ทีนี้จะพูดต่อไปถึง ทางนิพพาน ถ้าพูดว่า "ทางนิพพาน" ก็ค่อยปลอดภัย แต่ถ้าพูดว่า "ทางไปนิพพาน" มันก็เลือนออกไป ไม่ค่อยปลอดภัย ทั้งนี้เพราะว่า นิพพานนั้นไม่ต้องไป ถ้ามีการไปก็ไม่ใช่นิพพาน ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การหยุดอยู่" นิพพานเป็นสภาวะอันหนึ่งซึ่งปรากฏออกมา เมื่อมีการกระทำถูกต้อง มีการปฏิบัติถูกต้อง ฉะนั้นจึงไม่ต้องไป จึงไม่ต้องมา รวมทั้งไม่ต้องหยุดอยู่ที่นั่น
นี้เป็นภาษาที่ต้องระวัง ไป ก็ไปหาสิ่งหนึ่ง มา ก็มาหาสิ่งหนึ่ง หยุด ก็เพราะว่าติดอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันใช้ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นจึงได้ไป จึงได้มา หรือจึงได้หยุดอยู่ที่ไหน ต่อเมื่อดับความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสีย ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุด หรือติดอยู่ที่ไหน จึงจะเรียกว่าเป็นการหลุดออกไป นี้ถ้าจะเรียกโดยสมมติก็เรียกว่า "ทางนิพพาน"
ทางนิพพานนั้นเรียกว่ามรรค มรรคซึ่งแปลว่าหนทางนี้เอง แต่เป็นหนทาง ทางจิตใจ ที่เรียกว่าอริยมรรคบ้าง อัฏฐังคกมรรคบ้าง แล้วแต่จะให้หมายความอย่างไร ที่เรียกว่าอัฏฐังคิกมรรค มรรคประกอบไปด้วยองค์ ๘ นั้นเป็นตัวทางนิพพาน หมายความว่าเมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนั้น นิพพานปรากฏออกมา เราไม่ต้องเรียกว่าไปนิพพาน หรือหนทางเพื่อให้ไปนิพพาน แต่ต้องพูดว่าทางให้ถึงนิพพาน ถ้าจะพูดกันอย่างอื่น เพื่อไม่เกิดความกำกวมก็จะต้องพูดว่า เป็นการปฏิบัติที่จะทำนิพพานให้ปรากฏแก่ใจ
การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน พอเหมาะพอดีแล้วนิพพานก็จะปรากฏแก่จิตใจของผู้ปฏิบัติ ที่ว่ามรรคมีองค์ ๘ นั้น ก็ขอทบทวนซักซ้อมความเข้าใจไว้เสมอว่า หมายถึงความถูกต้อง ๘ ประการ ถูกต้องในทางความคิดเห็น เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ถูกต้องในทางความมุ่งมาดปรารถนา เรียกว่า สัมมาสังกัปโป ถูกต้องในการพูดจา เรียกว่า สัมมาวาจา ถูกต้องในการกระทำทางกาย เรียกว่า สัมมากัมมันโต ถูกต้องในการเลี้ยงชีวิต เรียกว่า สัมมาอาชีโว ถูกต้องในความพากเพียร เรียกว่า สัมมาวายาโม ถูกต้องในความดำรงจิต ความรู้สึกนึกคิด นี้เรียกว่า สัมมาสติ และความถูกต้องในการมีสมาธิ คือความมั่นคงของจิต นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ รวมเป็นความถูกต้อง ๘ ประการ ที่เรียกว่ามีองค์ ๘ แล้วรวมกันเป็นหนทางให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ที่เรียกว่านิพพาน คำว่าอัฏฐังคิกมรรคหรืออริยมรรคมีความหมายอย่างนี้
ทีนี้ดูให้ดีๆ ว่าใน ๘ องค์นั้น องค์แรกนั้นมีความสำคัญมาก เหมือนกับผู้นำ เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็น หรือความเข้าใจ หรือความรู้ความเชื่ออะไรก็ตาม รวมอยู่ที่องค์นี้ทั้งนั้น และเรียกง่ายๆ ว่า ทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้อง อื่นๆ ก็จะถูกต้องตามไปเอง ฉะนั้นสัมมาทิฏฐิจึงสำคัญในฐานะเป็นองค์ประกอบองค์แรกที่นำหน้า แม้กระนั้นสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิในกรณีของนิพพานนี้ ก็ยังอาจจะแยกไปได้ว่า เห็นชอบ เห็นถูกต้องนั้น มันหนักไปในทางคิดเห็นว่าอย่างไรๆ
สัมมาทิฏฐินี้อาจจะแยกออกไป เช่นว่า ถ้าไปมีน้ำหนักอยู่ที่เห็นอนิจจังแล้วบรรลุนิพพานนี้ก็เป็น อนิมิตตนิพพา ถ้าหนักไปในทางเห็นทุกขัง แล้วบรรลุนิพพาน ก็เป็น อัปปณิหิตนิพพาน ถ้าหนักไปทางเห็นอนัตตา แล้วบรรลุนิพพานก็เป็น สุญญตนิพพาน
นิพพานนี้เป็นอย่างเดียวกัน มีความหมายอย่างเดียวกัน คือเป็นของเย็น แต่อาจจะมาได้จากทิศทางต่างๆ กันของผู้ปฏิบัติ หรือผู้เห็น บางคนเขาถนัดที่จะเห็นในความไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยง แล้วเกิดเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แล้วก็เป็นนิพพาน นี้เป็น อนิมิตตนิพพาน เป็นนิพพานที่มีความหมายว่า ไม่มีอะไรเป็นกำหนด เพราะมีแต่ความไม่เที่ยง และไหลเวียนไปเรื่อย แต่ถ้าบางคนเขามีสิ่งแวดล้อมทำให้เห็นทุกข์ ถึงขนาดสูงสุด จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด บรรลุนิพพาน ก็เรียกว่าเป็นนิพพานที่เป็น อัปปณิหิตะ คือ ไม่มีที่ตั้งที่เกาะของจิตใจ ไปเกาะเข้าที่ไหนเป็นมีความทุกข์ทั้งนั้น ก็เลยไม่มีที่ตั้งที่เกาะ
ทีนี้ ถ้าว่าผู้ใดเขาเหมาะสมที่จะเห็นอนัตตา อะไรๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยึดถือว่าตัวตนหรือของตนอย่างนี้ เกิดเบื่อหน่ายคลายกำหนัด บรรลุนิพพาน นิพพานชนิดนี้ให้ชื่อประกอบเข้าไปว่าเป็น สุญญตนิพพาน นิพพานที่อาศัยความว่าง อาศัยการเห็นความว่างเป็นหลักเป็นประธาน
จากเหตุผลดังกล่าว ทางนิพพาน นี้ จะเรียกว่า ตั้งต้นด้วยอนิจจังก็ได้ ด้วย ทุกขังก็ได้ ด้วย อนัตตาก็ได้ แล้วแต่คนเขามีจิตใจอย่างไร เหมาะที่จะตั้งต้นจากอะไร นี้มันก็แล้วแต่จะทำให้เกิดการตั้งต้นอย่างนั้นเอง เรียกว่าตามอุปนิสัย ในชั้นนี้เรารู้แต่เพียงว่า มีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ สัมมาทิฏฐินั้นจะอาศัยอนิจจังก็ได้ อาศัยทุกขังก็ได้ อาศัยอนัตตาก็ได้ ที่แท้ทั้ง ๓ อย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้มันไม่แยกกัน แต่ผู้เห็นอาจจะเห็นเพียงมุมหนึ่ง แง่หนึ่ง ส่วนหนึ่ง เหลี่ยมหนึ่งก็ได้ ฉะนั้น จึงเห็นหนักไปในทางเห็น อนิจจังก็มี เห็นทุกขังก็มี เห็นอนัตตตาก็มี แล้วแต่ว่าอุปนิสัยอย่างที่กล่าวแล้ว
นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงนิพพาน ที่ไม่ต้องไป ไม่ต้องมา ไม่ต้องหยุดที่ไหน เป็นแต่เพียงทำความถูกต้องให้เกิดขึ้นจนครบถ้วนแล้ว ก็จะปรากฏสิ่งที่เรียกว่านิพพานขึ้นมา
พุทธทาสภิกขุ
นิพพานนั้นไม่ต้องไป
นี้เป็นภาษาที่ต้องระวัง ไป ก็ไปหาสิ่งหนึ่ง มา ก็มาหาสิ่งหนึ่ง หยุด ก็เพราะว่าติดอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันใช้ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นจึงได้ไป จึงได้มา หรือจึงได้หยุดอยู่ที่ไหน ต่อเมื่อดับความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสีย ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุด หรือติดอยู่ที่ไหน จึงจะเรียกว่าเป็นการหลุดออกไป นี้ถ้าจะเรียกโดยสมมติก็เรียกว่า "ทางนิพพาน"
ทางนิพพานนั้นเรียกว่ามรรค มรรคซึ่งแปลว่าหนทางนี้เอง แต่เป็นหนทาง ทางจิตใจ ที่เรียกว่าอริยมรรคบ้าง อัฏฐังคกมรรคบ้าง แล้วแต่จะให้หมายความอย่างไร ที่เรียกว่าอัฏฐังคิกมรรค มรรคประกอบไปด้วยองค์ ๘ นั้นเป็นตัวทางนิพพาน หมายความว่าเมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนั้น นิพพานปรากฏออกมา เราไม่ต้องเรียกว่าไปนิพพาน หรือหนทางเพื่อให้ไปนิพพาน แต่ต้องพูดว่าทางให้ถึงนิพพาน ถ้าจะพูดกันอย่างอื่น เพื่อไม่เกิดความกำกวมก็จะต้องพูดว่า เป็นการปฏิบัติที่จะทำนิพพานให้ปรากฏแก่ใจ
การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน พอเหมาะพอดีแล้วนิพพานก็จะปรากฏแก่จิตใจของผู้ปฏิบัติ ที่ว่ามรรคมีองค์ ๘ นั้น ก็ขอทบทวนซักซ้อมความเข้าใจไว้เสมอว่า หมายถึงความถูกต้อง ๘ ประการ ถูกต้องในทางความคิดเห็น เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ถูกต้องในทางความมุ่งมาดปรารถนา เรียกว่า สัมมาสังกัปโป ถูกต้องในการพูดจา เรียกว่า สัมมาวาจา ถูกต้องในการกระทำทางกาย เรียกว่า สัมมากัมมันโต ถูกต้องในการเลี้ยงชีวิต เรียกว่า สัมมาอาชีโว ถูกต้องในความพากเพียร เรียกว่า สัมมาวายาโม ถูกต้องในความดำรงจิต ความรู้สึกนึกคิด นี้เรียกว่า สัมมาสติ และความถูกต้องในการมีสมาธิ คือความมั่นคงของจิต นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ รวมเป็นความถูกต้อง ๘ ประการ ที่เรียกว่ามีองค์ ๘ แล้วรวมกันเป็นหนทางให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ที่เรียกว่านิพพาน คำว่าอัฏฐังคิกมรรคหรืออริยมรรคมีความหมายอย่างนี้
ทีนี้ดูให้ดีๆ ว่าใน ๘ องค์นั้น องค์แรกนั้นมีความสำคัญมาก เหมือนกับผู้นำ เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็น หรือความเข้าใจ หรือความรู้ความเชื่ออะไรก็ตาม รวมอยู่ที่องค์นี้ทั้งนั้น และเรียกง่ายๆ ว่า ทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้อง อื่นๆ ก็จะถูกต้องตามไปเอง ฉะนั้นสัมมาทิฏฐิจึงสำคัญในฐานะเป็นองค์ประกอบองค์แรกที่นำหน้า แม้กระนั้นสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิในกรณีของนิพพานนี้ ก็ยังอาจจะแยกไปได้ว่า เห็นชอบ เห็นถูกต้องนั้น มันหนักไปในทางคิดเห็นว่าอย่างไรๆ
สัมมาทิฏฐินี้อาจจะแยกออกไป เช่นว่า ถ้าไปมีน้ำหนักอยู่ที่เห็นอนิจจังแล้วบรรลุนิพพานนี้ก็เป็น อนิมิตตนิพพา ถ้าหนักไปในทางเห็นทุกขัง แล้วบรรลุนิพพาน ก็เป็น อัปปณิหิตนิพพาน ถ้าหนักไปทางเห็นอนัตตา แล้วบรรลุนิพพานก็เป็น สุญญตนิพพาน
นิพพานนี้เป็นอย่างเดียวกัน มีความหมายอย่างเดียวกัน คือเป็นของเย็น แต่อาจจะมาได้จากทิศทางต่างๆ กันของผู้ปฏิบัติ หรือผู้เห็น บางคนเขาถนัดที่จะเห็นในความไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยง แล้วเกิดเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แล้วก็เป็นนิพพาน นี้เป็น อนิมิตตนิพพาน เป็นนิพพานที่มีความหมายว่า ไม่มีอะไรเป็นกำหนด เพราะมีแต่ความไม่เที่ยง และไหลเวียนไปเรื่อย แต่ถ้าบางคนเขามีสิ่งแวดล้อมทำให้เห็นทุกข์ ถึงขนาดสูงสุด จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด บรรลุนิพพาน ก็เรียกว่าเป็นนิพพานที่เป็น อัปปณิหิตะ คือ ไม่มีที่ตั้งที่เกาะของจิตใจ ไปเกาะเข้าที่ไหนเป็นมีความทุกข์ทั้งนั้น ก็เลยไม่มีที่ตั้งที่เกาะ
ทีนี้ ถ้าว่าผู้ใดเขาเหมาะสมที่จะเห็นอนัตตา อะไรๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยึดถือว่าตัวตนหรือของตนอย่างนี้ เกิดเบื่อหน่ายคลายกำหนัด บรรลุนิพพาน นิพพานชนิดนี้ให้ชื่อประกอบเข้าไปว่าเป็น สุญญตนิพพาน นิพพานที่อาศัยความว่าง อาศัยการเห็นความว่างเป็นหลักเป็นประธาน
จากเหตุผลดังกล่าว ทางนิพพาน นี้ จะเรียกว่า ตั้งต้นด้วยอนิจจังก็ได้ ด้วย ทุกขังก็ได้ ด้วย อนัตตาก็ได้ แล้วแต่คนเขามีจิตใจอย่างไร เหมาะที่จะตั้งต้นจากอะไร นี้มันก็แล้วแต่จะทำให้เกิดการตั้งต้นอย่างนั้นเอง เรียกว่าตามอุปนิสัย ในชั้นนี้เรารู้แต่เพียงว่า มีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ สัมมาทิฏฐินั้นจะอาศัยอนิจจังก็ได้ อาศัยทุกขังก็ได้ อาศัยอนัตตาก็ได้ ที่แท้ทั้ง ๓ อย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้มันไม่แยกกัน แต่ผู้เห็นอาจจะเห็นเพียงมุมหนึ่ง แง่หนึ่ง ส่วนหนึ่ง เหลี่ยมหนึ่งก็ได้ ฉะนั้น จึงเห็นหนักไปในทางเห็น อนิจจังก็มี เห็นทุกขังก็มี เห็นอนัตตตาก็มี แล้วแต่ว่าอุปนิสัยอย่างที่กล่าวแล้ว
นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงนิพพาน ที่ไม่ต้องไป ไม่ต้องมา ไม่ต้องหยุดที่ไหน เป็นแต่เพียงทำความถูกต้องให้เกิดขึ้นจนครบถ้วนแล้ว ก็จะปรากฏสิ่งที่เรียกว่านิพพานขึ้นมา
พุทธทาสภิกขุ