.

.
แมลง - ทาทา ยัง
.
.
บนเกาะอีสเตอร์
Easter
ที่แสนจะโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแปซิฟิก
ยังคงเหลือแมลง 10 ชนิดที่มีขนาดเล็กมาก
นั่นคือ สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของ
เผ่าพันธุ์แมลงพื้นเมือง/ประจำถิ่นของเกาะ
แมลงเฉพาะถิ่นนั้นต่างซ่อนตัวอยู่
ภายในถ้ำภูเขา/อยู่ในที่อยู่อาศัย
ที่มีมลทิน/มลพิษมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามา
เพื่อเยี่ยมชมรูปปั้นหัวคน Rapa Nui
หลังจากที่ชาวพื้นเมืองได้ก่ออันตราย
ต่อถิ่นที่อยู่ของแมลงตัวเล็ก ๆ
พวก
moss และ
ferns
ที่แสนจะเปราะบางจากการถูกเหยียบย่ำ
การรุกรานจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
ต่างคุกคามถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
Iconic Moai หรือ Rapa Nui
เสาหินขนาดความสูง 40 ฟุตเห็นได้ชัด
แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สำคัญที่สุด
กลับยากเกินกว่าจะมองเห็นได้ง่าย ๆ
.
.
1.
.
.
2.
.
.
Ⓒ Michele Burgess/Alamy Stock Photo
.
.
.
Moai
ตำนานของ Rapa Nui
คือ จุดเริ่มต้นและจุดจบ
การทำลายสภาพแวดล้อม
และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
เมื่อมนุษย์เดินทางมาถึง
ชาวเรือโพลีนีเซียได้ข้ามน้ำข้ามทะเล
มาด้วยเรือแคนูขนาดยักษ์
แล้วสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมา
ในช่วง 800 - 1200 ก่อนคริสตศักราช
อารยธรรมใหม่ของพวกชาวเรือ
ได้เปลี่ยนเขตป่าร้อน
ให้กลายเป็นเรือและวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ
และดำรงชีพด้วยการทำไร่ไถนาและตกปลา
เมื่อถึงจุดสูงสุดของศตวรรษที่ 17
ประชากรบนเกาะก็เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 คน
แต่เหลือเพียงไม่กี่พันคนหลังจากนั้น
ในช่วงที่ชาวยุโรปมาถึงเกาะนี้ในปี 1722
ชาวเกาะที่เริ่มสร้างโมอายนั้น
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา
เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกทำลายลงไปได้ก็สูญพันธุ์ไป
ที่หลงเหลืออยู่ก็เริ่มปรับสภาพตัวเอง
ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นป่าที่มีต้นปาล์มขึ้นปกคลุมค่อย ๆ กลายเป็นทุ่งหญ้า
มีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่หายไปตลอดกาล
เช่น นกบนบก(บินไม่ค่อยได้)อย่างน้อย 5 ชนิด
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในท้องทะเล
แมลงและต้นปาล์มยักษ์ชนิดหนึ่ง
Paschalococos disperta
หรือต้นปาล์มเกาะอีสเตอร์
.
.
3.
.
.
“ ระบบนิเวศนั้นไม่ล่มสลาย
แต่ได้เปลี่ยนจากสถานะ
จากอย่างหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่ง
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ใน Rapa Nui
สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดขึ้นคือ
ความเปราะบาง (ไม่เคยมีผู้รุกรานมาก่อน)
ระบบนิเวศที่ไม่ทนทานต่อการเผาไหม้
จากพวกคนที่เดินทางมารุกราน
ช่วงระยะเวลาที่เป็นภัยแห้งแล้ง
ที่ก่อให้กำเนิดขึ้นด้วยเงื้อมมือของพวกคน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ต่างมีผลทำให้ระบบนิเวศที่มีอยู่เดิม
พืช/แมลงประจำถิ่นหลายชนิดถูกทำลายลง
และพวกที่อยู่รอดต่างต้องปรับตัวให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อมแบบใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นมา
ให้ต้องสอดคล้องกับสอดรับ
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น "
Jut Wynne นักนิเวศวิทยา
Northern Arizona University’s Merriam-Powell Center for Environmental Research
ทุกวันนี้ บนเกาะแห่งนี้ได้กลายเป็น
ที่อยู่ของเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่ของประจำถิ่น
มีการนำเข้ามาจากถิ่นอื่นหลายชนิดมากมาย
เช่น ม้า แกะ แพะ ลูกหลานของปศุสัตว์
ที่เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่เริ่มเลี้ยงพวกมัน
ในช่วงต้นทศวรรษ 1900
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่
ใต้ฝ่าเท้าของพวกสัตว์ต่างถิ่นเหล่านี้
คือ สิ่งมีชีวิตพื้นเมืองที่แท้จริง
รุ่นสุดท้ายของ Rapa Nui
.
.
4.
.

.
Ecologist Jut Wynne นักนิเวศวิทยา
กำลังจดบันทึกการสำรวจภาคสนาม
บนพื้นที่สูงเหนือมหาสมุทรแปซิฟิค
Ⓒ Rafael Rodriguez Brizuela
.
.
ความฝันในวัยเด็กของ Jut Wynne
คือ การได้ไปเยือนเกาะอีสเตอร์
ในที่สุด ฝันก็กลายเป็นจริงในปี 2008
ท่านเริ่มต้นการศึกษาเบื้องต้น
ด้วยการสำรวจถ้ำ 3 แห่ง
สุ่มเก็บตัวอย่างแมลงในถ้ำ
มากกว่า 12 รายการ
ในปี 2009 และ 2011
ท่านก็พบกับสายพันธุ์ชนิดใหม่ประจำถิ่น
ถึง 8 สายพันธุ์ และรวมแล้วถึง 10 สายพันธุ์
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
ท่านได้รับเงินทุนสนับสนุนการวิจัย
จากมูลนิธิ Fulbright
เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตประจำถิ่นอาศัย
ที่เปราะบางซึ่งเป็นที่อยู่ของแมลงรุ่นสุดท้าย
ทำนได้มุดตัวเข้าไปลึกลงไปในถ้ำ
ที่เปียกชื้นและโรยตัวลงไปตามหน้าผาสูงชัน
เพื่อค้นหามอสและเฟิร์น
ซึ่งมักจะเป็นที่หลบซ่อนของ
พวกแมลงตัวเล็กตัวน้อย
ผลการศึกษาก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่า
เดิมมีแมลงหลายสายพันธุ์มาก
ที่มีอยู่ทั่วไปบนเกาะแห่งนี้
แมลงที่ยังหลงเหลืออยู่ มีแนวโน้มว่า
พวกมันได้หลบหนีกลับไปยัง
พื้นที่ดั้งเดิมที่เคยเดินทางออกมา
สะท้อนให้เห็นถึงระบบนิเวศ
ของ Rapa Nui ที่มีอยู่ก่อนคนจะมาถึง
จนถึงตอนนี้
Jut Wynne ได้ค้นพบแมลงหางดีด 7 ชนิด
ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติคือ
หางดีดที่ทำให้พวกมันดันตัวขึ้นไป
ในอากาศและอยู่ให้ไกลห่างจากอันตราย
เหมือนกับที่นั่งนักบินในเครื่องบินไอพ่น
ที่ดีดตัวออกมาได้เวลาเครื่องบินกำลังจะตก
และท่านยังพบไอโซพอด 2 ชนิด
ที่รู้จักกันในชื่อ
Roly-polys
และเหาหนังสือ
Book louse
สายพันธุ์หนึ่ง ในขณะนี้กำลังรอผล
ยืนยันการสำรวจว่าใช่หรือไม่
Jut Wynne กล่าวว่า
การค้นหาจากทีมงานของพวกท่าน
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
อาจทำให้ค้นพบสายพันธุ์ประจำถิ่นบนเกาะ
ทำให้รู้จักกันมากขึ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้
.
.
5.
.

.
.
อยู่ในอันตรายใกล้จะสูญพันธุ์
การอนุรักษ์แมลงเหล่านี้
จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนและเรื่องใหม่เช่นกัน
มีนักท่องเที่ยวประมาณ 100,000 คน
ที่เดินทางผ่านไปยัง Rapa Nui ในปี 2005
มีผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาบนเกาะ
ทึ่มีพื้นที่รวมเพียง 63 ตารางไมล์เท่านั้น
แม้ว่าอุทยานแห่งชาติจะครอบคลุมเนื้อที่
เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะ Rapa Nui
แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งพวกคนเดินเท้าได้เลย
เพราะพวกนักท่องเที่ยวมักจะเดินผ่านไปมา
บนถิ่นที่อยู่อาศัยของแมลงบางชนิด
โดยมองไม่เห็นตัวพวกแมลงเหล่านี้
เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของ
พวกแมลงกับคนเราที่แตกต่างกัน
ตามข้อสังเกตของ Jut Wynne
แม้ว่าผลการศึกษาแมลง
ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมถ้ำตามธรรมชาติ
แต่พวกมันก็ยังเผชิญหน้ากับ
ความสมดุลที่ค่อนข้างเนียน
(เนียน แบบละเอียดอ่อนอย่างมาก
กับอย่างแรงของคนใต้
รวมถึงคนที่ขี้เหนียวอย่างแรง ว่า เนียนสุด ๆ)
ระหว่างการศึกษาเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์
กับการบุกรุกที่เป็นอันตราย
มีสายพันธุ์แมลงต่างถิ่นที่แพร่กระจาย
และเป็นภัยคุกคามเพิ่มขึ้น
แมลงสาบอเมริกัน กิ้งกือ
และ พวก hitchhikers
(น่าจะเรียกว่า แมลงพลอยด้วย)
ที่ตอนนี่ต่างแพร่กระจายไปทั่วบนเกาะ
และกัดกินแมลงประจำถิ่น
“ และด้วยเหตุนี้
เราเชื่อว่าแมลงส่วนใหญ่บนเกาะ
ย่อมตกอยู่ในอันตรายใกล้จะสูญพันธุ์ ”
Jut Wynne ให้ความเห็น
.
.
6.
.
.
.
แม้ว่า อนาคตอาจดูไม่ชัดเจน
เหมือนกับ Rapa Nui ในอดีต
แต่ Jut Wynne กำลังทำงานร่วมกับ
ระบบวนอุทยาน ชุมชน และรัฐบาล
เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ถึงสมบัติล้ำค่า
ที่มองไม่เห็นของเกาะ Rapa Nui
ในตอนนี้ วนอุทยานมีการปิดเส้นทางบางแห่ง
เพื่อลดการเดินทางไปมากในพื้นที่สำคัญ
แม้ว่าจะเป็นมาตรการมีผลเพียงเล็กน้อย
แต่การที่นักท่องเที่ยวเดินเตร็ดเตร่นอกพื้นที่
นั่นคือ การส่งสัญญาณเตือนว่า
อาจมีผลกระทบขนาดใหญ่ตามมา
(เพราะไปกระทบกระเทือนระบบนิเวศ
หรือนำพาพวกสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในพื้นที่)
ตามคำให้สัมภาษณ์ของ Jut Wynne
.
.
.
7.
.
.
Jut Wynne กำลังตรวจสอบ
แมลงตัวใหม่ที่จับได้
ด้านหลังถ้ำคืองานศิลปะดั้งเดิม
Ⓒ Nicholas Glove
.
.
สมดุลที่มีต้นทุน
อย่างไรก็ตามแรงจูงใจ
/ผลตอนแทนทางเศรษฐกิจ
ทำให้การปกป้องถ้ำเป็นเรื่องยากเช่นกัน
เพราะความต้องการรายได้จากนักท่องเที่ยว
ทิวทัศน์และภายในถ้ำที่สวยงาม
ต่างเต็มไปด้วยงานศิลปะพื้นเมือง
เป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจที่มีศักยภาพ
ในการเชิญชวนนักท่องเที่ยว
Sebastián Yancovic Pakarati
ผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกทางธรรมชาติ
และวัฒนธรรมของ Rapa Nui และ
Advisory Council of National Monuments
และหนึ่งในทีมงานของ Jut Wynne กล่าวว่า
" เกาะแห่งนี้จะต้องพัฒนาแผนการท่องเที่ยว
ที่ปกป้องสมบัติทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
ก่อนที่จะเปิดประตูกว้างสำหรับการท่องเที่ยว
และเชื่อมั่นว่า ผู้อยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้
ต่างดูเหมือนว่า เต็มใจที่จะมีบทบาท
ในการปกป้องเกาะและทรัพยากรของเกาะ
ด้วยการรวมกันสนับสนุนสิ่งที่เพิ่งค้นพบใหม่
และการกำกับดูแลที่มากขึ้นกว่าเดิม
ด้วยความหวังว่าพื้นที่ที่อนุรักษ์
สำหรับแมลงที่ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้
จะได้รับการเก็บรักษา/ปกป้องคุ้มครองไว้
คนรุ่นใหม่ต้องการให้ความสนใจมากขึ้น
ไม่เพียงแค่การอนุรักษ์และปกป้อง Moai
และมรดกทางวัฒนธรรมของ
บรรพบุรุษของพวกเราเท่านั้น
แต่เรายังต้องการที่จะให้ความสำคัญกับ
มรดกทางธรรมชาติและ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
และวนอุทยานกำลังดำเนินการ
ตามแผนอนุรักษ์เพื่อปกป้อง
และตรวจสอบถ้ำในพื้นที่
ที่มีความสำคัญมากที่สุดของ
แมลงเผ่าพันธุ์พื้นเมือง/ประจำถิ่น
เราหวังว่าโครงการนี้
จะช่วยในการอนุรักษ์และคุ้มครอง
สถานที่และสิ่งมีชีวิตประจำถิ่น
ที่ยังหลงเหลืออยู่ของเกาะ ”
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2QhCQDs
.
.
8.

.
Hawaiioscia rapui S. Taiti & J.J. Wynne,
2015/ZooKeys 515: 27-49
.
9.
.

.
Entomobrya manuhoko E.C. Bernard, F. N.
Soto-Adames & J.J. Wynne,
2015/Zootaxa 3949 (2): 239-267
.
10.
.
.
Cyptophania pakaratii S. Taiti & J.J. Wynne,
2015/ZooKeys 515: 27-49
.
สายพันธุ์แมลงประจำถิ่นรุ่นสุดท้ายของ Easter Islands
.
แมลง - ทาทา ยัง
.
บนเกาะอีสเตอร์ Easter
ที่แสนจะโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแปซิฟิก
ยังคงเหลือแมลง 10 ชนิดที่มีขนาดเล็กมาก
นั่นคือ สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของ
เผ่าพันธุ์แมลงพื้นเมือง/ประจำถิ่นของเกาะ
แมลงเฉพาะถิ่นนั้นต่างซ่อนตัวอยู่
ภายในถ้ำภูเขา/อยู่ในที่อยู่อาศัย
ที่มีมลทิน/มลพิษมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามา
เพื่อเยี่ยมชมรูปปั้นหัวคน Rapa Nui
หลังจากที่ชาวพื้นเมืองได้ก่ออันตราย
ต่อถิ่นที่อยู่ของแมลงตัวเล็ก ๆ
พวก moss และ ferns
ที่แสนจะเปราะบางจากการถูกเหยียบย่ำ
การรุกรานจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
ต่างคุกคามถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
Iconic Moai หรือ Rapa Nui
เสาหินขนาดความสูง 40 ฟุตเห็นได้ชัด
แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สำคัญที่สุด
กลับยากเกินกว่าจะมองเห็นได้ง่าย ๆ
.
.
1.
.
.
2.
.
.
Ⓒ Michele Burgess/Alamy Stock Photo
.
.
Moai
ตำนานของ Rapa Nui
คือ จุดเริ่มต้นและจุดจบ
การทำลายสภาพแวดล้อม
และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
เมื่อมนุษย์เดินทางมาถึง
ชาวเรือโพลีนีเซียได้ข้ามน้ำข้ามทะเล
มาด้วยเรือแคนูขนาดยักษ์
แล้วสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมา
ในช่วง 800 - 1200 ก่อนคริสตศักราช
อารยธรรมใหม่ของพวกชาวเรือ
ได้เปลี่ยนเขตป่าร้อน
ให้กลายเป็นเรือและวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ
และดำรงชีพด้วยการทำไร่ไถนาและตกปลา
เมื่อถึงจุดสูงสุดของศตวรรษที่ 17
ประชากรบนเกาะก็เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 คน
แต่เหลือเพียงไม่กี่พันคนหลังจากนั้น
ในช่วงที่ชาวยุโรปมาถึงเกาะนี้ในปี 1722
ชาวเกาะที่เริ่มสร้างโมอายนั้น
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา
เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกทำลายลงไปได้ก็สูญพันธุ์ไป
ที่หลงเหลืออยู่ก็เริ่มปรับสภาพตัวเอง
ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นป่าที่มีต้นปาล์มขึ้นปกคลุมค่อย ๆ กลายเป็นทุ่งหญ้า
มีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่หายไปตลอดกาล
เช่น นกบนบก(บินไม่ค่อยได้)อย่างน้อย 5 ชนิด
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในท้องทะเล
แมลงและต้นปาล์มยักษ์ชนิดหนึ่ง
Paschalococos disperta
หรือต้นปาล์มเกาะอีสเตอร์
.
3.
.
.
“ ระบบนิเวศนั้นไม่ล่มสลาย
แต่ได้เปลี่ยนจากสถานะ
จากอย่างหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่ง
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ใน Rapa Nui
สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดขึ้นคือ
ความเปราะบาง (ไม่เคยมีผู้รุกรานมาก่อน)
ระบบนิเวศที่ไม่ทนทานต่อการเผาไหม้
จากพวกคนที่เดินทางมารุกราน
ช่วงระยะเวลาที่เป็นภัยแห้งแล้ง
ที่ก่อให้กำเนิดขึ้นด้วยเงื้อมมือของพวกคน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ต่างมีผลทำให้ระบบนิเวศที่มีอยู่เดิม
พืช/แมลงประจำถิ่นหลายชนิดถูกทำลายลง
และพวกที่อยู่รอดต่างต้องปรับตัวให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อมแบบใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นมา
ให้ต้องสอดคล้องกับสอดรับ
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น "
Jut Wynne นักนิเวศวิทยา
Northern Arizona University’s Merriam-Powell Center for Environmental Research
ทุกวันนี้ บนเกาะแห่งนี้ได้กลายเป็น
ที่อยู่ของเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่ของประจำถิ่น
มีการนำเข้ามาจากถิ่นอื่นหลายชนิดมากมาย
เช่น ม้า แกะ แพะ ลูกหลานของปศุสัตว์
ที่เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่เริ่มเลี้ยงพวกมัน
ในช่วงต้นทศวรรษ 1900
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่
ใต้ฝ่าเท้าของพวกสัตว์ต่างถิ่นเหล่านี้
คือ สิ่งมีชีวิตพื้นเมืองที่แท้จริง
รุ่นสุดท้ายของ Rapa Nui
.
4.
.
.
Ecologist Jut Wynne นักนิเวศวิทยา
กำลังจดบันทึกการสำรวจภาคสนาม
บนพื้นที่สูงเหนือมหาสมุทรแปซิฟิค
Ⓒ Rafael Rodriguez Brizuela
.
.
ความฝันในวัยเด็กของ Jut Wynne
คือ การได้ไปเยือนเกาะอีสเตอร์
ในที่สุด ฝันก็กลายเป็นจริงในปี 2008
ท่านเริ่มต้นการศึกษาเบื้องต้น
ด้วยการสำรวจถ้ำ 3 แห่ง
สุ่มเก็บตัวอย่างแมลงในถ้ำ
มากกว่า 12 รายการ
ในปี 2009 และ 2011
ท่านก็พบกับสายพันธุ์ชนิดใหม่ประจำถิ่น
ถึง 8 สายพันธุ์ และรวมแล้วถึง 10 สายพันธุ์
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
ท่านได้รับเงินทุนสนับสนุนการวิจัย
จากมูลนิธิ Fulbright
เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตประจำถิ่นอาศัย
ที่เปราะบางซึ่งเป็นที่อยู่ของแมลงรุ่นสุดท้าย
ทำนได้มุดตัวเข้าไปลึกลงไปในถ้ำ
ที่เปียกชื้นและโรยตัวลงไปตามหน้าผาสูงชัน
เพื่อค้นหามอสและเฟิร์น
ซึ่งมักจะเป็นที่หลบซ่อนของ
พวกแมลงตัวเล็กตัวน้อย
ผลการศึกษาก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่า
เดิมมีแมลงหลายสายพันธุ์มาก
ที่มีอยู่ทั่วไปบนเกาะแห่งนี้
แมลงที่ยังหลงเหลืออยู่ มีแนวโน้มว่า
พวกมันได้หลบหนีกลับไปยัง
พื้นที่ดั้งเดิมที่เคยเดินทางออกมา
สะท้อนให้เห็นถึงระบบนิเวศ
ของ Rapa Nui ที่มีอยู่ก่อนคนจะมาถึง
จนถึงตอนนี้
Jut Wynne ได้ค้นพบแมลงหางดีด 7 ชนิด
ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติคือ
หางดีดที่ทำให้พวกมันดันตัวขึ้นไป
ในอากาศและอยู่ให้ไกลห่างจากอันตราย
เหมือนกับที่นั่งนักบินในเครื่องบินไอพ่น
ที่ดีดตัวออกมาได้เวลาเครื่องบินกำลังจะตก
และท่านยังพบไอโซพอด 2 ชนิด
ที่รู้จักกันในชื่อ Roly-polys
และเหาหนังสือ Book louse
สายพันธุ์หนึ่ง ในขณะนี้กำลังรอผล
ยืนยันการสำรวจว่าใช่หรือไม่
Jut Wynne กล่าวว่า
การค้นหาจากทีมงานของพวกท่าน
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
อาจทำให้ค้นพบสายพันธุ์ประจำถิ่นบนเกาะ
ทำให้รู้จักกันมากขึ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้
.
5.
.
.
.
อยู่ในอันตรายใกล้จะสูญพันธุ์
การอนุรักษ์แมลงเหล่านี้
จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนและเรื่องใหม่เช่นกัน
มีนักท่องเที่ยวประมาณ 100,000 คน
ที่เดินทางผ่านไปยัง Rapa Nui ในปี 2005
มีผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาบนเกาะ
ทึ่มีพื้นที่รวมเพียง 63 ตารางไมล์เท่านั้น
แม้ว่าอุทยานแห่งชาติจะครอบคลุมเนื้อที่
เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะ Rapa Nui
แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งพวกคนเดินเท้าได้เลย
เพราะพวกนักท่องเที่ยวมักจะเดินผ่านไปมา
บนถิ่นที่อยู่อาศัยของแมลงบางชนิด
โดยมองไม่เห็นตัวพวกแมลงเหล่านี้
เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของ
พวกแมลงกับคนเราที่แตกต่างกัน
ตามข้อสังเกตของ Jut Wynne
แม้ว่าผลการศึกษาแมลง
ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมถ้ำตามธรรมชาติ
แต่พวกมันก็ยังเผชิญหน้ากับ
ความสมดุลที่ค่อนข้างเนียน
(เนียน แบบละเอียดอ่อนอย่างมาก
กับอย่างแรงของคนใต้
รวมถึงคนที่ขี้เหนียวอย่างแรง ว่า เนียนสุด ๆ)
ระหว่างการศึกษาเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์
กับการบุกรุกที่เป็นอันตราย
มีสายพันธุ์แมลงต่างถิ่นที่แพร่กระจาย
และเป็นภัยคุกคามเพิ่มขึ้น
แมลงสาบอเมริกัน กิ้งกือ
และ พวก hitchhikers
(น่าจะเรียกว่า แมลงพลอยด้วย)
ที่ตอนนี่ต่างแพร่กระจายไปทั่วบนเกาะ
และกัดกินแมลงประจำถิ่น
“ และด้วยเหตุนี้
เราเชื่อว่าแมลงส่วนใหญ่บนเกาะ
ย่อมตกอยู่ในอันตรายใกล้จะสูญพันธุ์ ”
Jut Wynne ให้ความเห็น
.
6.
.
.
.
แม้ว่า อนาคตอาจดูไม่ชัดเจน
เหมือนกับ Rapa Nui ในอดีต
แต่ Jut Wynne กำลังทำงานร่วมกับ
ระบบวนอุทยาน ชุมชน และรัฐบาล
เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ถึงสมบัติล้ำค่า
ที่มองไม่เห็นของเกาะ Rapa Nui
ในตอนนี้ วนอุทยานมีการปิดเส้นทางบางแห่ง
เพื่อลดการเดินทางไปมากในพื้นที่สำคัญ
แม้ว่าจะเป็นมาตรการมีผลเพียงเล็กน้อย
แต่การที่นักท่องเที่ยวเดินเตร็ดเตร่นอกพื้นที่
นั่นคือ การส่งสัญญาณเตือนว่า
อาจมีผลกระทบขนาดใหญ่ตามมา
(เพราะไปกระทบกระเทือนระบบนิเวศ
หรือนำพาพวกสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในพื้นที่)
ตามคำให้สัมภาษณ์ของ Jut Wynne
.
.
7.
.
.
Jut Wynne กำลังตรวจสอบ
แมลงตัวใหม่ที่จับได้
ด้านหลังถ้ำคืองานศิลปะดั้งเดิม
Ⓒ Nicholas Glove
.
.
สมดุลที่มีต้นทุน
อย่างไรก็ตามแรงจูงใจ
/ผลตอนแทนทางเศรษฐกิจ
ทำให้การปกป้องถ้ำเป็นเรื่องยากเช่นกัน
เพราะความต้องการรายได้จากนักท่องเที่ยว
ทิวทัศน์และภายในถ้ำที่สวยงาม
ต่างเต็มไปด้วยงานศิลปะพื้นเมือง
เป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจที่มีศักยภาพ
ในการเชิญชวนนักท่องเที่ยว
Sebastián Yancovic Pakarati
ผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกทางธรรมชาติ
และวัฒนธรรมของ Rapa Nui และ
Advisory Council of National Monuments
และหนึ่งในทีมงานของ Jut Wynne กล่าวว่า
" เกาะแห่งนี้จะต้องพัฒนาแผนการท่องเที่ยว
ที่ปกป้องสมบัติทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
ก่อนที่จะเปิดประตูกว้างสำหรับการท่องเที่ยว
และเชื่อมั่นว่า ผู้อยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้
ต่างดูเหมือนว่า เต็มใจที่จะมีบทบาท
ในการปกป้องเกาะและทรัพยากรของเกาะ
ด้วยการรวมกันสนับสนุนสิ่งที่เพิ่งค้นพบใหม่
และการกำกับดูแลที่มากขึ้นกว่าเดิม
ด้วยความหวังว่าพื้นที่ที่อนุรักษ์
สำหรับแมลงที่ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้
จะได้รับการเก็บรักษา/ปกป้องคุ้มครองไว้
คนรุ่นใหม่ต้องการให้ความสนใจมากขึ้น
ไม่เพียงแค่การอนุรักษ์และปกป้อง Moai
และมรดกทางวัฒนธรรมของ
บรรพบุรุษของพวกเราเท่านั้น
แต่เรายังต้องการที่จะให้ความสำคัญกับ
มรดกทางธรรมชาติและ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
และวนอุทยานกำลังดำเนินการ
ตามแผนอนุรักษ์เพื่อปกป้อง
และตรวจสอบถ้ำในพื้นที่
ที่มีความสำคัญมากที่สุดของ
แมลงเผ่าพันธุ์พื้นเมือง/ประจำถิ่น
เราหวังว่าโครงการนี้
จะช่วยในการอนุรักษ์และคุ้มครอง
สถานที่และสิ่งมีชีวิตประจำถิ่น
ที่ยังหลงเหลืออยู่ของเกาะ ”
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2QhCQDs
.
8.
.
Hawaiioscia rapui S. Taiti & J.J. Wynne,
2015/ZooKeys 515: 27-49
.
9.
.
.
Entomobrya manuhoko E.C. Bernard, F. N.
Soto-Adames & J.J. Wynne,
2015/Zootaxa 3949 (2): 239-267
.
10.
.
.
Cyptophania pakaratii S. Taiti & J.J. Wynne,
2015/ZooKeys 515: 27-49
.