
Leh trip diary ( มิถุนายน 2561 : Summer season )
บันทึกการเดินทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย ครั้งนี้จะไปกันที่เมืองLeh ในแคว้นLadakh โดยผมจะแบ่งเป็น 6 part สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือ อยากติดตาม part ไหน รูปเยอะมั่กๆ สามารถติดตามได้ตามนี้เลยยย
0.เรื่องทั่วไปๆก่อนออกเดินทาง (เช่น ข้อมูลสำคัญ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย) :
https://pantip.com/topic/38453605
1.การเดินทางวันที่ 1 - 2 ( BKK - Delhi - Leh ) :
https://pantip.com/topic/38453667
2.การเดินทางวันที่ 3 - 4 ( Leh - Southeast side trip - Nubra valley ) :
https://pantip.com/topic/38453888
3.การเดินทางวันที่ 5 - 6 ( Nubra valley - Pangong lake - Leh ) :
https://pantip.com/topic/38454110
4.การเดินทางวันที่ 7 - 8 (Leh - Leh - West side trip) :
https://pantip.com/topic/38455237
5.การเดินทางวันที่ 9 - 10 (Leh - Delhi - BKK) :
https://pantip.com/topic/38455304
Part 1
Day 1 ( BKK - Delhi )

*ปล.วันแรกไม่ค่อยมีรูปเท่าไรน้าา ส่วนใหญ่ของวันนี้จะเป็นกล้องมือถือเป็นหลัก บรรยากาศมันไม่ค่อยน่าไว้ใจต่อการเอากล้องออกมาถ่ายอ่ะ วันนี้ไม่ค่อยได้ทำอะไรมากเท่าไรในเดลี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่า หลักๆการเที่ยวในเดลีอยู่ในวันสุดท้ายครับ อ่านก็ได้อรรถรส ได้ข้อคิดหลายมุมในการเที่ยวที่นี่ ใครที่อยากอ่านเกี่ยวกับเมืองเลห์อยู่ในวันที่ 2 ครับ*
วันที่ 16 มิ.ย. 61 วันนี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นเต้นมาก เพราะผมจะได้ออกเดินทางอีกครั้งนึง ครั้งนี้ผมแทบไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย ถือว่าน้อยมาก เพราะมัวแต่ยุ่งกับการสอบ และการทำกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย กว่าจะเสร็จกิจกรรมก็1ทุ่มของวันที่ต้องเดินทางแหนะ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างกับครั้งอื่นตรงที่ผมไม่ได้ไปกับทัวร์หรือพ่อแม่แล้ว แต่ครั้งนี้ผมเดินทางไปกันเองกับเพื่อนรวมแล้ว 2 คน แบบชาว Backpacker *อันนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ อันนี้แอบเอามาจากสตอรี่ไอจี555

ผมมีความฝันมานานแล้วว่าอยากจะลองสะพายกระเป๋า Backpack แล้วออกไปลุยๆให้ได้อย่างน้อยสักครั้งในชีวิตนี้ก็ยังดี5555 วันนี้มันเป็นจริงแล้ว ตื่นเต้นๆ วันแรกไม่ค่อยมีอะไรมากที่ไทย ออกจากที่พักตอนเที่ยงคืน มาถึงสนามบินตอนเที่ยงคืนครึ่ง เผื่อเวลาไว้ก่อนรอขึ้นเครื่องสัก3ชั่วโมง พอเครื่องเริ่มออก ตื่นเต้นมากๆแต่ไม่นานผมก็ต้องแพ้ให้กับความเหนื่อยล้าจากช่วงนี้อยู่ดีเลยเผลอหลับไป555 พอรู้สึกตัวอีกที ผมก็มาโผล่อยู่บนน่านฟ้าเหนือกรุงนิวเดลีแล้ว ตอนแรกที่เห็นก็ตกใจ เพราะ ยังไม่ทันได้เตรียมใจเท่าไร แบบเมื่อวานเรายังทำงานอยู่เลย แปปเดียวโผล่มานี่ได้ไงเนี่ย555 ภาพที่เห็นจากข้างบนเครื่องบินมีแต่ท้องฟ้าสีน้ำตาลปกคลุมเมืองอยู่

ผมก็มองลงมาดูบ้านเมืองที่นี่เห็นดิน ทราย ฝุ่น เต็มเมืองไปหมดเลย มีช่วงนึงผมก็แอบสงสัยว่าฝุ่นพวกนี้รึป่าวที่ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาลเนี่ย ก็เลยเก็บคำถามนี้ไว้ แล้วค่อยลงมาดูอีกทีละกันว่าเป็นอะไร
พอลงมาจากเครื่อง ต้องเดินไกลหน่อยนะ ทางยาวพอๆกับที่สนามบินสุวรรณภูมิเลย ระหว่างทางผมก็ตั้งใจแวะเข้าห้องน้ำที่นี่เลย เพราะห้องน้ำที่สนามบินมีเอกลักษณ์มาก คือไม่มีป้ายที่เขียนบอกว่าเป็นห้องน้ำชายหรือหญิง แต่ใช้เป็นรูปแสดงให้ดูแทน ก็แอบงงๆตกใจ ไหนป้าย คนไหนชายหญิง แอบดูยากนิดนึง555
ถ้าโอกาสมาที่นี่ก็ลองเข้ามาดูกัน แล้วผมก็เดินต่อมาที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ที่เรียกกันนั่นแหละ ให้ไปที่ช่อง e-Visa (Visa on arrival) โดยเดินไปให้สุดทางเดิน
ตรงนั้นจะมีให้กรอกแบบฟอร์ม Immigration พอกรอกเสร็จแล้ว ก็เข้าไปยื่นได้เลย แล้วก็จะมีการสัมภาษณ์ด้วย แต่คำถามง่ายๆอ่ะและไม่เยอะด้วย อย่างของผม ถามแค่ชื่อตัวเอง ชื่อพ่อแม่ มากี่วัน มาทำอะไร ไปที่ไหนต่อ แค่นี้เอง
พอผ่านด่าน ตม. ออกมาแล้ว ก็มานั่งคิด แล้วจะทำอะไรต่อดี555 ตั้งใจจะมาเที่ยวเลห์ เลยวางแผนที่เดลีแบบหลวมๆ จริงๆก็ไม่หลวมอ่ะ เรียกว่าไม่ได้คิดเลยดีกว่า555 เพราะคิดแค่ว่าจะไปที่ไหน แต่ไม่ได้หาว่าจะไปทางไหนยังไงเลย แวบแรกสิ่งที่เข้ามาในหัวคือ เวลามันก็มีน้อยเนอะ เปิดรีวิวท่องเที่ยวดู แล้วก็เที่ยวตามคนอื่นเลยดีกว่า เร็วกว่า ผมก็เลยกะว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตหาข้อมูล ที่นี่น่าจะมีอินเทอร์เน็ตให้ใช้ เพราะสนามบินที่นี่เป็นสนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (ได้รางวัลสนามบินอันดับ 1 ตอนปี 2015) แต่สุดท้าย คือ นกจ้าาา มันมีให้ใช้นะ แต่ผมใช้ไม่ได้ ฮืออ จริงๆแล้วก็ใช้ได้แหละ แต่ทางระบบจะส่งรหัส Verify มาทาง SMS แต่ผมกะว่าจะมาเลห์เลยไม่ได้ซื้อแพคเกจอินเทอร์เน็ตหรืออะไรมาทั้งนั้น เครือข่ายเลยขึ้น No Service เลยไม่มี รับ SMS ก็เลยใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจ ว่าจะวัดใจด้นสดไปเลย มาถึงขนาดนี้ The show must go on. ก็ค่อยๆทำให้ผ่านๆไปละกัน
เริ่มจากไปเก็บกระเป๋า Backpack ใหญ่ก่อน (จะมีป้ายชี้อยู่ เดินตามไปเรื่อยๆ ป้ายเขียนว่า Luggage storage) ที่รับฝากของจะอยู่ตรงอาคารข้างๆหรือตรงข้าม Terminal 3 เป็นอาคารที่มี Metro อยู่ โดยที่รับฝากนี้จะอยู่ที่ชั้น 2 ค่าบริการของผมอยู่ใน rate น้ำหนัก Medium ( 10 -20 kg ) ราคาอยู่ที่ 120 รูปี สำหรับ 2 ชั่วโมงแรก และชั่วโมงต่อไปจะคิดชั่วโมงละ 30 รูปี โดยเขาจะให้ใบเสร็จมา ให้เก็บไว้ แล้วมายื่นตอนรับกระเป๋าคืน ตอนแรกผมก็บอกคนรับฝากไปว่าเนี่ยตอนนี้ 10 โมง กะๆไว้ผมน่าจะมาเอากระเป๋าตอน 1 ทุ่มนะ
พอฝากกระเป๋าเสร็จ ผมก็เดินลงมาที่ Metro ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของตึกเดียวกันนี่แหละ ต้องผ่านการตรวจของก่อนเข้า Metro เอากระเป๋าผ่านเครื่องแสกนเหมือนที่สนามบินเลย แถมพนักงานตรวจจริงจังไปอีก ยืนกางแขน ตรวจนานจริงจังกว่าที่คิด ตอนนี้เราอยู่กันที่ Metro สาย Airport Express สถานี IGI Airport Terminal 3 โดยผมจะไปตั้งหลักที่สถานี New Delhi station เพราะเป็นสถานีศูนย์กลาง ประมาณสยามบ้านเราแหละ น่าจะเดินทางไปไหนมาไหนง่ายหน่อย โดยค่าเดินทางไปครั้งนี้คนละ 60 รูปี

เหรียญโดยสารก็มีรูปร่างหน้าตาก็เหมือนๆของ MRT บ้านเราเลย
วิธีใช้ก็เหมือนกัน ขาเข้าแสกน ขาออกก็หยอดลงไป สถานีก็ดูเงียบสงบเหมือนกับบ้านเราตอนกลางคืนแหละ โดยที่ภายใน Metro ที่นั่งจะเป็นแถวตอนเหมือนกับเครื่องบินเลย สภาพภายในถือว่าสะอาดและดีมาก ในใจตอนนี้คือตื่นเต้นมากกก เพราะอีกไม่กี่นาที ก็จะเจออินเดียของจริงแล้ว
พอเดินออกมาจากสถานี ทีนี้แหละ บอกได้คำเดียว เรียลลิตี้ อิส นอท โอเค555 อากาศร้อน ฝุ่น และเสียง สิ่งพวกนี้รวมกันจะเป็นอินเดียที่ทุกคนเคยจินตนาการไว้แหละ โดยเฉพาะเสียงแตรนี่สุดจริง สมคำล่ำลือมาก บีบได้บีบดี บีบจนกว่าแตรจะพัง ไม่เกิน 2วินาที ต้องเจอเสียงแตรยาวๆ1ครั้งแน่นอน ฟังอาจดูเว่อร์ แต่ที่นี่บีบแตรกันว่าเล่นจริงๆ *มีvdo@เม้นด้านล่าง ส่วนฝุ่น ,มลพิษ รวมถึงขยะที่เรี่ยราด ทำให้ผมเข้าใจแล้วแหละว่าทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีน้ำตาล (ค่าpm2.5~300)

(รูปนี้คือตรงหน้าสถานีรถไฟฟ้า ตรงอื่นไม่ได้ถ่ายมาเลย คนเยอะมาก เป็นพื้นที่มีความเสี่ยง) พอเดินออกมาจากสถานี ผมเลยจะมาหาข้าวกิน เลยจะไปห้าง กินอาหารดีๆ เพราะต้องอยู่อีกตั้งหลายวัน ท้องเสียตั้งแต่วันแรกๆคงไม่ใช่เรื่องดี ปลอดภัยไว้ก่อน ผมเลยเดินไปเรื่อยๆหาห้าง ลองถามคนทั่วไปก็เดินตามที่เขาชี้ๆกัน ชี้ไปชี้มา งงเฉย555 สุดท้ายก็ไปไม่ถูก ระหว่างทางที่เดินอยู่นี่คือแบบขยะเยอะมากแบบมาก คนที่นี่เรียกว่าไม่สนใจเลยดีกว่า ทิ้งอะไรก็ทิ้ง ฉี่ตรงไหนก็ฉี่ เหม็นกลิ่นฉี่ตลอดทางแบบตลอดทางจริงๆ โหถ้าจะเยอะขนาดนี้555 ต้องกลั้นหายใจเดินอ่ะ จากนั้น เดินไปเรื่อยๆ ตามข้างทางที่เดินก็จะมีขายข้าว เหมือนข้าวราดแกง แต่มีแกงให้เลือกแค่ 2 อย่าง ส่วนใหญ่เห็นคนที่นี่ เขาใช้มือเปล่ากินข้าว กินกันทั้งสภาพอย่างงี้แหละ แถมยัง มีน้ำมะนาวขายด้วย เป็นแบบใช้แก้วส่วนกลาง กินแก้วเดียวกับคนอื่นนั่นแหละ เติมกินเติมกินได้เลย ราคาแก้วละ 2รูปี หรือ 1บาทเอง ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะถูกมาก555

ตอนที่ผมเดินไปเดินมา ไม่ค่อยจะเห็น taxi เลยนะ ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ รถเมล์ ,Tuktuk และ จักรยานสามล้อ ได้แต่เดินไปเรื่อยๆแบบไม่ค่อยมีจุดหมาย แล้วจู่ๆก็มีจักรยานสามล้อคันนึง เดินมาถามว่าจะไปไหน ผมพูดภาษาอังกฤษบอกไปว่าผมจะไป Mall เขาฟังผมไม่รู้เรื่อง พอผมบอก Shopping ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี พยายามจะโบ้เบ้ให้ไปนู่นไปนี่ ดูท่าแล้วคนนี้ไม่น่าจะรู้ภาษาอังกฤษอ่ะ อารมณ์จำมาแต่ Keyword ต่อให้เราพูดคำอื่นยังไง ก็จะหาคำที่ตัวเขาเองรู้จักมาบอกเรา แล้วจะพาเราไปในที่ที่เป็นคำ Keyword นั่นแหละ5555 แล้วสุดท้ายก็ทำเป็นรู้จัก เออ ออ พาไปถึงที่ไหนก็ไม่รู้ พามาผิดอีก เห้อ555 ก็เลยให้ขับต่อไปเรื่อยๆ นั่งชมเมืองไป ละคอยดูซิว่าจะพาไปไหน
จนเขาก็พามาจอดสักที่นึง เขาก็พยายามมาถามผมว่าจะไปที่ไหนกันแน่ เถียงกันไปมา ระหว่างที่เถียงกัน จู่ๆก็มี Tuktuk มาถามเป็นภาษาอังกฤษว่าจะไปไหน ผมเลยรีบลงออกจากสามล้อเลย ทนไม่ไหวแล้วจ้า ไม่รู้ภาษาแต่ดันมารับชาวต่างชาติ ณ จุดนี้ไม่รู้จะโกรธเขาหรือสงสารตัวเองดี555 แต่คนขับ Tuktuk คนนี้รู้ภาษาอังกฤษ พอผมบอกไปว่า จะไป Mall big big อ่ะ เขาก็รู้จักแหละ คำว่า Mall เนี่ย แต่ Mall ของเขามันไม่ใช่สิ่งเดียวกับบ้านเราอ่ะดิ อารมณ์แบบคำคำเดียวกันแต่ประเทศเราเขามันไม่ใช่อย่างเดียวกันอ่ะ เขาเลยไม่เข้าใจว่าผมต้องการจะไปสถานที่แบบไหน เขาก็ทำเป็นรู้เรื่อง แล้วก็เลยพาไปไหนก็ไม่รู้555 ผมเลยบอกว่า Brandname ลุงบอกว่า “ Ok ลุงพาไปได้ แต่วันนี้ร้านแถวนั้นมันปิดนะ ” ผมก็เลยตอบว่าไม่เป็นไร ผมอยากไป ระหว่างทางลุงก็ถามพวกผมไปเรื่อย ว่าเป็นใคร มาจากไหน แล้วสุดท้ายก็มาจบด้วยคำถามว่า Do you have a girlfriend ? ตอนแรกก็งงว่าจะถามทำไม5555 ผมเลยตอบไปว่าไม่มี ลุงไม่เชื่อ จีบใครยังไม่เป็นเลย จะให้ไปมีได้ยังไงละ แล้วผมก็ยังไม่ทันถามลุงกลับ ลุงก็บอกมาว่า ไม่ต้องถามลุง ลุงอยากบอก เนี่ย ลุงมีเมีย 3 คน เมียหลวงคนนึง จริงจังป่ะเนี่ยลุง แบบนี้ก็อวดได้หรอ5555 ผมเลยถามกลับไปว่า เมียลุงไม่ว่าหรอ ลุงก็เลยตอบว่า ถ้าหาเงินให้เลี้ยง 3 คนได้ ก็มีได้ เมียไม่ว่า เอาหว่ะ ลุงโคตรของจริง พ่อบ้านใจโคตรกล้า

เวลาผ่านไป ลุงก็ขับรถไปสุดท้ายก้พาไปเจอ Brandname จริง แต่ของเขาไม่ใช่ห้างอ่ะ จะคล้ายกับที่ยุโรปที่จะเป็นร้าน 2 ข้างทาง บวกกับโชคไม่ดี เพราะไปตรงกับช่วง Muslim festival ชาวมุสลิมที่เป็นพนักงาน เขาก็จะหยุดกัน ร้านส่วนใหญ่เลยปิดหมด (ตอนหลังผมรู้มาละว่าถ้าจะมาตรงนี้เป็นย่านของแพงให้บอกว่า Central park เน้นๆที่คำว่า Expensive เลย พามาถูกแน่นอน) พอร้านปิดหมด คราวนี้ผมเลยบอกว่าจะไป Market ลุงออกอาการงง อ่ะ Bazaar อ่ะลุง รู้จักป่าว ลุงบอกรู้จัก ของถนัดเลย สุดท้ายพาไปนู่นร้าน Souvenir ที่มีชื่อว่า Bazaar อะไรสักอย่าง มีพวกผ้าอินเดีย(ผ้าที่อินเดียมีชื่อเสียงมากๆ) แต่ยังไงก็ตาม แบบนี้ไม่เรียกว่า Bazaar นะลุง เขาบอกกับผมหลายรอบมาก ว่า “ Bazaar is good for you ” ไม่ได้หลอกให้มาซื้อของใช่ไหมเนี่ยลุง แต่คงแค่อยากให้เราได้ของดีๆกลับไปแหละมั้ง ภาษาของเรากับเขา คำคำเดียวกันกัน แต่ความหมายนี่คือสื่อถึงสิ่งคนละสิ่งเลย พูดจนเหนื่อยมากๆ
เรื่องเล่าจากลาดักห์ Backpack Leh trip Diary 10 วัน 9 คืน (มิถุนายน 2561 : Summer season) Part 1
บันทึกการเดินทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย ครั้งนี้จะไปกันที่เมืองLeh ในแคว้นLadakh โดยผมจะแบ่งเป็น 6 part สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือ อยากติดตาม part ไหน รูปเยอะมั่กๆ สามารถติดตามได้ตามนี้เลยยย
0.เรื่องทั่วไปๆก่อนออกเดินทาง (เช่น ข้อมูลสำคัญ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย) : https://pantip.com/topic/38453605
1.การเดินทางวันที่ 1 - 2 ( BKK - Delhi - Leh ) : https://pantip.com/topic/38453667
2.การเดินทางวันที่ 3 - 4 ( Leh - Southeast side trip - Nubra valley ) : https://pantip.com/topic/38453888
3.การเดินทางวันที่ 5 - 6 ( Nubra valley - Pangong lake - Leh ) : https://pantip.com/topic/38454110
4.การเดินทางวันที่ 7 - 8 (Leh - Leh - West side trip) : https://pantip.com/topic/38455237
5.การเดินทางวันที่ 9 - 10 (Leh - Delhi - BKK) : https://pantip.com/topic/38455304
Part 1
Day 1 ( BKK - Delhi )
วันที่ 16 มิ.ย. 61 วันนี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นเต้นมาก เพราะผมจะได้ออกเดินทางอีกครั้งนึง ครั้งนี้ผมแทบไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย ถือว่าน้อยมาก เพราะมัวแต่ยุ่งกับการสอบ และการทำกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย กว่าจะเสร็จกิจกรรมก็1ทุ่มของวันที่ต้องเดินทางแหนะ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างกับครั้งอื่นตรงที่ผมไม่ได้ไปกับทัวร์หรือพ่อแม่แล้ว แต่ครั้งนี้ผมเดินทางไปกันเองกับเพื่อนรวมแล้ว 2 คน แบบชาว Backpacker *อันนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ อันนี้แอบเอามาจากสตอรี่ไอจี555
พอลงมาจากเครื่อง ต้องเดินไกลหน่อยนะ ทางยาวพอๆกับที่สนามบินสุวรรณภูมิเลย ระหว่างทางผมก็ตั้งใจแวะเข้าห้องน้ำที่นี่เลย เพราะห้องน้ำที่สนามบินมีเอกลักษณ์มาก คือไม่มีป้ายที่เขียนบอกว่าเป็นห้องน้ำชายหรือหญิง แต่ใช้เป็นรูปแสดงให้ดูแทน ก็แอบงงๆตกใจ ไหนป้าย คนไหนชายหญิง แอบดูยากนิดนึง555
ถ้าโอกาสมาที่นี่ก็ลองเข้ามาดูกัน แล้วผมก็เดินต่อมาที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ที่เรียกกันนั่นแหละ ให้ไปที่ช่อง e-Visa (Visa on arrival) โดยเดินไปให้สุดทางเดิน
ตรงนั้นจะมีให้กรอกแบบฟอร์ม Immigration พอกรอกเสร็จแล้ว ก็เข้าไปยื่นได้เลย แล้วก็จะมีการสัมภาษณ์ด้วย แต่คำถามง่ายๆอ่ะและไม่เยอะด้วย อย่างของผม ถามแค่ชื่อตัวเอง ชื่อพ่อแม่ มากี่วัน มาทำอะไร ไปที่ไหนต่อ แค่นี้เอง
พอผ่านด่าน ตม. ออกมาแล้ว ก็มานั่งคิด แล้วจะทำอะไรต่อดี555 ตั้งใจจะมาเที่ยวเลห์ เลยวางแผนที่เดลีแบบหลวมๆ จริงๆก็ไม่หลวมอ่ะ เรียกว่าไม่ได้คิดเลยดีกว่า555 เพราะคิดแค่ว่าจะไปที่ไหน แต่ไม่ได้หาว่าจะไปทางไหนยังไงเลย แวบแรกสิ่งที่เข้ามาในหัวคือ เวลามันก็มีน้อยเนอะ เปิดรีวิวท่องเที่ยวดู แล้วก็เที่ยวตามคนอื่นเลยดีกว่า เร็วกว่า ผมก็เลยกะว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตหาข้อมูล ที่นี่น่าจะมีอินเทอร์เน็ตให้ใช้ เพราะสนามบินที่นี่เป็นสนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (ได้รางวัลสนามบินอันดับ 1 ตอนปี 2015) แต่สุดท้าย คือ นกจ้าาา มันมีให้ใช้นะ แต่ผมใช้ไม่ได้ ฮืออ จริงๆแล้วก็ใช้ได้แหละ แต่ทางระบบจะส่งรหัส Verify มาทาง SMS แต่ผมกะว่าจะมาเลห์เลยไม่ได้ซื้อแพคเกจอินเทอร์เน็ตหรืออะไรมาทั้งนั้น เครือข่ายเลยขึ้น No Service เลยไม่มี รับ SMS ก็เลยใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจ ว่าจะวัดใจด้นสดไปเลย มาถึงขนาดนี้ The show must go on. ก็ค่อยๆทำให้ผ่านๆไปละกัน
เริ่มจากไปเก็บกระเป๋า Backpack ใหญ่ก่อน (จะมีป้ายชี้อยู่ เดินตามไปเรื่อยๆ ป้ายเขียนว่า Luggage storage) ที่รับฝากของจะอยู่ตรงอาคารข้างๆหรือตรงข้าม Terminal 3 เป็นอาคารที่มี Metro อยู่ โดยที่รับฝากนี้จะอยู่ที่ชั้น 2 ค่าบริการของผมอยู่ใน rate น้ำหนัก Medium ( 10 -20 kg ) ราคาอยู่ที่ 120 รูปี สำหรับ 2 ชั่วโมงแรก และชั่วโมงต่อไปจะคิดชั่วโมงละ 30 รูปี โดยเขาจะให้ใบเสร็จมา ให้เก็บไว้ แล้วมายื่นตอนรับกระเป๋าคืน ตอนแรกผมก็บอกคนรับฝากไปว่าเนี่ยตอนนี้ 10 โมง กะๆไว้ผมน่าจะมาเอากระเป๋าตอน 1 ทุ่มนะ
พอฝากกระเป๋าเสร็จ ผมก็เดินลงมาที่ Metro ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของตึกเดียวกันนี่แหละ ต้องผ่านการตรวจของก่อนเข้า Metro เอากระเป๋าผ่านเครื่องแสกนเหมือนที่สนามบินเลย แถมพนักงานตรวจจริงจังไปอีก ยืนกางแขน ตรวจนานจริงจังกว่าที่คิด ตอนนี้เราอยู่กันที่ Metro สาย Airport Express สถานี IGI Airport Terminal 3 โดยผมจะไปตั้งหลักที่สถานี New Delhi station เพราะเป็นสถานีศูนย์กลาง ประมาณสยามบ้านเราแหละ น่าจะเดินทางไปไหนมาไหนง่ายหน่อย โดยค่าเดินทางไปครั้งนี้คนละ 60 รูปี
เหรียญโดยสารก็มีรูปร่างหน้าตาก็เหมือนๆของ MRT บ้านเราเลย
วิธีใช้ก็เหมือนกัน ขาเข้าแสกน ขาออกก็หยอดลงไป สถานีก็ดูเงียบสงบเหมือนกับบ้านเราตอนกลางคืนแหละ โดยที่ภายใน Metro ที่นั่งจะเป็นแถวตอนเหมือนกับเครื่องบินเลย สภาพภายในถือว่าสะอาดและดีมาก ในใจตอนนี้คือตื่นเต้นมากกก เพราะอีกไม่กี่นาที ก็จะเจออินเดียของจริงแล้ว
พอเดินออกมาจากสถานี ทีนี้แหละ บอกได้คำเดียว เรียลลิตี้ อิส นอท โอเค555 อากาศร้อน ฝุ่น และเสียง สิ่งพวกนี้รวมกันจะเป็นอินเดียที่ทุกคนเคยจินตนาการไว้แหละ โดยเฉพาะเสียงแตรนี่สุดจริง สมคำล่ำลือมาก บีบได้บีบดี บีบจนกว่าแตรจะพัง ไม่เกิน 2วินาที ต้องเจอเสียงแตรยาวๆ1ครั้งแน่นอน ฟังอาจดูเว่อร์ แต่ที่นี่บีบแตรกันว่าเล่นจริงๆ *มีvdo@เม้นด้านล่าง ส่วนฝุ่น ,มลพิษ รวมถึงขยะที่เรี่ยราด ทำให้ผมเข้าใจแล้วแหละว่าทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีน้ำตาล (ค่าpm2.5~300)
ตอนที่ผมเดินไปเดินมา ไม่ค่อยจะเห็น taxi เลยนะ ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ รถเมล์ ,Tuktuk และ จักรยานสามล้อ ได้แต่เดินไปเรื่อยๆแบบไม่ค่อยมีจุดหมาย แล้วจู่ๆก็มีจักรยานสามล้อคันนึง เดินมาถามว่าจะไปไหน ผมพูดภาษาอังกฤษบอกไปว่าผมจะไป Mall เขาฟังผมไม่รู้เรื่อง พอผมบอก Shopping ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี พยายามจะโบ้เบ้ให้ไปนู่นไปนี่ ดูท่าแล้วคนนี้ไม่น่าจะรู้ภาษาอังกฤษอ่ะ อารมณ์จำมาแต่ Keyword ต่อให้เราพูดคำอื่นยังไง ก็จะหาคำที่ตัวเขาเองรู้จักมาบอกเรา แล้วจะพาเราไปในที่ที่เป็นคำ Keyword นั่นแหละ5555 แล้วสุดท้ายก็ทำเป็นรู้จัก เออ ออ พาไปถึงที่ไหนก็ไม่รู้ พามาผิดอีก เห้อ555 ก็เลยให้ขับต่อไปเรื่อยๆ นั่งชมเมืองไป ละคอยดูซิว่าจะพาไปไหน
จนเขาก็พามาจอดสักที่นึง เขาก็พยายามมาถามผมว่าจะไปที่ไหนกันแน่ เถียงกันไปมา ระหว่างที่เถียงกัน จู่ๆก็มี Tuktuk มาถามเป็นภาษาอังกฤษว่าจะไปไหน ผมเลยรีบลงออกจากสามล้อเลย ทนไม่ไหวแล้วจ้า ไม่รู้ภาษาแต่ดันมารับชาวต่างชาติ ณ จุดนี้ไม่รู้จะโกรธเขาหรือสงสารตัวเองดี555 แต่คนขับ Tuktuk คนนี้รู้ภาษาอังกฤษ พอผมบอกไปว่า จะไป Mall big big อ่ะ เขาก็รู้จักแหละ คำว่า Mall เนี่ย แต่ Mall ของเขามันไม่ใช่สิ่งเดียวกับบ้านเราอ่ะดิ อารมณ์แบบคำคำเดียวกันแต่ประเทศเราเขามันไม่ใช่อย่างเดียวกันอ่ะ เขาเลยไม่เข้าใจว่าผมต้องการจะไปสถานที่แบบไหน เขาก็ทำเป็นรู้เรื่อง แล้วก็เลยพาไปไหนก็ไม่รู้555 ผมเลยบอกว่า Brandname ลุงบอกว่า “ Ok ลุงพาไปได้ แต่วันนี้ร้านแถวนั้นมันปิดนะ ” ผมก็เลยตอบว่าไม่เป็นไร ผมอยากไป ระหว่างทางลุงก็ถามพวกผมไปเรื่อย ว่าเป็นใคร มาจากไหน แล้วสุดท้ายก็มาจบด้วยคำถามว่า Do you have a girlfriend ? ตอนแรกก็งงว่าจะถามทำไม5555 ผมเลยตอบไปว่าไม่มี ลุงไม่เชื่อ จีบใครยังไม่เป็นเลย จะให้ไปมีได้ยังไงละ แล้วผมก็ยังไม่ทันถามลุงกลับ ลุงก็บอกมาว่า ไม่ต้องถามลุง ลุงอยากบอก เนี่ย ลุงมีเมีย 3 คน เมียหลวงคนนึง จริงจังป่ะเนี่ยลุง แบบนี้ก็อวดได้หรอ5555 ผมเลยถามกลับไปว่า เมียลุงไม่ว่าหรอ ลุงก็เลยตอบว่า ถ้าหาเงินให้เลี้ยง 3 คนได้ ก็มีได้ เมียไม่ว่า เอาหว่ะ ลุงโคตรของจริง พ่อบ้านใจโคตรกล้า