ตอนที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ 31 : ท๊อปสปีด
https://pantip.com/topic/38425420
=====================================================================================
ตอนที่ 32 : วิชาต่อสู้ของปรี
ตอนนี้ยูยะได้จัดการยักษ์วัดแจ้ง เอก ยักษ์วัดโพธิ์ บิ๊ก บุรุษสองร่าง เร และป๊อกกี้ หนึ่งในสี่ขุนพลจนแน่นิ่งไปแล้ว
แต่ทว่าขณะที่ยูยะกำลังเคลื่อนที่เข้าพิฆาตสู้คราใดต้องปราชัย เชน จักรพรรดิ ปรีก็พุ่งตัวเข้ามาช่วยเหลือเสียก่อน
ปรีได้ท้าสู้กับยูยะตัวต่อตัว โดยไม่ใช้พวกมากเข้ารุมกลุ้ม ซึ่งยูยะก็รับคำท้านั้นอย่างไม่มีปัญหา
การต่อสู้ของจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์รุ่นที่ 13 กับจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์รุ่นที่ 14 เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ปรีตั้งท่าคล้ายไม่ตั้งท่าตามแบบฉบับของตน สายตาจับจ้องมองยูยะที่อยู่เบื้องหน้าตลอด
ยูยะยังยิ้มแย้มไม่มีอาการเกรงกลัวจักรพรรดิคนปัจจุบัน แต่ก็กระโดดฟุตเวิร์คไปมาเบา ๆ แบบเทควันโดอย่างเป็นจังหวะ แถมยังมองปรีอยู่เช่นกัน
พลันยูยะสืบเท้าเข้ามาหาปรีอย่างช้า ๆ ไม่รวดเร็วเช่นเคย ปรีเองก็เช่นกัน เขาค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้คู่ต่อสู้อย่างเชื่องช้า
แต่ทำไมทั้งสองถึงเคลื่อนไหวเชื่องช้าเล่า?
เหตุที่ทั้งคู่ต้องขยับตัวช้า ๆ เพราะเป็นการเตรียมการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วยิ่งที่กำลังจะตามมา
แน่นอนว่าเมื่อถึงระยะหนึ่ง ยูยะก็พุ่งตัวเข้าใส่ทันที
การเคลื่อนไหวของยูยะรวดเร็วยิ่ง เขาส่งลูกเตะหน้าเข้าใส่ปรีหลากหลายครั้ง
แต่ปรีกลับโยกตัวหลบได้อย่างไม่ยากเย็น ทำให้ยูยะต้องเปลี่ยนเป็นเตะกลับหลังเข้าใส่เพิ่มเติมในจังหวะต่อเนื่องนั้น
เท้าของยูยะพุ่งเข้าหาปรีด้วยความเร็วสูงยิ่ง ยากที่ผู้ใดจะหลบหลีกพ้น
แต่แล้วปรีหลบหลีกลูกเตะนั้นได้อีก ยูยะจึงเพิ่มการเตะเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง ทั้งเตะหน้า เตะข้าง เตะกลับหลัง กระโดดเตะ แต่ทั้งหมดก็มิอาจกระทบถูกร่างกายปรีแม้แต่น้อย
“สุดยอด ...อย่างนี้พลาดไม่ได้” สปอร์ทแมน เจมส์ที่ถอยห่างออกมาดูการต่อสู้ของทั้งสองพูดขึ้นมา
“อืม...” เฮอมิต ใหญ่พยักหน้ารับ “ดูเหมือนว่าปรีเริ่มเอาจริงตั้งแต่แรกเลย ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่”
“เหรอ...” เสนาธิการ เจจ้องมองการต่อสู้ แล้วหันไปถามใหญ่ว่า “แต่ทำไมปรีถึงหลบลูกเตะของยูยะได้ล่ะ ขนาดป๊อกกี้ที่เร็ว ๆ ยังหลบไม่ทัน มันเร็วมากเลยนะ”
“คงเพราะสมาธิของปรี”
“สมาธิเหรอ..” เจมส์ทวนคำ “ไม่ใช่ว่าปรีเคลื่อนไหวได้เร็วไม่แพ้ยูยะหรือ?”
“ไม่ใช่หรอก ปรีเคลื่อนไหวด้วยความเร็วไม่สูงเท่ายูยะเลย แต่เขามีสมาธิที่ดีสามารถมองทันและหลบหลีกการเคลื่อนไหวที่เร็วขนาดนั้นก่อนได้”
“อืม... มิน่าล่ะ ตอนนั้นฉันถึงแพ้” เจมส์บอก “แต่มันยังไงล่ะ?”
“คงเป็นสมาธิเพียงชั่วขณะหรือที่เรียกว่าขณิกสมาธิ” คราวนี้โปรเฟสเซอร์ แจ็คช่วยเสริมบ้าง
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย “แต่ไม่รู้ว่าปรีฝึกได้อย่างไร เพราะระดับนี้มันเหนือคนทั่วไปแล้ว”
อย่างที่พวกเขาพูด ปรีไม่ได้เคลื่อนไหวรวดเร็วเท่ากับยูยะ แต่เขาก็สามารถหลบหลีกการโจมตีที่สูงยิ่งของยูยะได้
นั่นเพราะว่าปรีมีสมาธิเพียงชั่วขณะหรือขณิกสมาธิ
ขณิกสมาธิคือ สมาธิที่สามารถจับการเกิดดับอย่างรวดเร็วได้ ทำให้เวลาจิตของคน ๆ นั้นเดินได้เร็วกว่าคนปกติ ตัวอย่างเช่น เข็มตกเวลาตามความเป็นจริงอาจเป็น 1 วินาที แต่สำหรับผู้ที่มีขณิกสมาธิจะมองเห็นเข็มตกนั้นเป็นการตกอย่างช้า ๆ เวลาของตัวเองจึงนานกว่าคนทั่วไป
กล่าวคือ ถ้ายูยะสามารถเตะออกมาในเวลาจริงเสี้ยววินาที แต่ปรีสามารถมองเห็นลูกเตะนั้นเป็นหลายวินาทีได้ จึงมีเวลาพอที่จะหลบหลีกได้ทัน
ดังนั้น ขณิกสมาธิ ทำให้สติสัปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมและส่งผลไปถึงระบบประสาทไวขึ้นกว่าปกติมาก จนสามารถเห็นภาพการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เป็นสโลว์โมชั่นได้
แต่ถึงปรีจะมีขณิกสมาธิ เขาก็หาได้ฝึกฝนแบบขณิกสมาธิหรือได้ศึกษาเกี่ยวกับขณิกสมาธิเลย
ที่ปรีศึกษากลับกลายเป็นวิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ระยะทางและเวลามีค่าสัมพันธ์กัน โดยทั่วไปวัตถุที่เคลื่อนที่ตามปกติ เวลาจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเร็วที่กำหนด แต่ถ้าเป็นการเคลื่อนที่ที่มีความเร็วสูง ๆ เช่น การเดินทางของแสงที่มีความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที เวลาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความเร็วที่กำหนด ซึ่งถึงจะมองดูเร็วเท่ากัน แต่ก็ใช้เวลาแตกต่างกัน เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงตามความเร็วของผู้สังเกต โดยที่ยังเห็นความเร็วของแสงคงที่ไม่เปลี่ยน ยิ่งเคลื่อนไหวรวดเร็ว เวลาก็ยิ่งไหลช้าลงด้วย
ปรีจึงพยายามศึกษาถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้ให้เข้าใจถ่องแท้มากขึ้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ของตน
เขาได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงเรื่องนี้ในหลาย ๆ ด้าน หลายมุมมอง อย่างเช่น สังเกตดูจากลิงที่เวลามองคน ลิงมันจะเห็นคนเคลื่อนไหวช้ากว่าที่คนทั่วไปมองเห็น เพราะตาของลิงมองได้ไวกว่าปกติ หรือพวกเด็กออทิสติกที่ชอบจ้องหลอดไฟนาน ๆ เด็กพวกนี้จะเห็นการเกิดดับของแสงไฟในหลอดไฟ จึงสนใจและจ้องดู เนื่องจากหลอดไฟทั่วไปจะติด ๆ ดับ ๆ แต่ตาคนทั่วไปนั้นจะมองเห็นว่าสว่างตลอด เพราะตามองตามได้ไม่ไวพอ
ดังนั้น ปรีจึงค้นคว้าและเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งฝึกฝนให้สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่าที่ผู้อื่นเห็น ให้ตัวเองสามารถมองเห็นได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้ โดยการปรับคลื่นสมองให้อยู่ในระดับตื่นตัวต่อสิ่งเร้ามากกว่าปกติ ซึ่งมันจะสอดคล้องกับหลักของขณิกสมาธิพอดี
แต่ว่ามันก็มีผลเสียเช่นกัน ปรีมิอาจใช้สิ่งนี้ได้ในชีวิตประจำวันหรือใช้ได้บ่อยครั้ง เพราะจะทำให้สมองทำงานหนักมากขึ้นเท่าตัว จนอาจเป็นอันตรายได้
ซึ่งวิชาการต่อสู้แบบนี้มาจากการศึกษาของปรี
ปรีเป็นผู้ที่ยึดถือว่าทุกอย่างในโลกต้องศึกษา ดังนั้น การต่อสู้ของเขาก็คือ การศึกษาเช่นกัน
ย้อนกลับไปในช่วงที่ปรีท้าสู้กับยูยะในช่วงแรกก่อนที่จะเป็นจักรพรรดิ ตัวปรีขณะนั้นหาได้มีวิชาหรือศิลปะการต่อสู้ติดตัวมาแม้แต่น้อย สิ่งที่เขามีเพียงความตั้งใจและความพยายามที่จะศึกษาค้นคว้าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งในตอนนั้นการศึกษาของเขาย่อมเป็นศิลปะการต่อสู้ประเภทต่าง ๆ
แต่แม้เข้าจะศึกษาค้นคว้าและฝึกฝนเท่าใด ก็ยังไม่อาจสู้กับยูยะในช่วงนั้นได้เลย จนได้พ่ายแพ้ให้กับยูยะถึงสามครั้ง อย่างไม่สามารถโจมตียูยะได้สักครั้ง
แต่หลังจากเขาได้พบกับท่านลุง อดีตจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์รุ่นที่ 4 ทำให้เขาทราบถึงเคล็ดลับและรู้ซึ้งถึงการต่อสู้แล้ว
ท่านลุงได้บอกแก่นแท้ให้ปรีทราบว่า เหตุใดปรีแม้จะสามารถจดจำหลักการหรือทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการต่อสู้ได้ทั้งหมด แต่มิอาจฝึกฝนการต่อสู้ให้เก่งขึ้นมาได้
ซึ่งมันเป็นเพราะไม่เข้าใจถ่องแท้
ปรีได้เพียงจดจำเคล็ดและฝึกฝนอย่างไม่รู้จริง จำตามที่ได้อ่าน หาได้เข้าใจถึงเนื้อแท้ของหลักการหรือทฤษฎีที่ตนได้ศึกษามา
ท่านลุงได้พูดกับปรีว่า
“การต่อสู้ก็คือ ธรรมชาติ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็ต้องต่อสู้ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต หากเจ้าไม่รู้ซึ้งถึงธรรมชาติของมัน ก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่รู้จักแต่ทำตามข้อมูลที่ป้อนลงไป”
เมื่อปรีได้ยินเช่นนั้น จึงรู้ตัวว่าต้องทำสิ่งใด เขาหยุดการท่องจำหลักการ ทฤษฎี หรือกระบวนท่าของการต่อสู้ เปลี่ยนมาศึกษาและทำความเข้าใจกับมันแทน
ซึ่งไม่เพียงศึกษาเฉพาะการต่อสู้เท่านั้น เขายังนำสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมาประยุกต์ใช้ด้วยความเข้าใจจนสามารถพัฒนาเป็นการต่อสู้ของตัวเองได้
วิชาการต่อสู้ของปรีจึงไม่ใช่เทควันโด ยูโด คาราเต้ มวยไทย หรือคาโปเอร่า แต่เป็นการต่อสู้แบบฉบับตัวเอง
ศิลปะการต่อสู้แบบปรี
ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้การศึกษาและเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนำมาประยุกต์ในการต่อสู้
ด้วยเหตุนี้ตอนสู้กับสปอร์ทแมน เจมส์ ปรีถึงสามารถนำหมัดสองนิ้วของสู้คราใดต้องปราชัย เชนมาใช้ได้ เพราะว่าเข้าใจถึงท่านี้และเคยต่อสู้กับเชนมาแล้วตอนก่อนที่เป็นจักรพรรดิ
(มีต่อครับ)
TWO TOP สองอันตราย - [บทความวุ่นวายในประจิม] - ตอนที่ 32 : วิชาต่อสู้ของปรี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
=====================================================================================
ตอนที่ 32 : วิชาต่อสู้ของปรี
ตอนนี้ยูยะได้จัดการยักษ์วัดแจ้ง เอก ยักษ์วัดโพธิ์ บิ๊ก บุรุษสองร่าง เร และป๊อกกี้ หนึ่งในสี่ขุนพลจนแน่นิ่งไปแล้ว
แต่ทว่าขณะที่ยูยะกำลังเคลื่อนที่เข้าพิฆาตสู้คราใดต้องปราชัย เชน จักรพรรดิ ปรีก็พุ่งตัวเข้ามาช่วยเหลือเสียก่อน
ปรีได้ท้าสู้กับยูยะตัวต่อตัว โดยไม่ใช้พวกมากเข้ารุมกลุ้ม ซึ่งยูยะก็รับคำท้านั้นอย่างไม่มีปัญหา
การต่อสู้ของจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์รุ่นที่ 13 กับจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์รุ่นที่ 14 เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ปรีตั้งท่าคล้ายไม่ตั้งท่าตามแบบฉบับของตน สายตาจับจ้องมองยูยะที่อยู่เบื้องหน้าตลอด
ยูยะยังยิ้มแย้มไม่มีอาการเกรงกลัวจักรพรรดิคนปัจจุบัน แต่ก็กระโดดฟุตเวิร์คไปมาเบา ๆ แบบเทควันโดอย่างเป็นจังหวะ แถมยังมองปรีอยู่เช่นกัน
พลันยูยะสืบเท้าเข้ามาหาปรีอย่างช้า ๆ ไม่รวดเร็วเช่นเคย ปรีเองก็เช่นกัน เขาค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้คู่ต่อสู้อย่างเชื่องช้า
แต่ทำไมทั้งสองถึงเคลื่อนไหวเชื่องช้าเล่า?
เหตุที่ทั้งคู่ต้องขยับตัวช้า ๆ เพราะเป็นการเตรียมการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วยิ่งที่กำลังจะตามมา
แน่นอนว่าเมื่อถึงระยะหนึ่ง ยูยะก็พุ่งตัวเข้าใส่ทันที
การเคลื่อนไหวของยูยะรวดเร็วยิ่ง เขาส่งลูกเตะหน้าเข้าใส่ปรีหลากหลายครั้ง
แต่ปรีกลับโยกตัวหลบได้อย่างไม่ยากเย็น ทำให้ยูยะต้องเปลี่ยนเป็นเตะกลับหลังเข้าใส่เพิ่มเติมในจังหวะต่อเนื่องนั้น
เท้าของยูยะพุ่งเข้าหาปรีด้วยความเร็วสูงยิ่ง ยากที่ผู้ใดจะหลบหลีกพ้น
แต่แล้วปรีหลบหลีกลูกเตะนั้นได้อีก ยูยะจึงเพิ่มการเตะเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง ทั้งเตะหน้า เตะข้าง เตะกลับหลัง กระโดดเตะ แต่ทั้งหมดก็มิอาจกระทบถูกร่างกายปรีแม้แต่น้อย
“สุดยอด ...อย่างนี้พลาดไม่ได้” สปอร์ทแมน เจมส์ที่ถอยห่างออกมาดูการต่อสู้ของทั้งสองพูดขึ้นมา
“อืม...” เฮอมิต ใหญ่พยักหน้ารับ “ดูเหมือนว่าปรีเริ่มเอาจริงตั้งแต่แรกเลย ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่”
“เหรอ...” เสนาธิการ เจจ้องมองการต่อสู้ แล้วหันไปถามใหญ่ว่า “แต่ทำไมปรีถึงหลบลูกเตะของยูยะได้ล่ะ ขนาดป๊อกกี้ที่เร็ว ๆ ยังหลบไม่ทัน มันเร็วมากเลยนะ”
“คงเพราะสมาธิของปรี”
“สมาธิเหรอ..” เจมส์ทวนคำ “ไม่ใช่ว่าปรีเคลื่อนไหวได้เร็วไม่แพ้ยูยะหรือ?”
“ไม่ใช่หรอก ปรีเคลื่อนไหวด้วยความเร็วไม่สูงเท่ายูยะเลย แต่เขามีสมาธิที่ดีสามารถมองทันและหลบหลีกการเคลื่อนไหวที่เร็วขนาดนั้นก่อนได้”
“อืม... มิน่าล่ะ ตอนนั้นฉันถึงแพ้” เจมส์บอก “แต่มันยังไงล่ะ?”
“คงเป็นสมาธิเพียงชั่วขณะหรือที่เรียกว่าขณิกสมาธิ” คราวนี้โปรเฟสเซอร์ แจ็คช่วยเสริมบ้าง
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย “แต่ไม่รู้ว่าปรีฝึกได้อย่างไร เพราะระดับนี้มันเหนือคนทั่วไปแล้ว”
อย่างที่พวกเขาพูด ปรีไม่ได้เคลื่อนไหวรวดเร็วเท่ากับยูยะ แต่เขาก็สามารถหลบหลีกการโจมตีที่สูงยิ่งของยูยะได้
นั่นเพราะว่าปรีมีสมาธิเพียงชั่วขณะหรือขณิกสมาธิ
ขณิกสมาธิคือ สมาธิที่สามารถจับการเกิดดับอย่างรวดเร็วได้ ทำให้เวลาจิตของคน ๆ นั้นเดินได้เร็วกว่าคนปกติ ตัวอย่างเช่น เข็มตกเวลาตามความเป็นจริงอาจเป็น 1 วินาที แต่สำหรับผู้ที่มีขณิกสมาธิจะมองเห็นเข็มตกนั้นเป็นการตกอย่างช้า ๆ เวลาของตัวเองจึงนานกว่าคนทั่วไป
กล่าวคือ ถ้ายูยะสามารถเตะออกมาในเวลาจริงเสี้ยววินาที แต่ปรีสามารถมองเห็นลูกเตะนั้นเป็นหลายวินาทีได้ จึงมีเวลาพอที่จะหลบหลีกได้ทัน
ดังนั้น ขณิกสมาธิ ทำให้สติสัปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมและส่งผลไปถึงระบบประสาทไวขึ้นกว่าปกติมาก จนสามารถเห็นภาพการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เป็นสโลว์โมชั่นได้
แต่ถึงปรีจะมีขณิกสมาธิ เขาก็หาได้ฝึกฝนแบบขณิกสมาธิหรือได้ศึกษาเกี่ยวกับขณิกสมาธิเลย
ที่ปรีศึกษากลับกลายเป็นวิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ระยะทางและเวลามีค่าสัมพันธ์กัน โดยทั่วไปวัตถุที่เคลื่อนที่ตามปกติ เวลาจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเร็วที่กำหนด แต่ถ้าเป็นการเคลื่อนที่ที่มีความเร็วสูง ๆ เช่น การเดินทางของแสงที่มีความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที เวลาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความเร็วที่กำหนด ซึ่งถึงจะมองดูเร็วเท่ากัน แต่ก็ใช้เวลาแตกต่างกัน เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงตามความเร็วของผู้สังเกต โดยที่ยังเห็นความเร็วของแสงคงที่ไม่เปลี่ยน ยิ่งเคลื่อนไหวรวดเร็ว เวลาก็ยิ่งไหลช้าลงด้วย
ปรีจึงพยายามศึกษาถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้ให้เข้าใจถ่องแท้มากขึ้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ของตน
เขาได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงเรื่องนี้ในหลาย ๆ ด้าน หลายมุมมอง อย่างเช่น สังเกตดูจากลิงที่เวลามองคน ลิงมันจะเห็นคนเคลื่อนไหวช้ากว่าที่คนทั่วไปมองเห็น เพราะตาของลิงมองได้ไวกว่าปกติ หรือพวกเด็กออทิสติกที่ชอบจ้องหลอดไฟนาน ๆ เด็กพวกนี้จะเห็นการเกิดดับของแสงไฟในหลอดไฟ จึงสนใจและจ้องดู เนื่องจากหลอดไฟทั่วไปจะติด ๆ ดับ ๆ แต่ตาคนทั่วไปนั้นจะมองเห็นว่าสว่างตลอด เพราะตามองตามได้ไม่ไวพอ
ดังนั้น ปรีจึงค้นคว้าและเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งฝึกฝนให้สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่าที่ผู้อื่นเห็น ให้ตัวเองสามารถมองเห็นได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้ โดยการปรับคลื่นสมองให้อยู่ในระดับตื่นตัวต่อสิ่งเร้ามากกว่าปกติ ซึ่งมันจะสอดคล้องกับหลักของขณิกสมาธิพอดี
แต่ว่ามันก็มีผลเสียเช่นกัน ปรีมิอาจใช้สิ่งนี้ได้ในชีวิตประจำวันหรือใช้ได้บ่อยครั้ง เพราะจะทำให้สมองทำงานหนักมากขึ้นเท่าตัว จนอาจเป็นอันตรายได้
ซึ่งวิชาการต่อสู้แบบนี้มาจากการศึกษาของปรี
ปรีเป็นผู้ที่ยึดถือว่าทุกอย่างในโลกต้องศึกษา ดังนั้น การต่อสู้ของเขาก็คือ การศึกษาเช่นกัน
ย้อนกลับไปในช่วงที่ปรีท้าสู้กับยูยะในช่วงแรกก่อนที่จะเป็นจักรพรรดิ ตัวปรีขณะนั้นหาได้มีวิชาหรือศิลปะการต่อสู้ติดตัวมาแม้แต่น้อย สิ่งที่เขามีเพียงความตั้งใจและความพยายามที่จะศึกษาค้นคว้าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งในตอนนั้นการศึกษาของเขาย่อมเป็นศิลปะการต่อสู้ประเภทต่าง ๆ
แต่แม้เข้าจะศึกษาค้นคว้าและฝึกฝนเท่าใด ก็ยังไม่อาจสู้กับยูยะในช่วงนั้นได้เลย จนได้พ่ายแพ้ให้กับยูยะถึงสามครั้ง อย่างไม่สามารถโจมตียูยะได้สักครั้ง
แต่หลังจากเขาได้พบกับท่านลุง อดีตจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์รุ่นที่ 4 ทำให้เขาทราบถึงเคล็ดลับและรู้ซึ้งถึงการต่อสู้แล้ว
ท่านลุงได้บอกแก่นแท้ให้ปรีทราบว่า เหตุใดปรีแม้จะสามารถจดจำหลักการหรือทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการต่อสู้ได้ทั้งหมด แต่มิอาจฝึกฝนการต่อสู้ให้เก่งขึ้นมาได้
ซึ่งมันเป็นเพราะไม่เข้าใจถ่องแท้
ปรีได้เพียงจดจำเคล็ดและฝึกฝนอย่างไม่รู้จริง จำตามที่ได้อ่าน หาได้เข้าใจถึงเนื้อแท้ของหลักการหรือทฤษฎีที่ตนได้ศึกษามา
ท่านลุงได้พูดกับปรีว่า
“การต่อสู้ก็คือ ธรรมชาติ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็ต้องต่อสู้ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต หากเจ้าไม่รู้ซึ้งถึงธรรมชาติของมัน ก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่รู้จักแต่ทำตามข้อมูลที่ป้อนลงไป”
เมื่อปรีได้ยินเช่นนั้น จึงรู้ตัวว่าต้องทำสิ่งใด เขาหยุดการท่องจำหลักการ ทฤษฎี หรือกระบวนท่าของการต่อสู้ เปลี่ยนมาศึกษาและทำความเข้าใจกับมันแทน
ซึ่งไม่เพียงศึกษาเฉพาะการต่อสู้เท่านั้น เขายังนำสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมาประยุกต์ใช้ด้วยความเข้าใจจนสามารถพัฒนาเป็นการต่อสู้ของตัวเองได้
วิชาการต่อสู้ของปรีจึงไม่ใช่เทควันโด ยูโด คาราเต้ มวยไทย หรือคาโปเอร่า แต่เป็นการต่อสู้แบบฉบับตัวเอง
ศิลปะการต่อสู้แบบปรี
ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้การศึกษาและเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนำมาประยุกต์ในการต่อสู้
ด้วยเหตุนี้ตอนสู้กับสปอร์ทแมน เจมส์ ปรีถึงสามารถนำหมัดสองนิ้วของสู้คราใดต้องปราชัย เชนมาใช้ได้ เพราะว่าเข้าใจถึงท่านี้และเคยต่อสู้กับเชนมาแล้วตอนก่อนที่เป็นจักรพรรดิ
(มีต่อครับ)