(บันทึกการเดินทาง) Kyushu Road Trip --- 28 OCT to 4 NOV 2018





“ไปญี่ปุ่นอีกละ??” คือประโยคที่ได้ยินเกือบทุกครั้งเวลาบอกใครๆ ว่าปลายปีนี้ (2561) จะไปเที่ยวคิวชู

ทริปนี้เริ่มต้นจากผมเอ่ยปากชวนก๊วนที่เคยไปเที่ยวฮอกไกโดด้วยกันเมื่อ 4 ปีก่อนว่าสนใจไปเที่ยวเจแปนแอลป์กันไหม แต่เป็นไงมาไงถึงมาลงเอยที่คิวชูได้ก็งงๆ เหมือนกัน

คิวชูเป็นภูมิภาคที่ผมเคยศึกษาข้อมูลคร่าวๆ มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็มองข้ามไปเพราะดูสถานที่เที่ยวออกจะเป็นแนวซ้ำๆ กับที่เคยไปมา แต่ในเมื่อตกลงใจจะไปแล้วก็ต้องลองค้นหาเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ดูสักตั้ง

การจัดโปรแกรมคราวนี้แอบใส่กลิ่นอายของทริปถ่ายภาพเข้าไปหน่อยๆ คือต้องไม่ใช่แค่ไปถึงแล้วยกกล้องถ่ายมั่วซั่ว แต่จะพยายามหาข้อมูลล่วงหน้าเพื่อพาตัวเองไปอยู่ในมุมที่สวยในเวลาที่ใช่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



แผนการเดินทางเริ่มต้นที่ฟุกุโอกะ เมืองหลวงแห่งเกาะคิวชู ไปสัมผัสกลิ่นอายทะเลที่คาราสึ แล้วมุ่งหน้าสู่นางาซากิ เมืองแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมและรอยบาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นนั่งเฟอร์รี่จากชิมาบาระข้ามฝั่งไปยังคุมาโมโตะ บ้านเกิดของคุมะมง ชมความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟอะโสะ ดื่มด่ำกับออนเซ็นที่โออิตะ แล้วกลับไปช็อปปิ้งที่ฟุกุโอกะเป็นการปิดท้าย
  
สมาชิกทริปนี้มีด้วยกัน 6 คน คำนวณแล้วหากเช่ารถขับจะคุ้มค่าและบริหารเวลาได้คล่องตัวกว่า โดยเลือกใช้บริการ Nippon Rent A Car เพราะถึงแม้ราคาจะแพงกว่าหลายๆ เจ้า แต่การจองมีออปชั่นให้เลือกค่อนข้างครบครัน ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ต้องไปเพิ่มนั่นนี่เอาหน้างาน แถมช่วงที่จองยังมีโปรลด 30% ให้ด้วย

Day 1 - Karatsu




หลังจากลงเครื่องเวลาเช้าตรู่ก็รีบติดต่อรับรถเพื่อเริ่มเดินทางกันเลย ได้เป็นโตโยต้าโนอาห์ มินิแวน 8 ที่นั่ง ขนาดกระทัดรัด



ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งก็มาถึงตลาดเช้าโยบุโกะในเมืองคาราสึ เป็นตลาดนัดริมทะเล ตั้งอยู่ติดกับท่าเรือ มีสินค้าจากทะเลสดๆ โดยเฉพาะปลาหมึกที่เป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองวางขายเต็มสองข้างทาง สาเหตุที่ต้องรีบบึ่งมาที่นี่เป็นอันดับแรกเพราะตลาดจะเปิดถึงแค่เที่ยงวันเท่านั้น



ว่าแล้วก็จัดเมนูปลาหมึกเป็นอาหารเที่ยงที่ร้านซีฟู้ดริมทะเลซะเลย ที่จริงจานที่เป็นซิกเนเจอร์ของคาราสึแท้ๆ คือปลาหมึกซาชิมิแล่สดๆ แล้วเสิร์ฟทันทีแบบที่ปลาหมึกยังแอบดิ้นกระดุ้กๆ อยู่ แต่ดูแล้วออกจะโหดไปหน่อย เลยสั่งเป็นเทมปุระปลาหมึก โคร็อกเกะปลาหมึก และติ่มซำปลาหมึกแทน แค่นี้ก็สัมผัสได้ถึงความสดจนฟินไปตามๆ กัน



แม้คาราสึจะไม่มีชายหาดสวยงามขึ้นชื่อ แต่ทิวทัศน์และวิถีชีวิตแบบเมืองชนบทริมทะเลของที่นี่ก็มีสเน่ห์ชวนให้มาสัมผัส อย่างภาพฝูงวัวเล็มหญ้าอยู่ริมผาติดทะเลที่ฟาร์มสึกิโนฮาระก็ใช่จะหาดูกันได้ง่ายๆ

ฟาร์มสึกิโนฮาระเป็นฟาร์มจริงๆ ที่ไม่มีร้านค้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดไว้บริการนักท่องเที่ยวเลย แต่ทิวทัศน์ที่นี่จัดว่าสวยกว่าแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งเสียอีก เป็นความงามที่ไม่เรียกร้องความสนใจโดยแท้    



ส่วนแหลมฮาโดะที่มีจุดเด่นคืออนุสรณ์แห่งความรักรูปหัวใจนั้น ที่จริงไม่ค่อยอินเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าดูปั้นแต่งไปหน่อย แต่ไหนๆ โฉบมาแถวนี้แล้วก็แวะสักนิดนึง



เอกลักษณ์อีกอย่างของคาราสึคือป่าสนดำนิจิโนะมัตสึบาระที่มีสนดำกว่าหนึ่งล้านต้น ทอดเป็นแนวตลอดความยาวของอ่าวคาราสึ ทำหน้าที่ดุจปราการธรรมชาติคอยบังคลื่นลมทะเลให้แก่ชาวเมืองมากว่า 300 ปี แล้ว

ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของร้านคาราสึเบอร์เกอร์ ฟู้ดทรั้คเจ้าดังประจำเมืองที่เปิดประจำการมานานกว่า 50 ปี หน้าตาเบอร์เกอร์อาจดูบ้านๆ แต่เครื่องที่ให้มาเต็มๆ ไม่มีกั้ก ประกบด้วยขนมปังที่ปิ้งมาเกรียมพอดีจนกรอบนอกนุ่มใน กินไปชมความงามของป่าสนไป เปรมแค่ไหนก็คิดดูแล้วกัน



สำหรับสถานที่ถ่ายภาพแสงเย็นในวันนี้ได้แก่ปราสาทคาราสึที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง

โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่าปราสาทในญี่ปุ่น รูปทรงจะครือๆ กัน ด้านในก็จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์คล้ายๆ กัน แถมแต่ละแห่งยังถูกสร้างขึ้นใหม่เพราะของเดิมพังไปแล้วเหมือนๆ กันอีก ปราสาทคาราสึเองก็เป็นแบบนั้น แต่ความพิเศษของที่นี่คือตัวปราสาทตั้งอยู่บนเนินที่ยื่นล้ำเข้าไปในทะเล เกิดเป็นช่องแคบที่แบ่งระหว่างอ่าวคาราสึกับแม่น้ำมัตสึอุระ ยิ่งเมื่อมองจากอีกฝั่งของสะพานคนข้ามที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งสวยงามลงตัว การเลือกถ่ายภาพแสงเย็นที่ปราสาทคาราสึ จึงเป็นการขับเน้นความเป็นเมืองชายทะเลของที่นี่ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

https://www.facebook.com/neooakblog

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่