JJNY : ระวัง!!!พืชเกษตรป่วนรบ.ใหม่ รอวันกดปุ่ม“ม็อบ”/นราธิวาสเข้ม หลังเหตุไม่สงบต่อเนื่อง/ผู้อ่านข่าวสาร96%หนุนถอดป.ป.ช.

กระทู้คำถาม
ระวัง!!! พืชเกษตรป่วนรัฐบาลใหม่ รอวันกดปุ่ม “ม็อบ”
http://www.thansettakij.com/content/368128

ระวัง!!! พืชเกษตรป่วนรัฐบาลใหม่
รอวันกดปุ่ม “ม็อบ”

การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2562 นี้ ไม่ใช่เรื่องหมู ๆ เหมือนปีหมู   เพราะมีเรื่องเร่งด่วนหลายเรื่อง ที่ท้าทายการทำงาน  โดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน  ที่ขณะนี้เดินไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงบ่นจากกลุ่มรากหญ้าว่าข้าวของแพง  ค่าใช้จ่ายพุ่ง  เงินในกระเป๋าลดลง

และที่มองข้ามไม่ได้ คือการเข้ามาแก้ปัญหาราคาสินค้าพืชผลทางการเกษตร ที่เวลานี้มีพืชเกษตรหลายตัวที่ราคาไม่ขยับ  จนเกษตรกรหลายกลุ่มเริ่มมีเสียงฮึ่ม! ฮึ่ม! ออกมาแล้วในช่วงที่ผ่านมา  แต่ที่น่าจับตาหลังเลือกตั้งผ่านไปสักระยะ ทิ้งช่วงจังหวะให้รัฐบาลใหม่แสดงบทบาท  เชื่อว่าหลังจากนั้น ถ้ารัฐบาลยังไม่สามารถปลดล็อกปัญหาเดิมๆได้ !  การเคลื่อนไหวของม็อบเกษตรกรเกิดขึ้นแน่  ไม่กลุ่มใดก็กลุ่มหนึ่งต้องลุกฮือขึ้นมา!

- 5 กลุ่มราคายังปลุกไม่ขึ้น

ย้อนกลับมาดูปัญหาจากภาคเกษตรกร ไล่เลียงพืชเกษตรเด่นๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวตลอดปี 2561 มีหลายตัว ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้  ตั้งแต่ราคา สับปะรด  อ้อย  ปาล์ม  มะพร้าว  ยางพารา แม้บางกลุ่มขยับได้บ้างเล็กน้อย  แต่ชาวไร่ ชาวสวนบอกว่ายังไม่คุ้มทุน  ลงทุนไปเยอะแต่ผลสะท้อนกลับยังอยู่ในภาวะขาดทุนกันเป็นแถว

ไล่ตั้งแต่ราคาสับปะรดในช่วง 11 เดือนแรกปี 2561 ราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 2.98 บาทต่อกิโลกรัม (ต่ำสุดในรอบ 10 ปี)  จากที่เมื่อปี 2558 ราคาสับปะรดเคยเฉลี่ยสูงถึง 10.29  บาทต่อกิโลกรัม  เป็นช่วงราคาที่สูงสุด ซึ่งในขณะนั้นพอราคาดีเป็นที่จูงใจ เกษตรกรก็แห่ปลูกกันพรึ่บ!  โดยไม่มีการวางแผนการตลาดที่ดี   ปีนี้คาดว่าผลผลิตสับปะรดจะมีปริมาณออกมามากถึง 2.1 ล้านตัน   ขณะที่การส่งออกสับปะรดกระป๋อง ไทยยังมีคู่แข่งสำคัญ คือ ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ที่มีผลผลิตสับปะรดมาก  จนทำให้มีการแข่งขันด้านราคาสูง  และ 2 ประเทศดังกล่าวก็ยังได้เปรียบไทยตรงที่ได้รับสิทธิจีเอสพีจากสหรัฐฯด้วย

ขณะที่ราคามะพร้าว ก่อนหน้านี้รัฐบาลห้ามนำเข้า “มะพร้าว” จากอินโดนีเซีย แต่ก็ยังเปิดให้นำเข้ามะพร้าวจากเวียดนามและมาเลเซีย   บวกกับผลผลิตมะพร้าวภายในประเทศดีขึ้น  จนมะพร้าวล้นตลาด  ทำให้ราคาในประเทศร่วงกราวรูด เหลือลูกละ 4-5 บาท จนล่าสุดขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6-7 บาทต่อลูก  จากที่ก่อนหน้านี้ราคามะพร้าวเคยสูงถึงลูกละ 12-14 บาท ทำให้บรรดาชาวสวนมะพร้าวออกมากดดันกระทรวงที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นระยะ

- กลุ่มปาล์มขู่“ม็อบมาแน่ หลังเลือกตั้ง”

ด้านราคาปาล์ม เป็นอีกกลุ่ม ที่ผลผลิตในประเทศล้น  และไทยก็ยังเน้นที่ตลาดในประเทศเป็นหลัก  จนวันนี้ราคาร่วงลงมาที่ 2.50-3 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาเฉลี่ยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.15  บาทต่อกิโลกรัม  จากที่ราคาเคยสูง 4-5 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อปี 2555  จนถึงขณะนี้ราคาปาล์มยังต่ำติดดิน ขณะที่ราคาในตลาดโลกก็ไม่ดี

การแก้ปัญหาปาล์มราคาตกต่ำ แม้ว่าภาครัฐพยายามหาทางออก  หลังจากมีมติออกมาให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.)รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ(CPO)ส่วนเกินจำนวน 160,000 ตัน ในราคากิโลกรัม (กก.) ละ 18 บาท เมื่อคำนวณกลับไปเป็นราคาผลปาล์มที่ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ในเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% ขณะที่ราคาผลปาล์ม ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2561 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.60-2.70 บาทต่อกิโลกรัม  จนถึงขณะนี้ก็มีแต่มาตรการแต่ยังไม่มีการปฎิบัติ ได้จริง

งานนี้ทำเอา นายชโยดม   สุวรรณวัฒนะ ประธานชมรมคนปลูกปาล์มน้ำมัน จังหวัดกระบี่  ถึงกับออกมาขู่คำโตว่า “ม็อบมาแน่ หลังเลือกตั้ง วันนี้ต้องยอมกัดฟันทน เพราะไม่อยากตกเป็นแพะของรัฐบาล  เดี๋ยวจะมาอ้างภายหลังว่าเป็นเพราะม็อบทำให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไป”  จากคำขู่นี้มีลุ้นยังต้องติดตามต่อไปหลังเลือกตั้ง

สำหรับยางพาราที่ราคานิ่งมาต่อเนื่อง ในช่วง 11 เดือนแรกปี 2561 ยางแผ่นดิบชั้น 3ที่นิยมซื้อขายกัน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 41.52 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาเฉลี่ยเคยสูงสุดเมื่อปี 2554 อยู่ที่ 124.16 บาทต่อกิโลกรัม  ในขณะนั้นบางเดือนราคายางพาราก็สูงถึง 180 บาทต่อกิโลกรัม  จนมีข่าวชาวสวนยางภาคใต้ถอยรถกะบะป้ายแดงกันเป็นแถว

ที่น่าหนักใจคือ 2 ปีมานี้ ผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่การใช้ยางภายในประเทศยังไม่ถึง 20%  ไทยยังพึ่งพาตลาดส่งออกสูงถึง 90%  จากที่ผลผลิตยางพาราไทยเฉลี่ยตกปีละกว่า 4 ล้านตันต่อปี    เจอทั้งผลผลิตล้นตลาด  ราคายางในตลาดโลกร่วง  อีกทั้ง จีนผู้นำเข้ารายใหญ่สู้ศึกสงครามการค้ากับอเมริกา ทำให้ผลิตภัณฑ์ยางส่งออกไปอเมริกาลดลง  จีนจึงต้องลดการนำเข้ายางจากไทยไปด้วย

- ต้องลุ้นราคาอ้อยขั้นสุดท้าย

ส่วนพืชการเมืองอย่างอ้อย  ที่บรรดานักการเมืองมักลงพื้นที่หาเสียงกับชาวไร่อ้อยก่อนเลือกตั้ง หวังเรียกคะแนนเสียงจากชาวไร่อ้อยทั่วประเทศ  ที่ราคาอ้อยก็ยังมีความเสี่ยง ตราบใดที่ราคาน้ำตาลดิบในตลาดโลกร่วง ย่อมสะเทือนถึงเกษตรกรชาวไร่อ้อย  เพราะราคาจะรูดลงตามกันเป็นลูกโซ่  อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ มาจากปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกันหลายส่วน

ราคาน้ำตาลดิบปีนี้เคลื่อนไหวตั้งแต่ 11-13 เซ็นต์ต่อปอนด์ จนวงการหวั่นวิตกว่าจะดิ่งหลุดกรอบ 10 เซ็นต์ต่อปอนด์ แต่ปลายปี2561 ราคาน้ำตลาดดิบในตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่ที่ 12.4 เซ็นต์ต่อปอนด์  ยังถือว่าอยู่ในแดนของราคาขาลง ทำให้ราคาอ้อยขั้นต้นปี 2561/2562 ที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ร่วงมาอยู่ที่ 700 บาทต่อตันอ้อย  เทียบกับราคาอ้อยในช่วง2ปีที่ผ่านมา สูงกว่าระดับ 1,000  บาทต่อตันอ้อย  หากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายที่จะประกาศออกมาช่วงปลายปี 2562 ร่วงลงอีก ก็น่าจับตาปฏิกิริยาชาวไร่อ้อยหนนี้

ประเมินสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนว่า ต้นเหตุราคาน้ำตาลร่วงกระทบราคาอ้อย มาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ที่มีปริมาณ นํ้าตาลโลกส่วนเกินล้นติดต่อกัน 2 ปี ทำให้เกิดผลผลิตนํ้าตาลมากกว่าความต้องการใช้ ที่ก่อนหน้านี้  F.O.licht บริษัทวิจัยในเยอรมนี ออกมาระบุว่า ช่วง 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2561 มีปริมาณนํ้าตาลในสต๊อกโลกที่เป็นส่วนเกินอยู่จำนวน 7.2 ล้านตันนํ้าตาล นับว่ามากที่สุดในรอบ 3 ปี และมีแนวโน้มว่าในฤดูการผลิตปี 2561/2562  จะมีสถิตินํ้าตาลโลกเกินต่อเนื่องอีก

นอกจากนี้เมื่อดูความเคลื่อนไหวของค่าเงินเรียล ของบราซิล เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าค่าเงินเรียลอ่อนค่าลงจะทำให้บราซิลขายนํ้าตาลออกมามากขึ้น ทำให้ราคานํ้าตาลตกลง ซึ่งการที่ราคานํ้าตาลในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 10-11 เซ็นต์ต่อปอนด์ นับว่าเป็นราคาที่ตํ่ากว่าต้นทุน ปี 2562 ก็ยังต้องจับตาดูค่าเงินเรียลเป็นระยะเพราะบราซิลเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 1ของโลกและต้องติดตามว่าบราซิลจะนำน้ำอ้อยไปผลิตน้ำตาลหรือเอทานอลเป็นหลัก

ขณะที่รัฐบาลอินเดียก็ออกมาประกาศชัดเจนว่า จะอุดหนุนการส่งออกน้ำตาลในประเทศของตัวเองด้วยการส่งออกนํ้าตาลทราย จํานวน 5 ล้านตัน และอนุมัติงบช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยและชดเชยค่าขนส่งนํ้าตาลจากโรงงานไปยังท่าเรือส่งออก ทั้งที่ขัดกับข้อตกลง WTO และเป็นการบิดเบือนตลาดนํ้าตาลโลก    อีกทั้งการเคลื่อนไหว ของกองทุนและนักเก็งกำไรที่ถือตั๋วขายนํ้าตาลที่มีผลต่อราคานํ้าตาลในตลาดโลกด้วย

ปัญหา สินค้าเกษตร 5 กลุ่มตกต่ำ ยังไม่รวมปัญหาราคา “มันสำปะหลัง” เริ่มเคลื่อนไหวหลังราคาร่วงมาอยู่ที่ 2.50 บาท แต่เกษตรกรขายได้จริงในราคาที่ต่ำกว่านั้น  อีกทั้งปัญหา “ประมง”  ที่รอวันปะทุใหม่

ภารกิจของรัฐบาลหลังเลือกตั้งบอกได้เลยว่าเหนื่อย!     ลำพังวิ่งรับมือกับสงครามการค้าลามสู่วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ยากอยู่แล้ว  การแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรก็จะเป็นอีกโจทย์ยากที่ต้องรับมืออย่างเร่งด่วน  หากปล่อยให้เวลาลากยาวต่อไปโดยผลงานไม่ปรากฏ ก็ต้องผวากับขบวนม็อบที่รอวันกดปุ่มขับเคลื่อน  ต้องติดตามกันต่อไปว่า รัฐจะมีทางออกอย่างไร กับปัญหาเดิมๆที่วนเวียนกลับมาอีก!




หวั่นป่วนอีกระลอก! นราธิวาสเข้มทุกพื้นที่ หลังเกิดเหตุความไม่สงบต่อเนื่อง
https://www.matichon.co.th/region/news_1295244

วันที่ 29 ธ.ค.เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและกำลังไทยอาสาป้องกันชาติ (ทส.ปช.) คุมเข้าพื้นที่นราธิวาสอย่างเข้มงวด พร้อมตั้งด่าน 4 มุมเมืองบนถนนทุกสายเข้าและออกเมืองนราธิวาส โดยจุดแรก ด่านตรวจจุดสกัดบ้านปลักปลาบนถนนสายนราธิวาส – ปัตตานี 2.ด่านจุดสกัดบ้านยะกัง บนถนนสายเมือง – ระแงะ 3.ด่านจุดสกัดริมน้ำ บนถนนสายเมือง – ตากใบ และ 4.ด่านจุดสกัดบ้านลำภู บนถนนสายเลี่ยงเมืองนราธิวาส – ตากใบ โดยเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบรถจักรยานยนต์พร้อมเปิดเบาะและตรวจบุคคลที่สัญจรไปมาอย่างละเอียด ตรวจรถยนต์และบุคคลแปลกหน้าอย่างละเอียดทุกคัน รวมถึงสำภาระที่นำติดตัว

สำหรับถนนสายรองและถนนภายในหมู่บ้านนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วทำการออกลาดตระเวรรักษาความปลอดภัยบนถนน และเป็นชุดสกัดกั้นและปิดเส้นทางหลบหนีหากมีการก่อเหตุขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)คอยให้การสนับสนุนสอดส่องความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่หมู่บ้านเจ้าหน้าที่ทหารอีกแรงหนึ่ง

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่นราธิวาส เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเปิดเผยในทางลับว่า ได้มีกลุ่มแนวร่วมนำวัตถุระเบิดแบบไปป์บอมบ์หรือระเบิดชนิดขว้างขนาดเล็ก ที่ผลิตขึ้นมาเองขนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมก่อเหตุป่วนในพื้นที่อีกระลอกใหญ่โดยมีเป้าหมายหลักในพื้นที่ อ.ระแงะ อ.ตากใบ อ.สุไหงโก-ลก อ.แว้ง อ.ยี่งอ อ.บาเจาะ อ.ศรีสาคร และ อ.รือเสาะ รวม 8 อำเภอ ส่วนวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่องที่บรรจุไว้ในรถจักรยานยนต์ พบมีอย่างน้อย 3 คัน ซึ่งล่าสุดได้ถูกขนย้ายนำไปแอบซ่อนอยู่ในพื้นที่ ซึ่งล่าสุดยังไม่แน่ชัดว่าแอบซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่ใด แต่มีเป้าหมายอยู่ที่พื้นที่เศรษฐกิจ ย่านการค้า และแหล่งชุมชน

ด้าน พ.ต.ต.สมคิด เทพเพชร สารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.เมืองนราธิวาส เปิดเผยว่า พ.ต.อ.เจริญ ธรรมขันธ์ ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส ได้สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ทุกนายกวดขันการใช้กฏจราจรอย่างเข้มงวด รวมทั้งกวดขันมาตรการด้านความมั่นคงที่เน้นรถยนต์ให้เปิดกระจกตรวจตราภายในอย่างละเอียด รถจักรยานยนต์ให้ใช้มาตรการเปิดเบาะตรวจสอบภายในเน้นสิ่งของที่อาจจะมีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนมา รถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนจะไม่ให้เข้ามาในเขตเทศบาลเมืองโดยเด็ดขาด เพื่อเป็นการสกัดกั้นการก่อเหตุในย่านเศรษฐกิจและแหล่งชุมชนสำคัญ และยังเน้นตรวจสอบบุคคลที่สวมหมวกกันน้อกแบบเต็มใบ สวมหมวกแก้ปที่ปกปิดอำพรางใบหน้าจะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะเข้าเมือง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่