สัมมาทิฎฐิ ๒ อย่าง
อย่าง"มีตัวตน" และ อย่าง"ไม่มีตัวตน"
"มองดูไปยังสิ่งที่เรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ" ในพระพุทธศาสนานี้ ก็มีอยู่เป็น ๒ อย่าง
สัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น เรียกว่า "โลกิยสัมมาทิฏฐิ" ก็ได้. นี้ก็สอนเรื่อง มีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคล มีบิดามารดา มีโลกนี้ มีโลกอื่น มีการทำบุญให้ทาน ; อย่างนี้เป็นสัมมาทิฏฐิชนิดที่"มีตัวตน"
ทีนี้ สัมมาทิฏฐิที่สูงขึ้นไป อย่าง"ไม่มีตัวตน" จะไม่สอนอย่างนั้น, จะไม่พูดอย่างนั้น, จะพูดแต่เพียงว่า "นี้ความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับสนิทแห่งทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ คือเรื่อง"อริยสัจ"นั่นเอง
ที่สอนยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็คือ ไม่มีคู่สุดโต่ง มีแต่ตรงกลาง ที่เรียกว่า "อิทัปปัจจยตา", ไม่มีสัตว์ บุคคล. แล้วก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเสียเลย แล้วก็ไม่พูดว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด ซึ่งเป็นความเห็นผิดทั้งสองอย่าง แต่พูดอยู่ตรงกลางว่า "มันแล้วแต่เหตุปัจจัย" หรือ "อิทัปปัจจยตา" มันไม่มีคน ตัวตน; มีแต่..อิทัปปัจจยตา มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา.
เราสมมติว่า"มีคน" สมมุติส่วนนั้นว่า"เกิด" สมมติส่วนนี้ว่า"ตาย"
โดยเนื้อแท้แล้วมีแต่ "สิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย" ตามกฎของธรรมชาติ
สัมมาทิฏฐิอย่าง"มีตัวตน"นั้น ทำให้เวียนว่ายไปในวัฏฏะอย่างดี
สัมมาทิฏฐิอย่าง"ไม่มีตัวตน"นั้น ทำให้หยุดเวียนว่ายโดยประการทั้งปวง.
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง"ธรรมะในฐานะสิ่งที่ต้องศึกษาทั้งชนิดมีตัวตนและไม่มีตัวตน"
เมื่อ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๒
พุทธทาส ภิกขุ
#สัมมาทิฏฐิ #อิทัปปัจจยตา
ธรรมะเพื่อดับทุกข์ในชาตินี้
อย่าง"มีตัวตน" และ อย่าง"ไม่มีตัวตน"
"มองดูไปยังสิ่งที่เรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ" ในพระพุทธศาสนานี้ ก็มีอยู่เป็น ๒ อย่าง
สัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น เรียกว่า "โลกิยสัมมาทิฏฐิ" ก็ได้. นี้ก็สอนเรื่อง มีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคล มีบิดามารดา มีโลกนี้ มีโลกอื่น มีการทำบุญให้ทาน ; อย่างนี้เป็นสัมมาทิฏฐิชนิดที่"มีตัวตน"
ทีนี้ สัมมาทิฏฐิที่สูงขึ้นไป อย่าง"ไม่มีตัวตน" จะไม่สอนอย่างนั้น, จะไม่พูดอย่างนั้น, จะพูดแต่เพียงว่า "นี้ความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับสนิทแห่งทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ คือเรื่อง"อริยสัจ"นั่นเอง
ที่สอนยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็คือ ไม่มีคู่สุดโต่ง มีแต่ตรงกลาง ที่เรียกว่า "อิทัปปัจจยตา", ไม่มีสัตว์ บุคคล. แล้วก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเสียเลย แล้วก็ไม่พูดว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด ซึ่งเป็นความเห็นผิดทั้งสองอย่าง แต่พูดอยู่ตรงกลางว่า "มันแล้วแต่เหตุปัจจัย" หรือ "อิทัปปัจจยตา" มันไม่มีคน ตัวตน; มีแต่..อิทัปปัจจยตา มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา.
เราสมมติว่า"มีคน" สมมุติส่วนนั้นว่า"เกิด" สมมติส่วนนี้ว่า"ตาย"
โดยเนื้อแท้แล้วมีแต่ "สิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย" ตามกฎของธรรมชาติ
สัมมาทิฏฐิอย่าง"มีตัวตน"นั้น ทำให้เวียนว่ายไปในวัฏฏะอย่างดี
สัมมาทิฏฐิอย่าง"ไม่มีตัวตน"นั้น ทำให้หยุดเวียนว่ายโดยประการทั้งปวง.
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง"ธรรมะในฐานะสิ่งที่ต้องศึกษาทั้งชนิดมีตัวตนและไม่มีตัวตน"
เมื่อ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๒
พุทธทาส ภิกขุ
#สัมมาทิฏฐิ #อิทัปปัจจยตา