ปกติสิ่งรอบๆ ตัวเรามันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว เช่น ค่าเงิน ราคาน้ำมัน การจราจร สภาพอากาศ แต่ผมสังเกตุว่าในช่วง 10ปีมานี้มีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงแบบฉับไวมากๆ จนอาจกระทบกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนอย่างเราๆ ถ้าใครเปลี่ยนแปลงตามไม่ทันก็อาจจะถึงกับล้มทั้งยืนเลย เรื่องเล็กๆ แต่กระทบคนส่วนใหญ่คิดว่ามีอะไรบ้างครับ
เท่าที่ผมสังเกตุดูก็มีหลายอย่าง เช่น
- คนหันไปซื้อของ online แทนที่จะไปที่ร้าน เมื่อก่อนผมนึกว่าจะมีแต่สินค้า IT ที่ระบุสเปกชัดเจน อย่าง แรม, HDD อะไรพวกนี้ แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม ก็กดสั่งมาใช้แล้ว เมื่อก่อนทุกต้นเดือนผมจะต้องไปเข็นรถเข็นอยู่ในโลตัส เดี๋ยวนี้ไม่ได้ไปเดินหาซื้อของแบบนั้นนานเป็นปีๆ แล้ว แม่บ้านผมกดสั่งอยู่กับบ้าน เจอดีลถูกๆ ส่วนลดนั่นนู่นนี่ถูกกว่าโลตัสอีก
- คนเดินห้างฯ ไม่ได้ไปซื้อของ แต่ไปกินข้าว สังเกตุดูสิครับ หลายๆ ห้างเพิ่มจำนวนชั้นของร้านอาหารเป็น 2-3 ชั้น จากที่เมื่อก่อนจะไปอัดกันอยู่มุมๆ ห้าง ชั้นบนๆ เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว
- คนไทยกินกาแฟกันเยอะมาก ตั้งแต่ร้านคีออสเล็กๆ ริมถนน ไปยันสตาร์บั๊คในห้างหรู ร้านกาแฟผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ที่เจ๊งไปก็เยอะ แต่ที่เกิดใหม่มันมากกว่า ที่สำคัญ ร้านกาแฟ ที่มีการลงทุน แต่งร้านสวยๆ นั่งสบายๆ มันเยอะมากๆ
- กระแสรักสุขภาพมาแรง ยกตัวอย่างผมเองไม่ได้ซื้อชาเขียวใส่น้ำตาลมาหลายปีแล้ว ผมหันมากินชาเขียวรสจืดแทน พอกินจนติด ก็สงสัยเลยเมื่อก่อนกินหวานขนาดนั้นเข้าไปได้ยังไง คนไทยเดี๋ยวนี้กินอาหารใส่น้ำตาลน้อยลงมาก รวมไปถึงอาหารมันๆ อย่างของทอดก็กินกันน้อยลง (ยกเว้นสายคีโตจีนิก) ใครที่ขายอาหารแบบเดิมๆ เน้นของหวานๆ มันๆ น่าจะรู้สึกได้ถึงยอดขายที่มันลดฮวบฮาบ โดยเฉพาะแม่ค้าขนมครกน่าจะรู้ดีกว่าใคร ทั้งหวาน ทั้งมันขนาดนั้น
- คนไทยออกกำลังกายกันมากขึ้น ถึงมากที่สุด อันนั้นยกความดีความชอบให้ตูน บอดี้แสลมเลย ตั้งแต่ตูนออกมาวิ่งรอบนั้น คนก็ออกมาวิ่งกันแบบมืดฟ้ามัวดิน ก่อนหน้านั้นก็มีบ้าง แต่มันไม่ชุกขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ลองไปดูเขาจัดงานวิ่งกันทุกอาทิตย์ เพื่อรองรับคนรักการวิ่ง กลายเป็นธุรกิจท่องเที่ยวแบบคนรักสุขภาพ ไปเที่ยวด้วย ไปวิ่งด้วย เวลาจัดงานวิ่งใหญ่ๆ รีสอร์ต โรงแรมเต็มทั้งตำบลนะครับ
- เลี้ยงเด็กด้วยหน้าจอขนาดเล็กลง สมัยก่อนนิยมเลี้ยงอยู่หน้าทีวี ใช้หนัง CD สะกดเด็กให้อยู่หน้าจอได้เป็นวันๆ เดี๋ยวนี้ใช้หน้าจอมือถือ หรือแท็ปเล็ตก็พอ
- สังคมก้มหน้าขั้นสุด แม้แต่คู่รักที่มาด้วยกัน พอลงนั่งสั่งอาหารเสร็จ ต่างคนต่างก้มหน้าดูจอของตัวเอง อาหารมาถึงก็กินไปแชทไป สุขสุดๆ
- อาชีพยอดนิยม แม่ค้าออนไลน์ คนรอบตัวคุณไม่หนึ่งก็สองคน ต้องขาย หรือเคยขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะ เสื้อผ้า ครีมหน้าขาว กาแฟลดความอ้วนแน่ๆ ใช่ไหม ขายได้มั่ง ไม่ได้มั่ง แต่เห็นเขาทำกันเยอะก็อยากลองมั่งสินะ
- คนพกเงินสดกันน้อยลง เพราะค่าสินค้าและบริการสามารถจ่ายผ่านช่องทางอื่นๆ ได้มากมาย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต โอนเงิน ล่าสุด QR code
- การใช้งานโทรศัพท์เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยใช้ voice เป็นหลักแล้ว data เป็นบริการเสริม ทุกวันนี้คนใช้ Data เป็นหลักแล้ว ไม่ว่าจะส่งข้อความ หรือโทรก็ใช้งานผ่าน internet ทั้งหมด (line call, messenger call) มีสมัยหนึ่งที่ค่าโทรผมไม่พอจนต้องสมัครบริการเสริมเพิ่มค่าโทรอีก 100-200 นาที แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นมานานมากๆ แล้วครับ เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ใช้โปรแกรม chat เลือกเอาว่าจะใช้แอพอะไร การโทรเป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ ถ้าคู่สนทนาไม่ได้ใช้ line หรือ messenger แต่ก็เกิดน้อยมากจริงๆ
ยังมีอะไรอีกไม๊ครับ ที่คุณรู้สึกว่า มันเปลี่ยนไป อย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือในช่วง 10ปีมานี้
ช่วง 10ปีมานี้ มีอะไรบ้างที่คุณรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
เท่าที่ผมสังเกตุดูก็มีหลายอย่าง เช่น
- คนหันไปซื้อของ online แทนที่จะไปที่ร้าน เมื่อก่อนผมนึกว่าจะมีแต่สินค้า IT ที่ระบุสเปกชัดเจน อย่าง แรม, HDD อะไรพวกนี้ แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม ก็กดสั่งมาใช้แล้ว เมื่อก่อนทุกต้นเดือนผมจะต้องไปเข็นรถเข็นอยู่ในโลตัส เดี๋ยวนี้ไม่ได้ไปเดินหาซื้อของแบบนั้นนานเป็นปีๆ แล้ว แม่บ้านผมกดสั่งอยู่กับบ้าน เจอดีลถูกๆ ส่วนลดนั่นนู่นนี่ถูกกว่าโลตัสอีก
- คนเดินห้างฯ ไม่ได้ไปซื้อของ แต่ไปกินข้าว สังเกตุดูสิครับ หลายๆ ห้างเพิ่มจำนวนชั้นของร้านอาหารเป็น 2-3 ชั้น จากที่เมื่อก่อนจะไปอัดกันอยู่มุมๆ ห้าง ชั้นบนๆ เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว
- คนไทยกินกาแฟกันเยอะมาก ตั้งแต่ร้านคีออสเล็กๆ ริมถนน ไปยันสตาร์บั๊คในห้างหรู ร้านกาแฟผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ที่เจ๊งไปก็เยอะ แต่ที่เกิดใหม่มันมากกว่า ที่สำคัญ ร้านกาแฟ ที่มีการลงทุน แต่งร้านสวยๆ นั่งสบายๆ มันเยอะมากๆ
- กระแสรักสุขภาพมาแรง ยกตัวอย่างผมเองไม่ได้ซื้อชาเขียวใส่น้ำตาลมาหลายปีแล้ว ผมหันมากินชาเขียวรสจืดแทน พอกินจนติด ก็สงสัยเลยเมื่อก่อนกินหวานขนาดนั้นเข้าไปได้ยังไง คนไทยเดี๋ยวนี้กินอาหารใส่น้ำตาลน้อยลงมาก รวมไปถึงอาหารมันๆ อย่างของทอดก็กินกันน้อยลง (ยกเว้นสายคีโตจีนิก) ใครที่ขายอาหารแบบเดิมๆ เน้นของหวานๆ มันๆ น่าจะรู้สึกได้ถึงยอดขายที่มันลดฮวบฮาบ โดยเฉพาะแม่ค้าขนมครกน่าจะรู้ดีกว่าใคร ทั้งหวาน ทั้งมันขนาดนั้น
- คนไทยออกกำลังกายกันมากขึ้น ถึงมากที่สุด อันนั้นยกความดีความชอบให้ตูน บอดี้แสลมเลย ตั้งแต่ตูนออกมาวิ่งรอบนั้น คนก็ออกมาวิ่งกันแบบมืดฟ้ามัวดิน ก่อนหน้านั้นก็มีบ้าง แต่มันไม่ชุกขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ลองไปดูเขาจัดงานวิ่งกันทุกอาทิตย์ เพื่อรองรับคนรักการวิ่ง กลายเป็นธุรกิจท่องเที่ยวแบบคนรักสุขภาพ ไปเที่ยวด้วย ไปวิ่งด้วย เวลาจัดงานวิ่งใหญ่ๆ รีสอร์ต โรงแรมเต็มทั้งตำบลนะครับ
- เลี้ยงเด็กด้วยหน้าจอขนาดเล็กลง สมัยก่อนนิยมเลี้ยงอยู่หน้าทีวี ใช้หนัง CD สะกดเด็กให้อยู่หน้าจอได้เป็นวันๆ เดี๋ยวนี้ใช้หน้าจอมือถือ หรือแท็ปเล็ตก็พอ
- สังคมก้มหน้าขั้นสุด แม้แต่คู่รักที่มาด้วยกัน พอลงนั่งสั่งอาหารเสร็จ ต่างคนต่างก้มหน้าดูจอของตัวเอง อาหารมาถึงก็กินไปแชทไป สุขสุดๆ
- อาชีพยอดนิยม แม่ค้าออนไลน์ คนรอบตัวคุณไม่หนึ่งก็สองคน ต้องขาย หรือเคยขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะ เสื้อผ้า ครีมหน้าขาว กาแฟลดความอ้วนแน่ๆ ใช่ไหม ขายได้มั่ง ไม่ได้มั่ง แต่เห็นเขาทำกันเยอะก็อยากลองมั่งสินะ
- คนพกเงินสดกันน้อยลง เพราะค่าสินค้าและบริการสามารถจ่ายผ่านช่องทางอื่นๆ ได้มากมาย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต โอนเงิน ล่าสุด QR code
- การใช้งานโทรศัพท์เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยใช้ voice เป็นหลักแล้ว data เป็นบริการเสริม ทุกวันนี้คนใช้ Data เป็นหลักแล้ว ไม่ว่าจะส่งข้อความ หรือโทรก็ใช้งานผ่าน internet ทั้งหมด (line call, messenger call) มีสมัยหนึ่งที่ค่าโทรผมไม่พอจนต้องสมัครบริการเสริมเพิ่มค่าโทรอีก 100-200 นาที แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นมานานมากๆ แล้วครับ เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ใช้โปรแกรม chat เลือกเอาว่าจะใช้แอพอะไร การโทรเป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ ถ้าคู่สนทนาไม่ได้ใช้ line หรือ messenger แต่ก็เกิดน้อยมากจริงๆ
ยังมีอะไรอีกไม๊ครับ ที่คุณรู้สึกว่า มันเปลี่ยนไป อย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือในช่วง 10ปีมานี้