่าอยากเก็บเงินและใช้เวลาอีกหน่อยสำหรับการจัดงานแต่งงานกับเรา เพราะเราเพิ่งคบกันไม่นาน(ไม่ถึงปี) แต่เค้ามั่นใจแล้วนะว่าอยากให้เราเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ อยากให้เราสบายใจ จดทะเบียนเลยได้ไหม? แล้วตอนจะแต่งงานเค้าจะเข้าไปขอกับพ่อแม่เอง..  ทั้งๆที่ทะเบียนสมรสจะเป็นตัวผูกมัดเค้าไว้ คนที่ควรกลัวควรเป็นเค้า แต่เป็นเราซะอีกที่บอกเค้าว่า รอก่อนนะ อย่าเพิ่งเลย (เรารักเค้ามากค่ะ อยากใช้ชีวิตคู่ด้วย แต่รู้สึกได้ว่าตัวเองยังไม่ดีพอ  อยากพิสูจน์ใจตัวเองว่าเป็นคนที่ดีกว่านี้ได้สำหรับเค้า ทำงานได้ ไม่เป็นภาระ ไม่อยากให้เค้าจดทะเบียนไปแล้วรู้สึกพลาดที่ตัดสินใจเลือกเรา ซึ่งอันนี้ก็คิดในใจ ไม่ได้พูดออกไป)
แฟนเรามีเงินจริง แต่เราไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าขอกินขนม(เราอวบแล้วชอบบ่นกับแฟนว่าอยากลดน้ำหนัก)   เค้าซื้อของให้เรา ซึ่งทุกชิ้นเราไม่เคยขอ ส่วนใหญ่เป็นของที่ใช้ประโยชน์ได้และเราไม่มี เช่นเม้าส์ดีๆ คีย์บอร์ดแพงๆ(เอาจริงๆเลยก็คือเราไม่มีเงินซื้อคอมพ์ด้วยซ้ำ ใช้มือถือทำงานกับไปร้านเน็ตเอา ซึ่งพอแฟนเรารู้เรื่องนี้เค้าก็ซัพพอร์ตให้เรามี)  ไม่มีกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้อะไรกับของพวกนี้อยู่แล้ว  แต่ถึงขนาดนั้นเราก็เกรงใจอยู่ดี  เกรงใจและคิดมากจนเจ็บปวด รู้สึกแย่ที่ทำไมเค้าต้องมาช่วยเรากับเรื่องพื้นฐานแค่นี้ด้วย

            

    ถึงตรงนี้ก็น่าสงสัยแล้ว ว่าทำไมเค้าถึงมาชอบเราได้ แล้วตกลงปัญหาของเราคืออะไรกัน
-    เค้าบอกว่า เราเป็นคนใช้เหตุผลได้มากกว่าอารมณ์ถ้าเทียบกับผู้หญิงทั่วไปที่พบเจอ (ซึ่งตอนหลังก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่บอกไป)
-    เค้ามั่นใจว่าเราจะไม่มีวันนอกใจ จากทัศนคติของเราที่แสดงออกมา
-    เราจะไม่ทิ้งเค้าในวันที่เค้าลำบากและไม่เหลืออะไร
-    เรามองโลกในแง่ดี (ซึ่งตอนหลังก็ไม่ใช่ เราแพนิคมากเรื่องที่แฟนเก่าเค้าพยายามกลับมา และแม้ว่าเค้าจะไม่คุย ทำเย็นชา และเอ่ยปากบอกแฟนเก่าว่ามีเรา และไม่ต้องการให้ติดต่อมาอีก เราก็ยังคงแพนิค ไม่ได้โวยวายแต่จิตตกแล้วซึมไป)
-    เราไม่ฟุ้งเฟ้อ (น่าจะเพราะไม่มีเงินให้ฟุ้งเฟ้อไหม? 555555555555)    

ปัญหาของเราตอนนี้ คือเค้ามีงานที่ต้องเร่งทำให้เสร็จภายในปีนี้  ส่วนเราเองก็ต้องฝึกงาน  เค้าทำงานได้เก่ง ส่วนเราก็ไม่มีปัญหากับการฝึกงาน เราคิดว่าเราต่างคนสามารถทำหน้าที่ตรงหน้าของตัวเองได้อย่างดี แต่เมื่อเราหันหน้ามาคุยกัน..
    เค้าเหนื่อยและเครียดกับงานมาก ทั้งเรื่องคนที่จ้างมาทำงานไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้  เค้าต้องทำในส่วนที่คนอื่นทำไม่ได้ และทำให้เค้าหงุดหงิดง่าย..  ส่วนเราพอเหนื่อยก็พยายามติดตลก คิดน้อย บางทีเราพยายามทำตัวร่าเริง ก็กลายเป็นว่าเราเล่นหัวไม่รู้จักกาละเทศะ แทนที่จะพูดจาตรงประเด็นอย่างที่เคยทำ
    เราปรับตัวกับเวลาและการใช้แรงในการฝึกงานยังไม่ได้ เราต้องตื่นเช้ากว่าที่เคยตื่น  ยืนมากกว่าที่เคยยืน ต้องพยายามระมัดระวังคำพูด การวางตัว จดจำเรื่องต่างๆในการฝึกงาน พอกลับบ้าน พลังงานเราก็แทบจะหมด มันทำให้สมองเราคิดช้า บางครั้งก็พูดอะไรไม่เข้าหูเค้า



      โดยมันเริ่มจากเค้าเป็นคนเริ่มเข้ามาคุยกับจขกท. ก่อน  ซึ่งไม่ได้เริ่มด้วยการจีบ แต่เป็นการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของคนในเกม ต่อจากนั้นก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย เข้าเรื่องการเมือง ศิลปะ วัฒธรรม ประวัติศาสตร์ และอีกมากมายอย่างที่ไม่เคยคุยกับใครมาก่อน
เป็นความรู้สึกที่ทำให้เรารู้สึกว่า คนๆนี้พิเศษที่สุด
โลกนี้ยังมีผู้ชายแบบนี้ด้วยหรอ
ทำไมเค้าถึงคิดเหมือนกับเราได้ขนาดนี้
และเค้าก็บอกว่าการได้พบเจอเราก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์เช่นกัน
เราเป็นผู้หญิงในแบบที่เค้าไม่อยากเชื่อว่าจะมีบนโลก
คุยกับเราสนุกที่สุด เท่าที่ตลอดชีวิตของเค้าไม่เคยคุยกับใครได้แบบนี้มาก่อน
มุมมองของเค้ากว้างใหญ่ ฉลาด แลดูไม่ถือตัวและบางครั้งก็รู้สึกเหมือนกับว่า เราสองคนอายุไม่ได้ต่างจากกันมากเลย



ไม่อยากเสียเค้าไป..  แต่เค้าดูเป็นคนเซนซิทีฟมากๆ เราพลาดดื้ออะไรนิดหน่อย เช่น เค้าบอกให้นอนไวๆ พอเค้าหลับไป แล้วเรานอนช้ากว่า 1-2 ชม. เค้าก็จะพูดทำนองว่าเราดื้อ ทำไมความเป็นห่วงส่งไปไม่ถึง ตกลงรักเค้าหรือเปล่า...(เเบบนี้คือการตัดพ้อหรือเปล่า กลัวเค้าคิดแบบนั้นจริงๆ) ชอบพูดทำนองว่าเราดูไม่รักเค้าเลย(ทั้งๆที่เราทั้งรักทั้งหลง เเต่เค้าก็บอกว่าการแสดงออกของเรามันไม่ใช่)  เราแบบ เอ่อ เราจะง้อยังไง เค้าซีเรียสจริงจัง ยิ่งปกติเค้าเป็นคนที่ดูแลเราดี เเทบจะไม่ทำอะไรที่ทำให้เราเสียใจเลย ไม่มีพลาดสาดอารมณ์ใส่ด้วย ยิ่งทำเราลนลาน  จะขอโทษก็กลัวพร่ำเพรื่อ  หรือบางทีถ้าคอลกันแล้วเราขอวาง ต้องมีเหตุผลเพียงพอ..
       การตัดสายโทรศัพท์คือสิ่งที่เค้าเซนสิทีฟหนัก โชคดีที่เรื่องนี้เราไม่ได้เป็นคนชอบตัดสายเวลาทะเลาะกันอยู่แล้ว แต่บางทีมีคนโทรมา หรือสายมันตัดเองตอนบรรยากาศตึงๆ  เค้าจะรู้สึกดาวน์หนักมากทันที เสียงจะเข้ม ท่าทีจะแข็ง เราต้องงัดความคิดสารพัด ติดเล่นติดอ้อนมากไปก็ไม่ได้ เพราะกลายเป็นว่าไม่จริงจังที่จะแก้ปัญหา แต่ถ้าเราเข้มพอกัน ก็กลายเป็นแย่ไปอีก

ขอวิธีรักษาความสัมพันธ์กับคนจริงจังหรือเป็นผู้ใหญ่กว่าทีค่ะ เราไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แต่เรากลัวความรู้สึกเค้าพังไปก่อน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่