Leh trip diary ( มิถุนายน 2561 : Summer season )
บันทึกการเดินทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย ครั้งนี้จะไปกันที่เมืองLeh ในแคว้นLadakh โดยผมจะแบ่งเป็น 6 part สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือ อยากติดตาม part ไหน รูปเยอะมั่กๆ สามารถติดตามได้ตามนี้เลยยย
0.เรื่องทั่วไปๆก่อนออกเดินทาง (เช่น ข้อมูลสำคัญ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย) :
https://pantip.com/topic/38453605
1.การเดินทางวันที่ 1 - 2 ( BKK - Delhi - Leh ) :
https://pantip.com/topic/38453667
2.การเดินทางวันที่ 3 - 4 ( Leh - Southeast side trip - Nubra valley ) :
https://pantip.com/topic/38453888
3.การเดินทางวันที่ 5 - 6 ( Nubra valley - Pangong lake - Leh ) :
https://pantip.com/topic/38454110
4.การเดินทางวันที่ 7 - 8 (Leh - Leh - West side trip) :
https://pantip.com/topic/38455237
5.การเดินทางวันที่ 9 - 10 (Leh - Delhi - BKK) :
https://pantip.com/topic/38455304
Part 0
แนะนำตัวและความเป็นมา
ผมชื่อ ฟร้องซ์ นะตอนนี้เป็นนักศึกษาแพทย์ เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมก็เป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆที่อยากเดินทางรอบโลก อยากไปตามหาสิ่งใหม่ๆ พวกที่ที่มัน Rare อ่ะแหละ เมื่อก่อนผมก็ฝันไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าผมคงไม่ได้ไปไหนต่างประเทศหรอก เพราะ ตามประสาเด็กถ้าจะไปไหนพ่อแม่ก็ต้องไปด้วย แต่พ่อแม่ของผมไม่ชอบไปเที่ยวต่างประเทศ เลยพยายามทุกทางเพื่อจะไปให้ได้ แม้แต่ผมสอบติดแพทย์ แม่สัญญาว่าจะให้ไปต่างประเทศแล้ว แต่ช่วงนั้นก็ดันมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับปอดที่เกิดขึ้นกับผมครั้งแล้วครั้งเล่า การขึ้นเครื่องบินมีผลเรื่องความดัน มันก็ไม่ดีต่อปอด สุดท้ายผมก็เลยไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ ได้แต่นั่งคอยวันเวลาที่จะมาถึงโดยไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร แต่แล้วเวลาผ่านไปนาน จนวันนึงผมคิดว่าผมพร้อมแล้วที่จะก้าวออกไป ทำให้ผมไปรื้อฟื้นทริปๆนึง ที่เคยคุยเล่นๆกับเพื่อนตั้งแต่ตอนชั้น ม.4 ซึ่งผ่านมาแล้ว 5ปี เอามาคุยกันตอนมหาวิทยาลัย ปี2 จนสุดท้ายการเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้น ทริปนี้เกิดขึ้นที่ เลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย ด้วยความประทับใจมากมาย ผมจึงได้เขียนบันทึกเรื่องราว ความรู้สึก และถ่ายภาพไว้ พอนำมารวมกันจึงทำให้เกิดบันทึกLeh trip Diaryนี้ขึ้นมา
แนวทางการเขียน
ผมเขียนบันทึกนี้โดยเขียนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เขียนแบบวันต่อวันเลย ทำให้จะมีอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวแทรกอยู่ด้วย และจากตอนที่ผมเริ่มวางแผนทริป พบว่า เออ มันก็มีบางประเด็นต่างๆที่ตัวผมเองอยากรู้ แต่ก็หาข้อมูลไม่ค่อยได้ การที่ได้ไปจริงๆก็เลยพยายามหาข้อมูลมาเสริมไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ บวกกับนำประสบการณ์ , สิ่งที่ได้รับ ผสมกับความรู้สึก มาแทรกเสริมเอาไว้เพื่อการเที่ยวที่เลห์และอินเดียได้ง่ายมากขึ้น
คือออกตัวเลยว่า พอแต่งรูปแล้วต้องมาดูใหม่อีก3รอบ ต้องทวนคำพูดให้ดีอีก3รอบ จะทำอะไรก็คิดแล้วคิดอีก เบ็ดเสร็จก็ปาไป 6เดือนเต็ม ตอบข้อสงสัยสำหรับบางคนที่อาจจะสงสัยว่าไปตั้งแต่มิถุนายน แล้วมาโพสต์อะไรตอนนี้มกราคม555 คือแบบตั้งใจทำสุดชีวิตจริงๆนะ : D
การเตรียมตัว (ส่วนใหญ่ก็คือของส่วนตัวเป็นหลัก แต่ผมจะเน้นตรงจุดที่ควรรู้ไว้นะ)
:
Passport และ Visa เป็น the must อยู่แล้ว ต้องติดตัวตลอดเวลา เพราะเขาคิดจะตรวจตอนไหนก็ตรวจ
:
เงิน = ที่อินเดียใช้เงินหน่วย รูปี อัตราแลกเปลี่ยน คร่าวๆก็ประมาณ 2 รูปี เท่ากับ 1 บาท คิดง่ายๆก็คือ เงินรูปีหาร 2 เท่ากับเงินบาท ที่เลห์ไม่ค่อยหรือแทบจะไม่มีร้านที่รับบัตรเครดิต/เดบิตเลย แต่ถ้าเงินหมดจริงๆ ก็จะมีร้านให้แลกเงินอยู่ (เงินไทย ไม่รับเงินสด แต่รับบัตรเครดิต/เดบิต) ส่วนการประมาณค่าใช้จ่าย ได้แก่ ⇒ 1.ค่าแท็กซี่นี่แพงที่สุดเลย ลองดูในรายละเอียดค่าใช้จ่ายของผมดูนะ จะมีพวกค่าเช่าแท็กซี่นำเที่ยว แล้วก็บางคนอาจจะมีค่าแท็กซี่ไปกลับที่พัก ⇒ 2. ค่ากิน อาหารจานเดียวตกมื้อละ 120-270 รูปี อันนี้คืออาหารที่มีคุณภาพแล้วนะราคานี้ ถ้าสายรัดเข็มขัดประหยัดเงิน ก็สั่งพวก omelette ราคา 30-40 รูปีได้เหมือนกัน แต่ถ้าชอบถูกๆหารกันแล้วอิ่ม แนะนำ พวกพิซซ่าไก่ราคาประมาณ 280-360 รูปี เช่น หารกันสองคนก็ประมาณคนละ 160-180 รูปี ก็ 80-90 บาท ค่าครองชีพพวกน้ำ ขนม ถูกกว่าบ้านเราพอประมาณ ⇒ 3. ค่าของฝาก, ค่า entry สถานที่ต่างๆ ดังนั้นเวลาจัดงบประมาณอย่าเผื่อแค่ค่าค่ากิน ต้องเผื่อค่าของฝาก ค่าอื่นๆด้วยนะ เนื่องจากของที่นี่ไม่แพง ขาช็อปทั้งหลาย กรุณาแลกเงินไปเยอะๆ ระวังเงินหมดไม่รู้ตัวนะ
:
โทรศัพท์ = ที่เลห์ สัญญาณโทรศัพท์มีครับ แต่อินเทอร์เน็ตช้ามาก ช้าจริงๆ ขนาดส่งข้อความไลน์ยังต้องรอโหลด เรียกว่า มีแต่ไว้ใจไม่ได้555 ใช้ได้แค่คุยโทรศัพท์ดีกว่าครับ แต่ใครต้องการไว้ก็ขอเปิดเบอร์ได้นะครับ แต่ไม่น่าจะได้ใช้ การขอเบอร์โทรศัพท์ของอินเดีย แนะนำ Airtel ครับ แต่บางคนใช้เวลาดำเนินการนานมากถึง 7 วันเลยทีเดียว ส่วน Sim 2 fly ของทาง AIS นั้น ไม่รองรับพื้นที่เลห์ซึ่งอยู่ในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ครับ แต่ถ้าบางคนที่ไปที่เดลี แล้วอยากมีอินเทอร์เน็ตใช้ สามารถใช้ได้ครับ ส่วน Wi-Fi ของที่เลห์เป็นเหมือนของบ้านเรา ใส่รหัสผ่านจบ แต่ที่เดลี ส่วนใหญ่จะเป็นเด้ง Pop-Up หน้าเว็บ แล้วใช้รหัส OTP ดังนั้น ถ้าจะใช้อินเทอร์เน็ตที่เดลี อย่างน้อยต้องมีสัญญาณเครือข่ายไว้รับเลข OTP จาก SMS ครับ ดังนั้นเลยเน้นการ Save offline ดีกว่าไม่ว่าจะเป็น Map หรือข้อมูลต่างๆ
:
ประกันการเดินทาง = ทำๆเผื่อไปได้เลย ประกันราคาไม่แพงเลย ตอนที่ผมไม่สบายที่นั่น ผมก็แอบหวั่นๆว่า ไม่ได้ทำประกันมาใจไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นทำไว้ดีกว่าเราไปเป็นอะไรที่นู่นดีกว่าเนอะ
:
อาหาร = ที่เลห์ ไม่ต้องกลัวอดตายเลย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารยุโรป แล้วรองมาคือจีน อินเดีย รวมถึงไทย(บางร้าน)ก็มีนะ คนที่นี่ส่วนใหญ่การกินจะมี 2 ประเภท คือ 1.มังสวิรัติ (Veg) ไม่กินเนื้อสัตว์ ตามความเชื่อนับถือของเขา 2.กินเนื้อสัตว์ (Non-Veg) ที่นี่เน้นไก่เป็นหลัก ปลามีบ้าง ส่วนหมูและเนื้อวัว ไม่มีนะจ้ะ
:
Adapter แปลงไฟ อย่าลืมเด็ดขาด! ที่อินเดียใช้หัวแบบยุโรป ถ้าเอาชัวร์ก็ซื้อ Universal มาเลย ส่วนปลั๊กพ่วงตามสะดวกได้เลย
:
ยา = Diamox (Acetazolamide) แก้ AMS (โรคแพ้ความสูง ไม่ใช่กลัวความสูงนะ) โรคนี้สามารถเป็นได้ทุกคน ถ้าคนจะเป็น ออกกำลังกายก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ (แต่ออกกำลังกายไว้ก่อนดีกว่า) ดังนั้น ก็ควรกินทุกคนอ่ะเป็น The must เลย , Paracetamol , ยาแก้ไอ , ยาแก้หวัด , ยาแก้ท้องเสีย (Activated carbon หรือ พวกเกลือแร่ORS) , ยาโรคประจำตัว เช่น โรคกระเพาะ โรคภูมิแพ้ , ยาอื่นๆ เช่น ยาแก้เมารถ สเปรย์ฉีดจมูกแก้พวกเลือดกำเดาไหลจากอากาศหนาวแห้ง
:
เสื้อกันหนาวดีๆสักตัว+พวก Heat tech , Long john ใส่แล้วจะไม่รู้สึกหนาวจนเกินไป แต่ถ้าไม่ใส่ก็ยังทนไหวอยู่นะ (เฉพาะ กรณีฤดูร้อนของที่นี่นะ) เน้นเอาไว้ใส่ตอนผ่านพวก pass ต่างๆ เช่น Khardung la pass , นอนนอกเมือง เช่น Nubra Valley , Pangong lake พวกนี้หนาวจริงจัง
:
ทิชชู่เปียก ทิชชู่ ทุกทริปควรมีไว้จริงๆ [ เช็ดมือ , เข้าห้องน้ำสาธารณะที่ไม่มีทิชชู่ ]
: ปากแห้งใช้
วาสลีน และ ผิวแห้ง ใช้ครีมทาให้ชุ่มชื้น เพราะตอนแรกผมก็คิดว่าไม่เป็นอะไร เลยไม่ได้ทา แต่พอช่วงท้ายของทริป หน้าลอกมากถึงมากที่สุด กลับมาไทย 2 สัปดาห์แหน่ะกว่าจะหายดีขึ้น
:
รองเท้าที่สามารถเดินไกลๆ เน้นๆที่ใส่สบายๆพร้อมเปื้อน พร้อมลุยปีนเขา (เดินขึ้นภูเขาที่เป็นดิน)
:
การเดินทางที่เลห์ ใช้การเดินเป็นส่วนใหญ่ และมี Taxiบ้าง ถ้าจะเช่ารถก็มีให้เช่าทั้งรถธรรมดา และรถRoyal Enfieldนั่นแหละ แต่ส่วนตัวผมมองว่าถ้าไม่ได้มี Passion ที่จะขับ Royal Enfield จริงๆ เดินเอาดีกว่าเพราะตัว Leh เมืองมันใหญ่ซับซ้อน ทางรถก็เล็ก อีกทั้งการจราจรยุ่งยากและวุ่นวายพอสมควรเลย
การทำVisa ประเทศอินเดีย
Visaของอินเดีย ระยะเวลาดำเนินการเร็วมาก สามารถทำได้ก่อนเดินทางอย่างน้อยที่สุด 4 วัน แนะนำให้ทำช่วง 20-30 วันก่อนการเดินทางครับ โดยที่ Visa มีอายุ 60 วัน นับจากการเดินทางเข้าอินเดียครั้งแรกครับ
1.เข้าตามเว็บนี้
https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html#
2.จากนั้นเข้า Tab e-Visa application
3.กรอกข้อมูล โดยที่รูปถ่ายตัวเอง หรือ passport สามารถถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือได้เลย ไม่ต้องห่วงเรื่องขนาดภาพ เพราะถ่ายมาแล้วทางเว็บไซต์เวลา insert รูปไป ถ้าขนาดไม่ตรงทางเว็บจะมีการ Crop ให้เลือกใช้ได้
4.จ่ายค่าดำเนินการทั้งหมดคือประมาณ 1700 บาท พอทุกอย่างเสร็จแล้วจากนั้นจะมีอีเมล์ยืนยันมา
5.แล้วอีกไม่เกิน 3 วัน ข้อมูลก็จะขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
6.เมื่อข้อมูลมาแล้ว ให้เข้าเว็บเดิม
https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html#
7.ให้กดที่ Tab Print Visa Application และ Tab Visa Status ปรินท์ทั้ง 2 tab นี้ออกมา แค่นี้ก็เสร็จสมบูรณ์
*โดย Visa ที่ได้จะเป็นแบบ Double Entries ถึง Delhi ไปเข้าที่ช่อง Visa on arrival (e-Visa) และ Visa นี้สามารถใช้เข้า Leh ได้เลย ไม่มีปัญหาแน่นวลล
การวางแผน
ให้ดูข้อมูลของแต่ละที่ก็พอ จริงๆเที่ยวที่เลห์อาจจะมีทางเลือกให้ไม่มาก เพราะที่เที่ยวมันค่อนข้างไกล เลยต้องจ้างรถไป ให้ที่พักเขาจ้างรถทำเรื่องให้ ทางที่พักเขามีจัดแผนการเที่ยวให้แล้วว่าที่ไหนบ้างที่อยู่ทางเดียวกันต้องไปด้วยกัน ทริปเลยถูกกำหนดด้วยคนขับรถเป็นหลัก555 เน้นให้หาคนขับใจดี เป็นกันเอง พูดเก่งเป็นหลัก ไม่ต่างอะไรกับซื้อทัวร์หรอก แต่ดีตรงที่เราคุมเวลาของเราเองได้ อยากอยู่ตรงไหนนานก็อยู่ คุมเวลาออกเดินทางได้อะไรได้
//ขายของหน่อย อันนี้คนขับผมนะ คุณสมบัติครบถ้วน ไม่ผิดหวังแน่นอน ชื่อ Angchok tang เบอร์โทร 9469733355 , 9622049019 ลองดูนะๆ
ตัวอย่างทริปการวางแผน
เรื่องเล่าจากลาดักห์ Backpack Leh trip Diary 10 วัน 9 คืน (มิถุนายน 2561 : Summer season) Part 0
บันทึกการเดินทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย ครั้งนี้จะไปกันที่เมืองLeh ในแคว้นLadakh โดยผมจะแบ่งเป็น 6 part สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือ อยากติดตาม part ไหน รูปเยอะมั่กๆ สามารถติดตามได้ตามนี้เลยยย
0.เรื่องทั่วไปๆก่อนออกเดินทาง (เช่น ข้อมูลสำคัญ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย) : https://pantip.com/topic/38453605
1.การเดินทางวันที่ 1 - 2 ( BKK - Delhi - Leh ) : https://pantip.com/topic/38453667
2.การเดินทางวันที่ 3 - 4 ( Leh - Southeast side trip - Nubra valley ) : https://pantip.com/topic/38453888
3.การเดินทางวันที่ 5 - 6 ( Nubra valley - Pangong lake - Leh ) : https://pantip.com/topic/38454110
4.การเดินทางวันที่ 7 - 8 (Leh - Leh - West side trip) : https://pantip.com/topic/38455237
5.การเดินทางวันที่ 9 - 10 (Leh - Delhi - BKK) : https://pantip.com/topic/38455304
Part 0
แนะนำตัวและความเป็นมา
ผมชื่อ ฟร้องซ์ นะตอนนี้เป็นนักศึกษาแพทย์ เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมก็เป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆที่อยากเดินทางรอบโลก อยากไปตามหาสิ่งใหม่ๆ พวกที่ที่มัน Rare อ่ะแหละ เมื่อก่อนผมก็ฝันไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าผมคงไม่ได้ไปไหนต่างประเทศหรอก เพราะ ตามประสาเด็กถ้าจะไปไหนพ่อแม่ก็ต้องไปด้วย แต่พ่อแม่ของผมไม่ชอบไปเที่ยวต่างประเทศ เลยพยายามทุกทางเพื่อจะไปให้ได้ แม้แต่ผมสอบติดแพทย์ แม่สัญญาว่าจะให้ไปต่างประเทศแล้ว แต่ช่วงนั้นก็ดันมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับปอดที่เกิดขึ้นกับผมครั้งแล้วครั้งเล่า การขึ้นเครื่องบินมีผลเรื่องความดัน มันก็ไม่ดีต่อปอด สุดท้ายผมก็เลยไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ ได้แต่นั่งคอยวันเวลาที่จะมาถึงโดยไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร แต่แล้วเวลาผ่านไปนาน จนวันนึงผมคิดว่าผมพร้อมแล้วที่จะก้าวออกไป ทำให้ผมไปรื้อฟื้นทริปๆนึง ที่เคยคุยเล่นๆกับเพื่อนตั้งแต่ตอนชั้น ม.4 ซึ่งผ่านมาแล้ว 5ปี เอามาคุยกันตอนมหาวิทยาลัย ปี2 จนสุดท้ายการเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้น ทริปนี้เกิดขึ้นที่ เลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย ด้วยความประทับใจมากมาย ผมจึงได้เขียนบันทึกเรื่องราว ความรู้สึก และถ่ายภาพไว้ พอนำมารวมกันจึงทำให้เกิดบันทึกLeh trip Diaryนี้ขึ้นมา
แนวทางการเขียน
ผมเขียนบันทึกนี้โดยเขียนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เขียนแบบวันต่อวันเลย ทำให้จะมีอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวแทรกอยู่ด้วย และจากตอนที่ผมเริ่มวางแผนทริป พบว่า เออ มันก็มีบางประเด็นต่างๆที่ตัวผมเองอยากรู้ แต่ก็หาข้อมูลไม่ค่อยได้ การที่ได้ไปจริงๆก็เลยพยายามหาข้อมูลมาเสริมไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ บวกกับนำประสบการณ์ , สิ่งที่ได้รับ ผสมกับความรู้สึก มาแทรกเสริมเอาไว้เพื่อการเที่ยวที่เลห์และอินเดียได้ง่ายมากขึ้น
คือออกตัวเลยว่า พอแต่งรูปแล้วต้องมาดูใหม่อีก3รอบ ต้องทวนคำพูดให้ดีอีก3รอบ จะทำอะไรก็คิดแล้วคิดอีก เบ็ดเสร็จก็ปาไป 6เดือนเต็ม ตอบข้อสงสัยสำหรับบางคนที่อาจจะสงสัยว่าไปตั้งแต่มิถุนายน แล้วมาโพสต์อะไรตอนนี้มกราคม555 คือแบบตั้งใจทำสุดชีวิตจริงๆนะ : D
การเตรียมตัว (ส่วนใหญ่ก็คือของส่วนตัวเป็นหลัก แต่ผมจะเน้นตรงจุดที่ควรรู้ไว้นะ)
: Passport และ Visa เป็น the must อยู่แล้ว ต้องติดตัวตลอดเวลา เพราะเขาคิดจะตรวจตอนไหนก็ตรวจ
: เงิน = ที่อินเดียใช้เงินหน่วย รูปี อัตราแลกเปลี่ยน คร่าวๆก็ประมาณ 2 รูปี เท่ากับ 1 บาท คิดง่ายๆก็คือ เงินรูปีหาร 2 เท่ากับเงินบาท ที่เลห์ไม่ค่อยหรือแทบจะไม่มีร้านที่รับบัตรเครดิต/เดบิตเลย แต่ถ้าเงินหมดจริงๆ ก็จะมีร้านให้แลกเงินอยู่ (เงินไทย ไม่รับเงินสด แต่รับบัตรเครดิต/เดบิต) ส่วนการประมาณค่าใช้จ่าย ได้แก่ ⇒ 1.ค่าแท็กซี่นี่แพงที่สุดเลย ลองดูในรายละเอียดค่าใช้จ่ายของผมดูนะ จะมีพวกค่าเช่าแท็กซี่นำเที่ยว แล้วก็บางคนอาจจะมีค่าแท็กซี่ไปกลับที่พัก ⇒ 2. ค่ากิน อาหารจานเดียวตกมื้อละ 120-270 รูปี อันนี้คืออาหารที่มีคุณภาพแล้วนะราคานี้ ถ้าสายรัดเข็มขัดประหยัดเงิน ก็สั่งพวก omelette ราคา 30-40 รูปีได้เหมือนกัน แต่ถ้าชอบถูกๆหารกันแล้วอิ่ม แนะนำ พวกพิซซ่าไก่ราคาประมาณ 280-360 รูปี เช่น หารกันสองคนก็ประมาณคนละ 160-180 รูปี ก็ 80-90 บาท ค่าครองชีพพวกน้ำ ขนม ถูกกว่าบ้านเราพอประมาณ ⇒ 3. ค่าของฝาก, ค่า entry สถานที่ต่างๆ ดังนั้นเวลาจัดงบประมาณอย่าเผื่อแค่ค่าค่ากิน ต้องเผื่อค่าของฝาก ค่าอื่นๆด้วยนะ เนื่องจากของที่นี่ไม่แพง ขาช็อปทั้งหลาย กรุณาแลกเงินไปเยอะๆ ระวังเงินหมดไม่รู้ตัวนะ
: โทรศัพท์ = ที่เลห์ สัญญาณโทรศัพท์มีครับ แต่อินเทอร์เน็ตช้ามาก ช้าจริงๆ ขนาดส่งข้อความไลน์ยังต้องรอโหลด เรียกว่า มีแต่ไว้ใจไม่ได้555 ใช้ได้แค่คุยโทรศัพท์ดีกว่าครับ แต่ใครต้องการไว้ก็ขอเปิดเบอร์ได้นะครับ แต่ไม่น่าจะได้ใช้ การขอเบอร์โทรศัพท์ของอินเดีย แนะนำ Airtel ครับ แต่บางคนใช้เวลาดำเนินการนานมากถึง 7 วันเลยทีเดียว ส่วน Sim 2 fly ของทาง AIS นั้น ไม่รองรับพื้นที่เลห์ซึ่งอยู่ในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ครับ แต่ถ้าบางคนที่ไปที่เดลี แล้วอยากมีอินเทอร์เน็ตใช้ สามารถใช้ได้ครับ ส่วน Wi-Fi ของที่เลห์เป็นเหมือนของบ้านเรา ใส่รหัสผ่านจบ แต่ที่เดลี ส่วนใหญ่จะเป็นเด้ง Pop-Up หน้าเว็บ แล้วใช้รหัส OTP ดังนั้น ถ้าจะใช้อินเทอร์เน็ตที่เดลี อย่างน้อยต้องมีสัญญาณเครือข่ายไว้รับเลข OTP จาก SMS ครับ ดังนั้นเลยเน้นการ Save offline ดีกว่าไม่ว่าจะเป็น Map หรือข้อมูลต่างๆ
: ประกันการเดินทาง = ทำๆเผื่อไปได้เลย ประกันราคาไม่แพงเลย ตอนที่ผมไม่สบายที่นั่น ผมก็แอบหวั่นๆว่า ไม่ได้ทำประกันมาใจไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นทำไว้ดีกว่าเราไปเป็นอะไรที่นู่นดีกว่าเนอะ
: อาหาร = ที่เลห์ ไม่ต้องกลัวอดตายเลย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารยุโรป แล้วรองมาคือจีน อินเดีย รวมถึงไทย(บางร้าน)ก็มีนะ คนที่นี่ส่วนใหญ่การกินจะมี 2 ประเภท คือ 1.มังสวิรัติ (Veg) ไม่กินเนื้อสัตว์ ตามความเชื่อนับถือของเขา 2.กินเนื้อสัตว์ (Non-Veg) ที่นี่เน้นไก่เป็นหลัก ปลามีบ้าง ส่วนหมูและเนื้อวัว ไม่มีนะจ้ะ
: Adapter แปลงไฟ อย่าลืมเด็ดขาด! ที่อินเดียใช้หัวแบบยุโรป ถ้าเอาชัวร์ก็ซื้อ Universal มาเลย ส่วนปลั๊กพ่วงตามสะดวกได้เลย
: ยา = Diamox (Acetazolamide) แก้ AMS (โรคแพ้ความสูง ไม่ใช่กลัวความสูงนะ) โรคนี้สามารถเป็นได้ทุกคน ถ้าคนจะเป็น ออกกำลังกายก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ (แต่ออกกำลังกายไว้ก่อนดีกว่า) ดังนั้น ก็ควรกินทุกคนอ่ะเป็น The must เลย , Paracetamol , ยาแก้ไอ , ยาแก้หวัด , ยาแก้ท้องเสีย (Activated carbon หรือ พวกเกลือแร่ORS) , ยาโรคประจำตัว เช่น โรคกระเพาะ โรคภูมิแพ้ , ยาอื่นๆ เช่น ยาแก้เมารถ สเปรย์ฉีดจมูกแก้พวกเลือดกำเดาไหลจากอากาศหนาวแห้ง
: เสื้อกันหนาวดีๆสักตัว+พวก Heat tech , Long john ใส่แล้วจะไม่รู้สึกหนาวจนเกินไป แต่ถ้าไม่ใส่ก็ยังทนไหวอยู่นะ (เฉพาะ กรณีฤดูร้อนของที่นี่นะ) เน้นเอาไว้ใส่ตอนผ่านพวก pass ต่างๆ เช่น Khardung la pass , นอนนอกเมือง เช่น Nubra Valley , Pangong lake พวกนี้หนาวจริงจัง
: ทิชชู่เปียก ทิชชู่ ทุกทริปควรมีไว้จริงๆ [ เช็ดมือ , เข้าห้องน้ำสาธารณะที่ไม่มีทิชชู่ ]
: ปากแห้งใช้วาสลีน และ ผิวแห้ง ใช้ครีมทาให้ชุ่มชื้น เพราะตอนแรกผมก็คิดว่าไม่เป็นอะไร เลยไม่ได้ทา แต่พอช่วงท้ายของทริป หน้าลอกมากถึงมากที่สุด กลับมาไทย 2 สัปดาห์แหน่ะกว่าจะหายดีขึ้น
: รองเท้าที่สามารถเดินไกลๆ เน้นๆที่ใส่สบายๆพร้อมเปื้อน พร้อมลุยปีนเขา (เดินขึ้นภูเขาที่เป็นดิน)
: การเดินทางที่เลห์ ใช้การเดินเป็นส่วนใหญ่ และมี Taxiบ้าง ถ้าจะเช่ารถก็มีให้เช่าทั้งรถธรรมดา และรถRoyal Enfieldนั่นแหละ แต่ส่วนตัวผมมองว่าถ้าไม่ได้มี Passion ที่จะขับ Royal Enfield จริงๆ เดินเอาดีกว่าเพราะตัว Leh เมืองมันใหญ่ซับซ้อน ทางรถก็เล็ก อีกทั้งการจราจรยุ่งยากและวุ่นวายพอสมควรเลย
การทำVisa ประเทศอินเดีย
Visaของอินเดีย ระยะเวลาดำเนินการเร็วมาก สามารถทำได้ก่อนเดินทางอย่างน้อยที่สุด 4 วัน แนะนำให้ทำช่วง 20-30 วันก่อนการเดินทางครับ โดยที่ Visa มีอายุ 60 วัน นับจากการเดินทางเข้าอินเดียครั้งแรกครับ
1.เข้าตามเว็บนี้ https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html#
2.จากนั้นเข้า Tab e-Visa application
3.กรอกข้อมูล โดยที่รูปถ่ายตัวเอง หรือ passport สามารถถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือได้เลย ไม่ต้องห่วงเรื่องขนาดภาพ เพราะถ่ายมาแล้วทางเว็บไซต์เวลา insert รูปไป ถ้าขนาดไม่ตรงทางเว็บจะมีการ Crop ให้เลือกใช้ได้
4.จ่ายค่าดำเนินการทั้งหมดคือประมาณ 1700 บาท พอทุกอย่างเสร็จแล้วจากนั้นจะมีอีเมล์ยืนยันมา
5.แล้วอีกไม่เกิน 3 วัน ข้อมูลก็จะขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
6.เมื่อข้อมูลมาแล้ว ให้เข้าเว็บเดิม https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html#
7.ให้กดที่ Tab Print Visa Application และ Tab Visa Status ปรินท์ทั้ง 2 tab นี้ออกมา แค่นี้ก็เสร็จสมบูรณ์
*โดย Visa ที่ได้จะเป็นแบบ Double Entries ถึง Delhi ไปเข้าที่ช่อง Visa on arrival (e-Visa) และ Visa นี้สามารถใช้เข้า Leh ได้เลย ไม่มีปัญหาแน่นวลล
การวางแผน
ให้ดูข้อมูลของแต่ละที่ก็พอ จริงๆเที่ยวที่เลห์อาจจะมีทางเลือกให้ไม่มาก เพราะที่เที่ยวมันค่อนข้างไกล เลยต้องจ้างรถไป ให้ที่พักเขาจ้างรถทำเรื่องให้ ทางที่พักเขามีจัดแผนการเที่ยวให้แล้วว่าที่ไหนบ้างที่อยู่ทางเดียวกันต้องไปด้วยกัน ทริปเลยถูกกำหนดด้วยคนขับรถเป็นหลัก555 เน้นให้หาคนขับใจดี เป็นกันเอง พูดเก่งเป็นหลัก ไม่ต่างอะไรกับซื้อทัวร์หรอก แต่ดีตรงที่เราคุมเวลาของเราเองได้ อยากอยู่ตรงไหนนานก็อยู่ คุมเวลาออกเดินทางได้อะไรได้
//ขายของหน่อย อันนี้คนขับผมนะ คุณสมบัติครบถ้วน ไม่ผิดหวังแน่นอน ชื่อ Angchok tang เบอร์โทร 9469733355 , 9622049019 ลองดูนะๆ
ตัวอย่างทริปการวางแผน