เราไปเจอบทความนี้มาจากในเฟสบุ๊ค ตอนอกหักอ่านแล้วทำให้รู้สึกดีขึ้น อยากมาแบ่งปันให้คนอื่นได้อ่าน ใครเคยอ่านแล้วต้องขอโทษด้วยนะคะ
"ฉันชอบว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไปหาคนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะข้ามสะพานมาหาฉัน"
เป็นประโยคที่ผมไปเจอมาจากการรีทวิต แต่หาที่มาของคนเขียนไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยครับ
แต่สิ่งที่เห็นจากประโยคนี้คือ
ความพยายามมันไม่เท่ากัน
และการเห็นคุณค่ามันต่างกัน
คนที่คุยกับเราเฉพาะตอนที่เขาว่าง
กับคนที่พยายามหาเวลาว่างเพื่อมาคุยกับเรา
แตกต่างกันครับ
คนประเภทแรก จะโผล่มาเป็นพักๆ
เหมือนเรานอนอยู่กลางทะเลทรายกำลังจะขาดน้ำตาย
แล้วก็มีคนยื่นน้ำให้เราแก้วหนึ่งดื่ม
ให้เรารอดตายจากความทุรนทุราย
แล้วก็รอคอยที่จะได้กินน้ำแก้วนั้นอีก
เพราะเสพติดความสดชื่นที่ได้ดื่มดับความกระหาย
แต่มันแค่ต่อเวลา ต่อชีวิตไปเรื่อยๆ
ไม่เคยเติมเต็ม
คนประเภทที่สองเป็นคนที่โผล่เข้ามา
แล้วเราสัมผัสได้ง่ายๆ
ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องไปปรึกษาเพื่อน
ว่าเขาทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง
แต่เรารู้ได้เลยว่าเราอยู่กับคนนี้แล้วเราสดชื่น
เขาแสดงความจริงใจกับเราไม่ต้องตีความ
เขาทำให้เราเห็นว่าเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา
เราไม่ต้องคอยทุรนทุรายว่าเขาจะหยิบยื่นน้ำแก้วใหม่ให้เราหรือเปล่า
เรารู้สึกได้ว่ามันเติมเต็ม
คอยแต่วิ่งตามกับได้พบเจอ
ความรู้สึกที่ได้กลับมามันแตกต่างกัน
ถ้าเราต้องคอยแต่วิ่งตามความรักอยู่เรื่อยไป
จนเหน็ดเหนื่อยกับมันมากมาย
นั่นอาจไม่ใช่ความรักแล้ว
มันแค่การออกกำลังกาย
มันแค่การเบิร์นไขมัน
ถ้าเราต้องเป็นฝ่ายร้องไห้ อยู่กับความรู้สึกทุรนทุราย
มันเป็นความรักแบบที่เราอยากได้จริงๆ เหรอ
มันสร้างความสุขใจให้เราจริงๆ เหรอ
คนที่เขาไม่เห็นค่าเรา
ต่อให้เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไป
แล้ววิ่งจากชายฝั่งไปอีก 50 กิโลเมตร
ปีนขึ้นเทือกเขาไป จนไปถึงหน้าบ้านเขา
เขาก็ปิดประตูใส่หน้าเราอยู่ดี
ทุกวันนี้เรากำลังทำอย่างนี้อยู่หรือเปล่า
เก็บพลังงานชีวิตเราไว้สำหรับคนอื่นเถอะ
เก็บแรงเราเอาไว้บ้าง
บางทีเราต้องใช้มันเพื่อว่ายน้ำกลับบ้านนะ
คนที่ใช่จะไม่ทำให้เราทุรนทุราย
และรู้สึกเปล่าประโยชน์
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจอปัญหาเดียวกัน ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอค่ะ
It was over and somehow my broken heart still found a way to beat.
ฉันชอบว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไปหาคนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะข้ามสะพานมาหาฉัน
"ฉันชอบว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไปหาคนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะข้ามสะพานมาหาฉัน"
เป็นประโยคที่ผมไปเจอมาจากการรีทวิต แต่หาที่มาของคนเขียนไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยครับ
แต่สิ่งที่เห็นจากประโยคนี้คือ
ความพยายามมันไม่เท่ากัน
และการเห็นคุณค่ามันต่างกัน
คนที่คุยกับเราเฉพาะตอนที่เขาว่าง
กับคนที่พยายามหาเวลาว่างเพื่อมาคุยกับเรา
แตกต่างกันครับ
คนประเภทแรก จะโผล่มาเป็นพักๆ
เหมือนเรานอนอยู่กลางทะเลทรายกำลังจะขาดน้ำตาย
แล้วก็มีคนยื่นน้ำให้เราแก้วหนึ่งดื่ม
ให้เรารอดตายจากความทุรนทุราย
แล้วก็รอคอยที่จะได้กินน้ำแก้วนั้นอีก
เพราะเสพติดความสดชื่นที่ได้ดื่มดับความกระหาย
แต่มันแค่ต่อเวลา ต่อชีวิตไปเรื่อยๆ
ไม่เคยเติมเต็ม
คนประเภทที่สองเป็นคนที่โผล่เข้ามา
แล้วเราสัมผัสได้ง่ายๆ
ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องไปปรึกษาเพื่อน
ว่าเขาทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง
แต่เรารู้ได้เลยว่าเราอยู่กับคนนี้แล้วเราสดชื่น
เขาแสดงความจริงใจกับเราไม่ต้องตีความ
เขาทำให้เราเห็นว่าเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา
เราไม่ต้องคอยทุรนทุรายว่าเขาจะหยิบยื่นน้ำแก้วใหม่ให้เราหรือเปล่า
เรารู้สึกได้ว่ามันเติมเต็ม
คอยแต่วิ่งตามกับได้พบเจอ
ความรู้สึกที่ได้กลับมามันแตกต่างกัน
ถ้าเราต้องคอยแต่วิ่งตามความรักอยู่เรื่อยไป
จนเหน็ดเหนื่อยกับมันมากมาย
นั่นอาจไม่ใช่ความรักแล้ว
มันแค่การออกกำลังกาย
มันแค่การเบิร์นไขมัน
ถ้าเราต้องเป็นฝ่ายร้องไห้ อยู่กับความรู้สึกทุรนทุราย
มันเป็นความรักแบบที่เราอยากได้จริงๆ เหรอ
มันสร้างความสุขใจให้เราจริงๆ เหรอ
คนที่เขาไม่เห็นค่าเรา
ต่อให้เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไป
แล้ววิ่งจากชายฝั่งไปอีก 50 กิโลเมตร
ปีนขึ้นเทือกเขาไป จนไปถึงหน้าบ้านเขา
เขาก็ปิดประตูใส่หน้าเราอยู่ดี
ทุกวันนี้เรากำลังทำอย่างนี้อยู่หรือเปล่า
เก็บพลังงานชีวิตเราไว้สำหรับคนอื่นเถอะ
เก็บแรงเราเอาไว้บ้าง
บางทีเราต้องใช้มันเพื่อว่ายน้ำกลับบ้านนะ
คนที่ใช่จะไม่ทำให้เราทุรนทุราย
และรู้สึกเปล่าประโยชน์
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจอปัญหาเดียวกัน ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอค่ะ
It was over and somehow my broken heart still found a way to beat.