เรื่องเล่าจากลาดักห์ Backpack Leh trip Diary 10 วัน 9 คืน (มิถุนายน 2561 : Summer season) Part 5

Leh trip diary ( มิถุนายน 2561 : Summer season )
    บันทึกการเดินทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย ครั้งนี้จะไปกันที่เมืองLeh ในแคว้นLadakh โดยผมจะแบ่งเป็น 6 part สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือ อยากติดตาม part ไหน รูปเยอะมั่กๆ สามารถติดตามได้ตามนี้เลยยย

0.เรื่องทั่วไปๆก่อนออกเดินทาง (เช่น ข้อมูลสำคัญ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย) : https://pantip.com/topic/38453605
1.การเดินทางวันที่ 1 - 2 ( BKK - Delhi - Leh ) : https://pantip.com/topic/38453667
2.การเดินทางวันที่ 3 - 4 ( Leh - Southeast side trip - Nubra valley ) : https://pantip.com/topic/38453888
3.การเดินทางวันที่ 5 - 6 ( Nubra valley - Pangong lake - Leh ) : https://pantip.com/topic/38454110
4.การเดินทางวันที่ 7 - 8 (Leh - Leh - West side trip) : https://pantip.com/topic/38455237
5.การเดินทางวันที่ 9 - 10 (Leh - Delhi - BKK) : https://pantip.com/topic/38455304

Part 5



Day 9 ( Leh to Delhi )
วันนี้มีไฟลท์ตอน 7โมงเช้า เลยต้องแหกขี้ตาตื่นมาตอนตี 4 เศษๆ เพราะนัดคนขับไว้ตอนตี 4.50 น. ตอนแรกก็คิดว่านี่เราประมาทเกินไปไหมเนี่ย ก่อนไฟลท์บิน 2 ชม.เอง แต่คนขับบอกไม่ต้องรีบไปสนามบินหรอก เพราะถึงมาก่อน Gateสนามบินก็เปิดให้เข้าตอนตี 5 อยู่ดี ละก็ได้เข้าพร้อมกันอยู่ดี มาถึงที่นี่คนก็เยอะพอสมควร สรุปแล้วมาตอนตี5 ก็ดีนะ เสร็จแล้วมีเวลาเหลือนิดหน่อย ที่นี่ค่อนข้างตรวจเยอะหน่อย กระเป๋าBackpack ตรวจครั้งเดียว แล้วก็เอาไปชั่งน้ำหนัก ส่วนตรวจค้นตัวก็ตรวจเยอะอยู่ ต้องมาหยิบพวก Powerbank อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ของนู่นนี่ เข้าออกเอามาให้ตรวจหลายครั้ง เมื่อยมากๆ555 ตรวจตอนแรกตอนเข้าสนามบิน ตรวจรอบสองตอนก่อนเข้าที่ Lobby รอขึ้นเครื่อง แล้วก็ตรวจรอบสามก่อนขึ้นเครื่อง

ข้างในไม่ค่อยมีอาหารขาย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่ม กับเบเกอรี่ ราคาแพงกว่าที่เลห์ประมาณ 2-3 เท่า แต่ราคาก็ยังไหว แบบน้ำจาก 20 รูปีก็เป็น 40 รูปี ขากลับต้องเตรียมทั้ง Passport , Visa เพื่อกรอก Foreigner form C กรอกทั้งไปทั้งกลับเลยฮือ เขียนจนมือหงิก เสร็จแล้วก็ขึ้นเครื่องรอบนี้ผมโชคดีได้นั่งแถว A ติดฝั่งซ้าย แต่เคยอ่านรีวิวบอกว่าติดฝั่งขวาจะได้วิวสวยสุด แต่ติดหน้าต่างก็ยังดี พอนั่งขึ้นมาจะมองเห็นเลห์เป็นภูเขาออกทรายๆ แต่สักพักก็จะเป็นภูเขาหิมะเต็มไปหมด


พอนั่งมาสักพักใหญ่ๆ วิวสวยขึ้นเรื่อยๆ แต่พอหลุดจากเทือกเขาพวกนั้นเท่านั้นแหละ หมอกควันสีน้ำตาลก็มาทันทีเลย Dehli Toxicity จริงๆ5555
ขนาดตอนหลังจากกลับมาแล้ว ลองเปิดแอพ weather ดูเล่นๆ ยังเขียนว่า Very Unhealthy Air Quality เลย สุดจริง555

แต่ไม่เป็นไร จะลองให้โอกาสเมืองนี้อีกสักครั้ง555 ครั้งนี้ผมจะสู้


พอถึงแล้ว ลงจากเครื่องคนแรกเลย ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหน555 ไปอยู่ที่หนาวมา 7 วัน ออกมาเจออากาศที่เดลี32องศา ก็ยังไม่รู้สึกอะไรอยู่เลย555

รู้สึกว่าอันนี้เป็นอากาศของเรามากกว่า ร้อนๆ แต่ก็ไม่ร้อนมาก แต่อันนี้ตอนเช้านะ ตอนบ่ายไม่รู้แบบนี้เปล่า พอเสร็จก็ไปเอากระเป๋า Backpack ละเอาไปฝากที่เดิมเลย พร้อมไปลุยในเมืองละ โดยครั้งนี้หาข้อมูลมาแล้ว555 จะเน้นกันที่ Metro เป็นหลัก ถ้าไม่จำเป็น จะไม่ใช้รถ Tuktuk เพราะคุยยาก แถมชอบจะพาไปที่ที่ไม่อยากไป ละอ้อมก็คิดเงินแพง แผนวันนี้จะไปกันที่ Jama masjid ต่อด้วย Humayan’s tomb แล้วไปกินข้าวที่ Central park สุดท้ายก็กลับมาที่สนามบิน

โดยเราก็เข้าเมืองโดย Metro สาย Airport express เหมือนเดิม เราจะไปกันที่ Jama masjid โดยที่ที่ Jama masjid มีสถานี Metro ชื่อ Jama Masjid เลย แต่ผมไปซื้อตั๋วกับคนขาย คนขายหัวร้อนมาก อะไรก็ไม่รู้ สรุปให้เลยละกันว่าเราต้องไปจากสนามบิน สถานี IGI airport ไปที่ New Delhi station โดยเราไม่ต้องออกไปข้างนอกนะ แค่เปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าจากสายจาก Metro airport express line เป็น Metro yellow line อารมณ์เหมือนออกจาก BTS แล้วไปต่อซื้อตั๋วใหม่ที่ MRT แต่ตอนที่ผมมาถึงที่ซื้อตั๋ว Metro yellow line คนแน่นมากประมาณ 80% แทบไม่มีทางให้เดิน ที่นี่มีคนทุกชนชั้นทุกศาสนาไม่ว่าจะดีหรือแย่ยังไงที่นี่มีทั้งหมดเลย มีแบบครบทุกแบบจริงๆ ตามรูปนี้เลย


แต่อันนี้ไม่เท่าของจริง ของจริงหนักกว่านี่เยอะ แถวยาวมากๆๆ ผมอยู่ท่ามกลางคนอินเดีย 99% ต่อแถวซื้อตั๋วมี 5 เคาเตอร์ให้เลือก แต่มากกว่านั้นคือไม่มีภาษาอังกฤษในคำอธิบายแต่ละช่องซื้อตั๋วเลยจ้า รู้ชะตากรรมทันทีว่าต้องออกมานั่ง Tuktuk แน่ๆ

พอเดินออกมา ตรงก่อนถึงทางออก มาเจอป้ายที่มีคำอธิบายอยู่ว่าเคาเตอร์ไหนเป็นอะไร

เอ้า แล้วไม่บอกข้างในหล่ะ อย่างงี้ชาวต่างชาตินี่ทำไรไม่ได้เลย แต่ไม่เป็นไร ผมคงไม่เข้าไปละ เพราะข้างในคือคนแน่นมาก มีคนทุกประเภทอ่ะ กลัวเบียดๆกันแล้วโดนล้วงกระเป๋าอะไรงี้ แถมไม่อยากเจอกลิ่นแรงๆด้วย แต่พอเดินออกมาข้างนอก เป็นไงหล่ะ ไม่เจอกลิ่นแรงๆแล้ว แต่เจอกลิ่นฉี่กลิ่นเดิมที่เราคุ้นเคยแทน ฉี่เหม็นๆและควันคล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้ 5555

แต่รอบนี้ผมตกลงกับตัวเองไว้แล้ว ว่าจะพยายามให้ดีที่สุด เลยแก้ปัญหา อันนี้เป็นเทคนิคที่แก้ปัญหาได้ดีมีคุณภาพเลย ส่วนตัวคือทำให้รอบนี้ผมไม่หัวร้อนเรื่องคนที่นี่เลย

1.ใส่กางเกงขายาว เสื้ออย่าเยอะ ใส่แบบให้ดูภูมิฐานไรงี้ เสื้อลายเรียบๆ หรือพวกเสื้อลายดอกเล็กๆ เพราะคนที่นี่ชอบใส่แบบนี้กัน ในวันแรกผมและเพื่อนใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นกลายเป็นแกะดำ ทำให้ยิ่งเด่น ก็ยิ่งโดนมองขึ้นไปอีก

2.ให้เดินแบบๆเชิด ดูมีความมั่นใจ ทำตัวแบบหยิ่งๆดึงหน้า แล้วเวลาเราเดินไปไหนมาไหนเนี่ย จะมีคนมาทักตลอดว่าไปนู่นนี่ไหม ถ้าเราไม่เอา ก็ให้บอกว่า No แบบห้วนๆ แล้วเดินไปเลย ไม่ต้องไปสนใจ หรือเกรงใจ ให้เราพยายามมองหาคนขับ Tuktuk ที่คิดว่าเขาพูดอังกฤษได้ เดินตรงดิ่งไปหาเขาเลย ถ้าพูดตรงๆก็คือจะมีพวกสามล้อพวกที่ปั่นจักรยานอ่ะ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้ภาษาอังกฤษ แค่อยากได้เงิน ทำเป็นรู้เรื่อง ละสุดท้ายก็จะพาไปมั่วๆอ่ะ ถ้าเราไปต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ สุดท้ายจะยืดยื้อเปล่าๆ เสียเวลา ดังนั้นเหมือนเดิมให้เราพูดว่า No แล้วดึงหน้าเดินกลับไปไม่สนใจ อย่าใจอ่อน อย่าถ่อมตัว อย่าเกรงใจ ทีเขาจะเอาเงินเรายังไม่เกรงใจเราเลยอ่ะ แล้วทำไมเราต้องเกรงใจใส่ด้วย เพราะจริงๆผมเป็นคนนึงที่พูดคุยกับคนแปลกหน้าแล้วเกรงใจ ครั้งแรกที่มาตอนวันแรกอ่ะ ผมทำตัวอ่อนมาก ชอบพูดแบบนุ่มนวลซอฟๆ พวกนี้ก็จะเข้ามาเยอะ แต่ครั้งนี้ผมสังเกตได้นะว่าทำตัวมีความมั่นใจ เดินเงยหน้าเชิดๆไป เหมือนมีจุดหมายที่จะเดินไป ถึงแม้จะไม่มีก็ตาม5555 อย่างผมเข้าไปหาตุ๊กตุ๊กคนนึง แต่คนนี้ไม่รู้ภาษาอังกฤษเท่าไร จะมีอีกคนเข้ามาแล้วตัดหน้าเลยเว้ย ระบบที่นี่คือแย่งลูกค้าต่อหน้าเลย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แบบเดินมาจากรถเขามาที่รถคนอื่นเพื่อมาแย่งลูกค้าต่อหน้านี่แหละ ส่วนใหญ่คนที่เดินมาแย่งลูกค้าจะมีภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างใช้ได้เลยนะ เราต้องเน้นเข้าหาเขา ไม่ใช่ให้เขาเข้ามาหาอ่ะ

จากนั้นก็บอกเขาว่าจะไปที่ไหนส่วนใหญ่ถ้าไปพวกสถานที่ท่องเที่ยวงี้จะไม่ค่อยมีอะไรหรอก รู้เรื่องดี แต่ถ้าจะไปหาแหล่งซื้อของ ถ้าพูดว่า Shopping เขาจะมาเสนอคุณอย่างนู้นอย่างนี้ แหล่งที่ช็อปที่ผมแนะนำเนี่ยดี เหมาะกับคุณนะ ไปไหม เดียวผมพาไป มีแต่ Win Win ทั้งคู่ วันนี้ผมเจอมาแบบนี้เลย แต่รอบที่แล้วมีประสบการณ์มากพอแล้ว ครั้งนี้ใจแข็งทำการบ้านมาดี ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น จะไปที่นี่เท่านั้น!! เวลาตกลงอ่ะบางทีจะมีการแบบให้ขึ้นรถ ฟังด้วยนะ ว่าเขาให้เราราคาไหน วันนี้ผมมีแบบเรียกให้ขึ้นรถ แล้วเป็นราคาที่เขาเสนอ เอ้า แล้วจะขึ้นทำไมหล่ะ แพงเปล่าๆ คุยกันให้ชัวร์ว่าราคาไหน คอนเฟิร์มก่อนขึ้นรถ สมมติ 150 รูปี ก็บอกว่า One fifty only to Jama masjid เล่ห์กลมีอีกเยอะ มีการตกลงกันแล้ว ยังชวนไปที่ช็อปของเขาอีก555 บางคนก็ทอนเงินไม่ครบ ให้พูดไปเลยทำเสียงแข็งๆให้ดูน่ากลัวที่สุดอ่ะ ทำให้เหมือนเราขู่อ่ะ ประมาณว่า One fifty not two hundred!! อย่าลืมพูดให้น่ากลัว ตัดประโยคให้คมๆ กดเสียงแบบเหน็บๆโหดๆน่ากลัว รับรองว่าได้ผลจนพวกคนโกงยังต้องร้องขอชีวิต555

พูดเรื่องการเดินทางมาเยอะ เดียวค่อยพูดต่อเรื่องเทคนิคเอาตัวรอดที่นี่ละกันนะ เดียวจะเบื่อกันซะก่อน555 มาเข้าเรื่องดีกว่า วันนี้แผนก็เปลี่ยนมาเป็น Tuktuk ทั้งวัน หลังจากออกมาจาก Metro ผมก็ออกมาหาไปที่ Tuktuk คันนึง แน่นอนว่ามี Tuktuk คันอื่นพยายามมาแย่งตัวพวกผมไป ผมก็เลยไป โอ้ย ใจง่ายจัง ไม่ใช่อย่างงั้น!! ที่ผมไปเพราะว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่า ก็เลยไป ผมบอกว่าจะไป Jama masjid ประมาณ 3 km ตอนแรก 2 คนเขาเรียก 150 รูปีจริงๆสำหรับผม 75 บาทต่อ 2 คนก็ไม่แพงเท่าไร แต่ขอต่อหน่อยเหอะ555 ได้เต็มที่แค่ 130 รูปี แสดงว่าลุงคนนี้อาจจะคิดไม่แพงตั้งแต่แรกแล้ว ระหว่างทางคนขับทุกคนก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างปนกันไป



ตอนระหว่างทางตอนติดไฟแดง จะมีเด็กมาสะกิดขอเงิน หรือมาเต้นโชว์ ผมเผลอไปมอง เขายิ้มมา ผมก็ยิ้มตอบ เขาก็นึกว่าผมยิ้มที่เขาเต้น ก็เลยมาขอเงินซะงั้น ให้ปฏิเสธว่า No ไป จะตื๊อยังไง เขาจะทำหน้าตาไม่พอใจเรายังไง ก็ปล่อยไป ทำอะไรเราไม่ได้ เราแค่รอให้ไฟเขียว แล้วก็รอดละ บอกละวันนี้มาเป็นสายโหด ไม่ปราณีใครทั้งนั้น555
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่