ขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.hooninside.com/news-feed/78445/view/
By:ศิลปินหุ้น
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(3 ธันวาคม 2561)--------“บรรยง พงษ์พานิช” อดีตซูเปอร์บอร์ด มองโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ SISB เข้าระดมทุนตลาดหุ้น เป็นประโยชน์กับการปฏิรูปการศึกษา ชี้ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ใช่แหล่ง “ชั่วร้าย” ไว้ขูดรีดใคร กลัวบ้าจี้หลงประเด็น บจ.ได้สิทธิภาษี ห้ามเข้าตลาดฯ ลามได้สิทธิบีโอไอ
กลายเป็นข่าวคึกโครม หลัง บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ซึ่งทำธุรกิจโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรสิงคโปร์ เข้าระทุนในตลาดหุ้น และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา
เมื่อ "จุติ ไกรฤกษ์" เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มอบหมายทีมกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ เข้ายื่นร้องที่ศาลปกครอง (28 พ.ย.) ก่อนเข้าซื้อขายเพียง 1 วัน เพื่อระงับการเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ฯของโรงเรียนเอกชน เนื่องจากธุรกิจโรงเรียนเอกชนได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ และภาษีต่างๆจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือด้านการศึกษาจากภาครัฐ และการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯของ SISB ทำให้วัตถุประสงค์โรงเรียนเปลี่ยนไป เป็นมุ่งเน้นแสวงหาผลกำไรสูงสุด และการได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษีด้วย ถือเป็นการเอาเปรียบสังคม
อย่างไรก็ตาม "บรรยง พงษ์พานิช" ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ด ได้ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจถึงประเด็นดังกล่าว...โดยเขียนผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว Banyong Pongpanich ในวันที่ 30 พ.ย.2561 ที่ผ่านมา ในหัวข้อ “วิวาทะเรื่องการศึกษา : โรงเรียนเอกชนควรเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่?”
โดยเนื้อหาระบุว่า ได้เกิดประเด็นถกเถียงกันขึ้น เมื่อมีโรงเรียนเอกชนนานาชาติที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี(เหมือนกับทุกๆโรงเรียน) ได้รับอนุมัติให้ขายหุ้นระดมทุนที่เรียกว่าIPO และนำกิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมมีความเห็นไล่เรียงสรุปได้ดังนี้ครับ
-รัฐอนุญาตให้เอกชนประกอบธุรกิจโรงเรียนได้ ก็แปลว่าส่งเสริมให้มีการลงทุน อนุญาตให้ค้ากำไร (ไม่เคยชักชวนหรือบังคับว่าห้ามค้ากำไร ไม่เคยระบุว่าต้องเป็นมูลนิธิหรือกิจการเพื่อสังคม)
-ที่ยกเว้นภาษีให้ ก็เพราะเห็นว่าเป็นกิจการที่ควรส่งเสริมเป็นพิเศษให้มีต้นทุนต่ำและให้มีการแข่งขันกันเต็มที่ ซึ่งโดยหลักการ ต้นทุนที่ต่ำและการแข่งขันนั้นจะส่งผ่านทั้งคุณภาพและราคาไปที่ผู้บริโภค และอีกสาเหตุก็เพราะต้องแข่งกับโรงเรียนรัฐที่รัฐอุดหนุนเต็มที่โดยใช้ภาษีเข้าช่วย
-ขนาดช่วยให้ต้นทุนต่ำแล้ว โรงเรียนเอกชน (ภาษาไทย) จำนวนมากยังย่ำแย่ อยู่แทบไม่ได้ รัฐต้องให้เงินอุดหนุนในรูปแบบต่างๆ
-เกิดอุตสาหกรรมโรงเรียนนานาชาติขึ้น เพื่อสนองความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการคุณภาพสูงกว่าโรงเรียนรัฐและหลักสูตรกระทรวง คนกลุ่มนี้มีตั้งแต่ชาวต่างชาติ (ที่ปกติต้องส่งลูกกลับไปเรียนเมืองนอก) คนไทยฐานะดีมาก (ที่ปกติก็จะส่งลูกไปเมืองนอกได้แต่ให้มีทางเลือกมากขึ้น) และคนไทยที่ฐานะดีขึ้น(ที่ปกติยังส่งไปนอกไม่ไหวแต่ทำให้มีทางเลือกที่พอ affordได้)
- มีการแข่งขันกันมากขึ้น(ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องเสียภาษีทำให้รับต้นทุนไหวนี่แหละครับ) มีโรงเรียนนานาชาติเกิดขึ้นหลายสิบแห่ง ต้องแข่งขันทั้งคุณภาพและราคา
- เอกชนนั้นย่อมหากำไร ไม่ว่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่
-การอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ย่อมทำให้ต้องหากำไรอย่างโปร่งใสภายใต้มาตรฐานบรรษัทภิบาลมากขึ้น และทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ (ไม่งั้นก็จะมีแต่คนที่เข้าถึงเงินทุนต้นทุนต่ำจากแหล่งอื่น เช่น นายธนาคาร เจ้าของบริษัทประกัน เท่านั้นที่ได้เปรียบ) ทำให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้น (อยู่เมืองไทยนี่เหนื่อยมากนะครับ ที่ต้องนั่งอธิบายว่าตลาดและการแข่งขันอย่างเท่าเทียมนี่ดีอย่างไร มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร …โดยเฉพาะต้องอธิบายให้พวกที่ประกาศตนเป็น”เสรีนิยม”นี่แหละครับ)
- จริงๆต้องตรงกันข้ามกัน คือสนับสนุนให้โรงเรียนที่มีกำไรเข้าตลาดหลักทรัพย์เยอะๆ จะทำให้เข้าถึงแหล่งทุน ขยายตัวได้ แข่งขันกันมากๆ ราคาจะลดลง คุณภาพจะเพิ่มขึ้น
- สมมุติว่ามีการลงทุนมากขึ้น มีการเปิดการขยายมากขึ้น ราคาลดลง เด็กไทยก็มีแต่จะได้โอกาสมีทางเลือกที่จะได้รับโอกาสที่จะได้รับการศึกษาในคุณภาพที่สูงขึ้นในจำนวนที่มากขึ้น (ซึ่งตลาดจะบอกเอง ผู้บริโภคจะตัดสินเองว่าจะซื้อไหม ถ้าไม่ดีจริง หรือดีกว่าของถูกของฟรีที่รัฐจัดให้ไม่มากพอ ก็จะเจ๊งไปเอง)
- ถ้ากลไกตลาดเดินไปได้เรื่อยๆ ในที่สุดการศึกษาก็จะถูกปฏิรูปโดยกลไกตลาด ให้การศึกษาไปอยู่ในมือเอกชนให้มากกว่ารัฐ (เหมือนทุกประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษาสูง) ส่วนคนด้อยโอกาสก็จะเพิ่มโอกาสที่จะได้เรียนโรงเรียนรัฐที่ดีๆ (เพราะถ้าใช้หลักการตลาดเข้าไปด้วยโรงเรียนรัฐที่ห่วยจะเจ๊งก่อน และที่เหลือก็จะถูกโรงเรียนเอกชนกดดันให้เพิ่มมาตรฐาน ไม่งั้นถึงจะฟรีถึงจะถูกก็ไม่มีคนเรียน)
- ในที่สุดตลาดจะเข้าสู่สมดุล คนที่ Afford ไหวก็จะเรียนเอกชนคุณภาพสูง คนที่ต้องพึ่งรัฐก็จะได้โรงเรียนรัฐที่คุณภาพดีขึ้น หลักสูตรก็จะถูกตลาดกดดันให้พัฒนาไปตามที่ควร ถ้าจะให้ดีควรตั้งเป้าให้มีโรงเรียนเอกชนคุณภาพดี (ซึ่งตลาดจะบอกเอง) มากกว่าโรงเรียนรัฐซึ่งจะเหมือนกับประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษาสูงๆทั้งหลาย …ส่วนคนด้อยโอกาสทั้งหลายรัฐก็ส่งเสริมโดยการให้ทุนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ (ไม่ใช่เฉพาะที่เรียนดี) ซึ่งก็มีกองทุนอยู่แล้ว
- กระบวนการทั้งหมดนี่ เรียกได้เลยว่า เป็นการปฏิรูปโดยใช้กลไกตลาดนำ และรัฐเพียงแต่ส่งเสริมโดยให้สิทธิทางภาษีทั้งระบบ และคอยควบคุมคุณภาพ (เป็นregulator) รับรองว่ามีคุณภาพสูงและต้นทุนต่ำกว่าที่พยายามทำเองไปทั้งหมด จนต้องใช้งบปีละกว่าห้าแสนล้าน แล้วยังได้คุณภาพสุดห่วยอย่างทุกวันนี้
- สำหรับผม เชื่อว่านี่เป็นกระบวนการที่จะปฏิรูปการศึกษาที่มีโอกาสได้ผลที่สุด และต้นทุนต่ำที่สุด ดีกว่าที่ระดมสรรพกูรูมานั่งวางแผนกันเยอะครับ
-จะเห็นได้ว่า เรื่องยกเว้นภาษี กับเรื่องเข้าตลาดเพื่อหาแหล่งทุนที่มีประสิทธิภาพนั้น มันคนละเรื่องกันเลย ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่แหล่งชั่วร้ายไว้ขูดรีดใคร ขณะเดียวกันก็มีเงื่อนไขที่ต้องโปร่งใส ไม่ใช่การได้สิทธิ์พิเศษใด
- ผมกลัวมากว่า จะมีการบ้าจี้ หลงประเด็น ไปเรียกร้องว่า โรงเรียนไหนจะเข้าตลาดต้องยกเว้นสิทธิ์เรื่องภาษี(เดี๋ยวจะลามไปถึงใครได้บีโอไอห้ามเข้าตลาด ใครอยู่ในตลาดห้ามขอบีโอไอ) หรือที่แย่กว่านั้นก็เช่น โรงเรียนไหนไม่สอนตามหลักสูตรกระทรวงไม่ได้รับยกเว้นภาษี ถ้าอย่างนั้น การศึกษาไทยจบเห่แน่ เด็กไทยจะมีแค่ทางเลือกที่ต้องดักดานตามคุณภาพกระทรวงไปตลอด(ซึ่งท่านก็พิสูจน์ยืนยันระดับคุณภาพตลอดมา) ส่วนลูกฝรั่งลูกคนรวยมากๆก็ให้ส่งไปเรียนเมืองนอกกันเหมือนเดิม กลับมาจะได้ยืนยันการเป็นเจ้าคนนายคน แถมเสียดุลการค้าอีกต่างหาก
- มีคนบอกว่า โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเอกชนแพงๆดีๆ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากขึ้น เรื่องนี้ในระยะสั้นเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เพราะมันทำให้เด็กไทยจำนวนมากขึ้นได้มีโอกาสได้รับการศึกษาคุณภาพดีที่รัฐจัดหาให้ไม่ได้ แต่มันเป็นความเหลื่อมล้ำขึ้นข้างบน ดีกว่าฉุดให้โง่พอๆกันทั้งประเทศ ห้ามมีคนฉลาด(เหมือนที่เวเนซูเอล่าลดความเหลื่อมล้ำโดยทำให้จนกันทั้งประเทศไงครับ) …และในระยะยาว พอกลไกตลาดทำงานอย่างที่ผมร่ายเรียงข้างบน ความเหลื่อมล้ำก็จะลดลงแถมคุณภาพยกระดับขึ้นทั้งแผง
- ถ้าจะเลิกยกเว้นภาษี ต้องยกเลิกทุกโรงเรียนทุกประเภท แต่จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ราคาก็จะสูงตาม แล้วรัฐก็แบกรับภาระเหมือนเดิม การปฏิรูปโดยกลไกตลาดที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพเหนือแผนยุทธศาสตร์ชาติใดๆก็จะไม่เกิด หรือเกิดขึ้นช้าลง
- แต่เอาเหอะ ถ้าไม่เชื่อผม จะเก็บภาษี ก็ขอให้ Earmarkไว้ แล้วเอาไปให้กองทุนลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่งตั้งแต่ไม่ให้งบประมาณ อย่างน้อยก็บรรเทาความเหลื่อมล้ำได้บ้าง แต่ผมมั่นใจว่าสู้ให้ระบบตลาดทำงานไม่ได้แน่ครับ
ขอสรุปนะครับ …ที่เขียนเล่ามายืดยาวนี่เป็นการคิดให้ครบกระบวนการนะครับ ซึ่งผมก็สรุปง่ายๆว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของสถานศึกษาที่ค้ากำไรนั้น เป็นประโยชน์กับการปฏิรูปการศึกษา และสอดคล้องกับนโยบายยกเว้นภาษีที่ส่งเสริมให้เอกชนลงทุนในเรื่องการศึกษา เพราะเป็นเรื่องอยากให้ลดต้นทุนและให้มีการแข่งขัน ซึ่งในที่สุดทั้งคุณภาพและราคาจะถูกกลไกตลาดส่งผ่านไปให้ผู้บริโภค คือประชาชนทั้งหมดเอง ไม่ใช่เรื่องที่ขัดกันแต่อย่างใด และเป็นการใช้กลไกตลาดในระบบเสรีนิยมให้นำการปฏิรูปซึ่งพิสูจน์แล้วในหลายประเทศ ว่ามีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่ารัฐนำเยอะมาก
ที่มีเลขาฯพรรคที่ประกาศตัวว่าเป็นพรรค”เสรีนิยม”ลุกขึ้นมาค้านหัวชนฝา ถึงขั้นฟ้องศาล เรียกร้องรัฐบาลให้ยกเลิกนี่ ทำผมงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้ว่าทำไมท่านต้องรีบฝึกรีบซ้อมเป็นฝ่ายค้านตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง …ในฐานะที่เป็นกองเชียร์พรรคนี้มาตลอด ผมขอเรียนด้วยความเคารพ ว่าในความเห็นผม ท่านค้านผิดเรื่อง ค้านผิดหลัก และค้านผิดจังหวะ (ก็เขาขายหุ้นจนเข้าตลาดเสร็จไปแล้ว) ครับ
รายงานพิเศษ : “บรรยง”ชี้ SISB เข้าตลาดหุ้นเป็นประโยชน์กับการปฏิรูปการศึกษา
By:ศิลปินหุ้น
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(3 ธันวาคม 2561)--------“บรรยง พงษ์พานิช” อดีตซูเปอร์บอร์ด มองโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ SISB เข้าระดมทุนตลาดหุ้น เป็นประโยชน์กับการปฏิรูปการศึกษา ชี้ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ใช่แหล่ง “ชั่วร้าย” ไว้ขูดรีดใคร กลัวบ้าจี้หลงประเด็น บจ.ได้สิทธิภาษี ห้ามเข้าตลาดฯ ลามได้สิทธิบีโอไอ
กลายเป็นข่าวคึกโครม หลัง บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ซึ่งทำธุรกิจโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรสิงคโปร์ เข้าระทุนในตลาดหุ้น และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา
เมื่อ "จุติ ไกรฤกษ์" เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มอบหมายทีมกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ เข้ายื่นร้องที่ศาลปกครอง (28 พ.ย.) ก่อนเข้าซื้อขายเพียง 1 วัน เพื่อระงับการเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ฯของโรงเรียนเอกชน เนื่องจากธุรกิจโรงเรียนเอกชนได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ และภาษีต่างๆจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือด้านการศึกษาจากภาครัฐ และการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯของ SISB ทำให้วัตถุประสงค์โรงเรียนเปลี่ยนไป เป็นมุ่งเน้นแสวงหาผลกำไรสูงสุด และการได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษีด้วย ถือเป็นการเอาเปรียบสังคม
อย่างไรก็ตาม "บรรยง พงษ์พานิช" ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ด ได้ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจถึงประเด็นดังกล่าว...โดยเขียนผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว Banyong Pongpanich ในวันที่ 30 พ.ย.2561 ที่ผ่านมา ในหัวข้อ “วิวาทะเรื่องการศึกษา : โรงเรียนเอกชนควรเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่?”
โดยเนื้อหาระบุว่า ได้เกิดประเด็นถกเถียงกันขึ้น เมื่อมีโรงเรียนเอกชนนานาชาติที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี(เหมือนกับทุกๆโรงเรียน) ได้รับอนุมัติให้ขายหุ้นระดมทุนที่เรียกว่าIPO และนำกิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมมีความเห็นไล่เรียงสรุปได้ดังนี้ครับ
-รัฐอนุญาตให้เอกชนประกอบธุรกิจโรงเรียนได้ ก็แปลว่าส่งเสริมให้มีการลงทุน อนุญาตให้ค้ากำไร (ไม่เคยชักชวนหรือบังคับว่าห้ามค้ากำไร ไม่เคยระบุว่าต้องเป็นมูลนิธิหรือกิจการเพื่อสังคม)
-ที่ยกเว้นภาษีให้ ก็เพราะเห็นว่าเป็นกิจการที่ควรส่งเสริมเป็นพิเศษให้มีต้นทุนต่ำและให้มีการแข่งขันกันเต็มที่ ซึ่งโดยหลักการ ต้นทุนที่ต่ำและการแข่งขันนั้นจะส่งผ่านทั้งคุณภาพและราคาไปที่ผู้บริโภค และอีกสาเหตุก็เพราะต้องแข่งกับโรงเรียนรัฐที่รัฐอุดหนุนเต็มที่โดยใช้ภาษีเข้าช่วย
-ขนาดช่วยให้ต้นทุนต่ำแล้ว โรงเรียนเอกชน (ภาษาไทย) จำนวนมากยังย่ำแย่ อยู่แทบไม่ได้ รัฐต้องให้เงินอุดหนุนในรูปแบบต่างๆ
-เกิดอุตสาหกรรมโรงเรียนนานาชาติขึ้น เพื่อสนองความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการคุณภาพสูงกว่าโรงเรียนรัฐและหลักสูตรกระทรวง คนกลุ่มนี้มีตั้งแต่ชาวต่างชาติ (ที่ปกติต้องส่งลูกกลับไปเรียนเมืองนอก) คนไทยฐานะดีมาก (ที่ปกติก็จะส่งลูกไปเมืองนอกได้แต่ให้มีทางเลือกมากขึ้น) และคนไทยที่ฐานะดีขึ้น(ที่ปกติยังส่งไปนอกไม่ไหวแต่ทำให้มีทางเลือกที่พอ affordได้)
- มีการแข่งขันกันมากขึ้น(ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องเสียภาษีทำให้รับต้นทุนไหวนี่แหละครับ) มีโรงเรียนนานาชาติเกิดขึ้นหลายสิบแห่ง ต้องแข่งขันทั้งคุณภาพและราคา
- เอกชนนั้นย่อมหากำไร ไม่ว่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่
-การอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ย่อมทำให้ต้องหากำไรอย่างโปร่งใสภายใต้มาตรฐานบรรษัทภิบาลมากขึ้น และทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ (ไม่งั้นก็จะมีแต่คนที่เข้าถึงเงินทุนต้นทุนต่ำจากแหล่งอื่น เช่น นายธนาคาร เจ้าของบริษัทประกัน เท่านั้นที่ได้เปรียบ) ทำให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้น (อยู่เมืองไทยนี่เหนื่อยมากนะครับ ที่ต้องนั่งอธิบายว่าตลาดและการแข่งขันอย่างเท่าเทียมนี่ดีอย่างไร มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร …โดยเฉพาะต้องอธิบายให้พวกที่ประกาศตนเป็น”เสรีนิยม”นี่แหละครับ)
- จริงๆต้องตรงกันข้ามกัน คือสนับสนุนให้โรงเรียนที่มีกำไรเข้าตลาดหลักทรัพย์เยอะๆ จะทำให้เข้าถึงแหล่งทุน ขยายตัวได้ แข่งขันกันมากๆ ราคาจะลดลง คุณภาพจะเพิ่มขึ้น
- สมมุติว่ามีการลงทุนมากขึ้น มีการเปิดการขยายมากขึ้น ราคาลดลง เด็กไทยก็มีแต่จะได้โอกาสมีทางเลือกที่จะได้รับโอกาสที่จะได้รับการศึกษาในคุณภาพที่สูงขึ้นในจำนวนที่มากขึ้น (ซึ่งตลาดจะบอกเอง ผู้บริโภคจะตัดสินเองว่าจะซื้อไหม ถ้าไม่ดีจริง หรือดีกว่าของถูกของฟรีที่รัฐจัดให้ไม่มากพอ ก็จะเจ๊งไปเอง)
- ถ้ากลไกตลาดเดินไปได้เรื่อยๆ ในที่สุดการศึกษาก็จะถูกปฏิรูปโดยกลไกตลาด ให้การศึกษาไปอยู่ในมือเอกชนให้มากกว่ารัฐ (เหมือนทุกประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษาสูง) ส่วนคนด้อยโอกาสก็จะเพิ่มโอกาสที่จะได้เรียนโรงเรียนรัฐที่ดีๆ (เพราะถ้าใช้หลักการตลาดเข้าไปด้วยโรงเรียนรัฐที่ห่วยจะเจ๊งก่อน และที่เหลือก็จะถูกโรงเรียนเอกชนกดดันให้เพิ่มมาตรฐาน ไม่งั้นถึงจะฟรีถึงจะถูกก็ไม่มีคนเรียน)
- ในที่สุดตลาดจะเข้าสู่สมดุล คนที่ Afford ไหวก็จะเรียนเอกชนคุณภาพสูง คนที่ต้องพึ่งรัฐก็จะได้โรงเรียนรัฐที่คุณภาพดีขึ้น หลักสูตรก็จะถูกตลาดกดดันให้พัฒนาไปตามที่ควร ถ้าจะให้ดีควรตั้งเป้าให้มีโรงเรียนเอกชนคุณภาพดี (ซึ่งตลาดจะบอกเอง) มากกว่าโรงเรียนรัฐซึ่งจะเหมือนกับประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษาสูงๆทั้งหลาย …ส่วนคนด้อยโอกาสทั้งหลายรัฐก็ส่งเสริมโดยการให้ทุนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ (ไม่ใช่เฉพาะที่เรียนดี) ซึ่งก็มีกองทุนอยู่แล้ว
- กระบวนการทั้งหมดนี่ เรียกได้เลยว่า เป็นการปฏิรูปโดยใช้กลไกตลาดนำ และรัฐเพียงแต่ส่งเสริมโดยให้สิทธิทางภาษีทั้งระบบ และคอยควบคุมคุณภาพ (เป็นregulator) รับรองว่ามีคุณภาพสูงและต้นทุนต่ำกว่าที่พยายามทำเองไปทั้งหมด จนต้องใช้งบปีละกว่าห้าแสนล้าน แล้วยังได้คุณภาพสุดห่วยอย่างทุกวันนี้
- สำหรับผม เชื่อว่านี่เป็นกระบวนการที่จะปฏิรูปการศึกษาที่มีโอกาสได้ผลที่สุด และต้นทุนต่ำที่สุด ดีกว่าที่ระดมสรรพกูรูมานั่งวางแผนกันเยอะครับ
-จะเห็นได้ว่า เรื่องยกเว้นภาษี กับเรื่องเข้าตลาดเพื่อหาแหล่งทุนที่มีประสิทธิภาพนั้น มันคนละเรื่องกันเลย ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่แหล่งชั่วร้ายไว้ขูดรีดใคร ขณะเดียวกันก็มีเงื่อนไขที่ต้องโปร่งใส ไม่ใช่การได้สิทธิ์พิเศษใด
- ผมกลัวมากว่า จะมีการบ้าจี้ หลงประเด็น ไปเรียกร้องว่า โรงเรียนไหนจะเข้าตลาดต้องยกเว้นสิทธิ์เรื่องภาษี(เดี๋ยวจะลามไปถึงใครได้บีโอไอห้ามเข้าตลาด ใครอยู่ในตลาดห้ามขอบีโอไอ) หรือที่แย่กว่านั้นก็เช่น โรงเรียนไหนไม่สอนตามหลักสูตรกระทรวงไม่ได้รับยกเว้นภาษี ถ้าอย่างนั้น การศึกษาไทยจบเห่แน่ เด็กไทยจะมีแค่ทางเลือกที่ต้องดักดานตามคุณภาพกระทรวงไปตลอด(ซึ่งท่านก็พิสูจน์ยืนยันระดับคุณภาพตลอดมา) ส่วนลูกฝรั่งลูกคนรวยมากๆก็ให้ส่งไปเรียนเมืองนอกกันเหมือนเดิม กลับมาจะได้ยืนยันการเป็นเจ้าคนนายคน แถมเสียดุลการค้าอีกต่างหาก
- มีคนบอกว่า โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเอกชนแพงๆดีๆ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากขึ้น เรื่องนี้ในระยะสั้นเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เพราะมันทำให้เด็กไทยจำนวนมากขึ้นได้มีโอกาสได้รับการศึกษาคุณภาพดีที่รัฐจัดหาให้ไม่ได้ แต่มันเป็นความเหลื่อมล้ำขึ้นข้างบน ดีกว่าฉุดให้โง่พอๆกันทั้งประเทศ ห้ามมีคนฉลาด(เหมือนที่เวเนซูเอล่าลดความเหลื่อมล้ำโดยทำให้จนกันทั้งประเทศไงครับ) …และในระยะยาว พอกลไกตลาดทำงานอย่างที่ผมร่ายเรียงข้างบน ความเหลื่อมล้ำก็จะลดลงแถมคุณภาพยกระดับขึ้นทั้งแผง
- ถ้าจะเลิกยกเว้นภาษี ต้องยกเลิกทุกโรงเรียนทุกประเภท แต่จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ราคาก็จะสูงตาม แล้วรัฐก็แบกรับภาระเหมือนเดิม การปฏิรูปโดยกลไกตลาดที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพเหนือแผนยุทธศาสตร์ชาติใดๆก็จะไม่เกิด หรือเกิดขึ้นช้าลง
- แต่เอาเหอะ ถ้าไม่เชื่อผม จะเก็บภาษี ก็ขอให้ Earmarkไว้ แล้วเอาไปให้กองทุนลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่งตั้งแต่ไม่ให้งบประมาณ อย่างน้อยก็บรรเทาความเหลื่อมล้ำได้บ้าง แต่ผมมั่นใจว่าสู้ให้ระบบตลาดทำงานไม่ได้แน่ครับ
ขอสรุปนะครับ …ที่เขียนเล่ามายืดยาวนี่เป็นการคิดให้ครบกระบวนการนะครับ ซึ่งผมก็สรุปง่ายๆว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของสถานศึกษาที่ค้ากำไรนั้น เป็นประโยชน์กับการปฏิรูปการศึกษา และสอดคล้องกับนโยบายยกเว้นภาษีที่ส่งเสริมให้เอกชนลงทุนในเรื่องการศึกษา เพราะเป็นเรื่องอยากให้ลดต้นทุนและให้มีการแข่งขัน ซึ่งในที่สุดทั้งคุณภาพและราคาจะถูกกลไกตลาดส่งผ่านไปให้ผู้บริโภค คือประชาชนทั้งหมดเอง ไม่ใช่เรื่องที่ขัดกันแต่อย่างใด และเป็นการใช้กลไกตลาดในระบบเสรีนิยมให้นำการปฏิรูปซึ่งพิสูจน์แล้วในหลายประเทศ ว่ามีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่ารัฐนำเยอะมาก
ที่มีเลขาฯพรรคที่ประกาศตัวว่าเป็นพรรค”เสรีนิยม”ลุกขึ้นมาค้านหัวชนฝา ถึงขั้นฟ้องศาล เรียกร้องรัฐบาลให้ยกเลิกนี่ ทำผมงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้ว่าทำไมท่านต้องรีบฝึกรีบซ้อมเป็นฝ่ายค้านตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง …ในฐานะที่เป็นกองเชียร์พรรคนี้มาตลอด ผมขอเรียนด้วยความเคารพ ว่าในความเห็นผม ท่านค้านผิดเรื่อง ค้านผิดหลัก และค้านผิดจังหวะ (ก็เขาขายหุ้นจนเข้าตลาดเสร็จไปแล้ว) ครับ