ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๖ วิหารทะนานทอง

.
                                                  

บทที่ ๕๖ วิหารทะนานทอง

บางทีคนเรา.. หากตื่นมาพบว่าสิ่งเลวร้ายได้เกิดขึ้นและจบไป แม้แก้ไขไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องพะวงอีก...

สำหรับเหล่าคนร้าย ความตายของสิทธาคือการตัดตอน และความโล่งอกสบายใจ
แต่สำหรับ ทิพราชา.. คือตราบาปติดค้างในใจ คนตายถูกพิพากษาจากคำกล่าวโทษของตน

เวลาสายมากแล้ว.. เจ้าทิพลืมตาขึ้นมา พร้อมทุกอย่างที่ล่วงผ่านไป.. รวมถึงชีวิตของสิทธา
ชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่บนตั่งด้วยความรู้สึกว่างเปล่า.. เราไม่ใช่ทิพราชา เราคือเจ้าทิพ ผู้ได้รับยศศักดิ์แห่งทิพราชา...

กว่าจะสลัดความคิดสับสน ลุกเดินออกมาจากห้องนอนได้ก็อีกครู่ใหญ่
ด้านนอกมีบริวารคนหนึ่งนำหนังสือของพานอินมามอบให้
ระบุเวลาและสถานที่แห่งหนึ่ง..


ยามเที่ยง ณ พระตำหนักรับรองราชาพัธยา ราชาแห่งเมืองพัทลุง...
เจ้าทิพเดินผ่านทหารรักษาพระตำหนักขึ้นไปบนเรือน มีนางข้าหลวง ๒ นาง ยืนรอต้อนรับแล้วนำเจ้าทิพเดินเข้าไปสู่โถงด้านใน

บนพระแท่นตัวใหญ่ตรงกลางประทับด้วยพระราชาพัธยา ผู้มีพระฉวี (ผิวกาย) คล้ำตามลักษณะของชาวคาบสมุทรสุวรรณภูมิส่วนใหญ่ พระวรกายแกร่ง สันทัด พระพักตร์มน พระหนุ (คาง) ใหญ่ ดูดุดัน แต่เพราะทรงแย้มพระสรวลเป็นนิจจึงดูเปี่ยมพระเมตตา ส่วนพระแท่นตัวยาวเบื้องขวานั่งไว้ด้วยพานอิน
องค์ราชาเมืองพัทลุงทรงพระปฏิสันถารกับพานอินอย่างสำราญพระทัย

“มาแล้วหรือน้องเรา มานั่งกับพี่” เสียงพานอินร้องเรียก
เจ้าทิพถวายบังคมราชาพัธยา แล้วขึ้นนั่งเคียงคู่พานอิน

“เชิญทิพราชาประทับตามสะดวกเถิด” องค์ราชาเมืองพัทลุงรับสั่ง

“ท่านพี่ให้ข้าพเจ้าตามมาพบในที่แห่งนี้ด้วยธุระอันใดหรือ” เจ้าทิพถามขึ้น

เมื่อคืนกลางดึกเจ้าทิพลอบไปพบองค์หญิงวิสาณี กว่าจะกลับไปถึงเรือนพักเกือบรุ่งสาง ตื่นมาได้รับข้อความสั่งให้ตามมายังพระตำหนักรับรองของเจ้าเมืองพัทลุง พร้อมสั่งว่าอย่าเพิ่งได้รับอาหารหนัก ให้มารับอาหารเที่ยงกันที่นี่

“อาการบาดเจ็บและอิดโรยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” พานอินกลับถามเรื่องที่ตนกังวล
“ได้พักรักษาตัวมาสองคืน อาการของข้าพเจ้าดีขึ้นมากแล้ว”

“ถ้าเจ้าไม่ตื่นออกไปข้างนอกตอนกลางดึก อาการคงดีกว่านี้มาก” ผู้เป็นพี่กระเซ้า จนเจ้าทิพอดยิ้มให้ไม่ได้ แล้วพานอินจึงกล่าวต่อเป็นจริงเป็นจังว่า “ครั้งนี้ เราอยากพาเจ้ามาฝากฝังกับราชาพัธยา พระผู้ครองเมืองพัทลุง... ให้ช่วยเหลือส่งเสริมเจ้าเรื่องการตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง พระองค์ทรงยินดีสนับสนุนเจ้าทุกประการตามที่มีประสงค์”

ชายหนุ่มนึกไม่ถึง พานอินจะห่วงใยตนขนาดนี้ เร่งออกจากเรือนพักแต่เช้ามาเจรจาช่วยเหลือ... ยังมิทันที่ตนจะได้กล่าวสิ่งใด ราชาพัธยาก็รับสั่งขึ้นว่า

“ท่านเป็นน้องของพานอิน ก็เหมือนเป็นหลานเราคนหนึ่ง... เรากับพระบิดาของพานอินสนิทสนมรักใคร่กันดี มีสิ่งใดอย่าได้เกรงใจ เราจะช่วยจัดการให้ทุกประการ”

“พระองค์ทรงทราบว่าพานอินเป็นใครหรือ” เจ้าทิพโพล่งขึ้น

ราชาพัธยาทรงพยักพระพักตร์ “แต่เจ้าตัวมิให้เปิดเผย ให้เรียกพานอินเป็นปกติ”

แล้วทรงเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งพระองค์ทรงพระเยาว์ ทรงถูกส่งไปเล่าเรียนยังสำนักศึกษาที่เมืองละโว้ และทรงได้รู้จักกับเชื้อพระวงศ์สำคัญจากเมืองสุพรรณภูมิหลายพระองค์

เมืองพัทลุงเป็นเมืองเล็ก การส่งเชื้อพระวงศ์ไปทรงเล่าเรียนก็เพื่อให้เกิดความสนิทสนมกับเจ้านายของฝ่ายละโว้อโยธยานับว่าเป็นเรื่องที่ชาญฉลาด ครั้นเมื่อราชาพัธยาเสด็จไปประทับที่ละโว้ทรงเล็งการณ์ไกลว่าต่อไปราชวงศ์สุพรรณภูมิจะขึ้นเป็นใหญ่ จึงหมั่นเข้าเฝ้าถวายสิ่งของบรรณาการแด่ขุนหลวงพะงั่วผู้ครองเมืองสุพรรณภูมิจนทรงคุ้นเคยกับราชสำนักสุพรรณภูมิเป็นอย่างดี

“น้องของข้าพเจ้ามิเคยประจำอยู่เมืองปตานี จึงมิอาจหาคนที่ไว้วางใจได้ บางทีคนของพระองค์อาจจะเหมาะสมกว่า” พานอินกราบทูล

เจ้าทิพนั้นเตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะออกเดินทางสืบหาองค์ตุมพะทะนานทองตามลำพัง สาเหตุหนึ่งเพราะมิรู้จักผู้คนที่จะใช้สอย ส่วนอีกเหตุหนึ่งนั้นเพราะว่า...
“ตอนที่ท่านพราหมณ์กุณฑกัญจสั่งสอนวิชาให้ข้าพเจ้า ท่านสั่งไว้หากได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรแล้วให้ออกเดินทางเพียงลำพัง เพราะมีผู้หวังแย่งชิงองค์ตุมพะทะนานทองมากมาย การมีผู้ติดตามอาจเป็นข้อเสียเปรียบ”

“เจ้าจึงคิดจะเดินทางเพียงลำพัง” พานอินถามย้ำ
“ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ... ข้าพเจ้าขอบคุณในน้ำใจของท่านพี่ และพระเมตตาของพระองค์” ตอนท้ายกราบทูลกับราชาพัธยา

เจ้าเมืองพัทลุงทรงหันไปทอดพระเนตรพานอิน ที่นั่งนิ่งคล้ายจะยอมรับการตัดสินใจของน้องชาย จึงรับสั่งกับเจ้าทิพว่า
“เช่นนี้เถิด หากหลานเราต้องการจะใช้ผู้คนหรือทหารของเราเมื่อใดจงบอกมา เราจะจัดเตรียมให้ทันที”
“ขอบพระทัย พระเจ้าค่ะ”

สิ้นคำกราบทูลของเจ้าทิพได้ไม่นาน ก็เห็นดรุณีนางหนึ่ง อายุราว ๑๕ ปี ใบหน้าสวยสดใส แต่งกายคล้ายเชื้อพระวงศ์ สวมเครื่องทองของประดับมีค่า เดินเข้ามาหมอบเฝ้าราชาพัธยา กราบทูลด้วยเสียงแจ่มใสว่า

“เครื่องเสวยทั้งหลายพร้อมแล้ว พระบิดาจะให้หม่อมฉันนำเข้ามาถวายเลยหรือไม่เพคะ”
นางคือพระธิดาขององค์ราชาพัธยา...

“หลานเรา นี่คือพระเสวิกา ธิดาของเรา” เจ้าเมืองพัทลุงทรงแนะนำพระนางต่อเจ้าทิพ

พระธิดาเสวิกาทรงพนมหัตถ์ขึ้นอัญชุลี (ไหว้) พร้อมรับสั่งว่า
“หม่อมฉันเห็นพระองค์แต่ไกลในสนามประลอง และในงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหาร... วันนี้ได้ยลพระองค์อย่างใกล้ชิดนับเป็นบุญของหม่อมฉันแล้ว เพคะ”

เจ้าทิพยกมือขึ้นรับไหว้ มิรู้จะกล่าวตอบคำเช่นไร ได้แต่ยิ้มให้... นอกจากพระองค์หญิงวิสาณีแล้ว ตนแทบมิเคยได้สนทนาปราศรัยกับดรุณีในวัยแรกรุ่นคนใด อีกทั้งคำที่พระธิดาเสวิกาเรียกหาล้วนยกย่องในศักดิ์ราชาของตน ยิ่งรู้สึกอึดอัดมิรู้จะวางตัวลักษณะใด

พานอินเห็นอาการของน้องชาย จึงกล่าวกับพระธิดาแทนว่า
“น้องท่านได้ยลทิพราชาใกล้ชิดเช่นนี้แล้ว เปรียบกับตอนอยู่ห่างไกลแตกต่างกันเยี่ยงไรหรือ”

พระธิดาผู้ทรงคุ้นเคยกับพานอินอยู่ก่อนแล้ว กราบทูลว่า
“ยามองค์ทิพราชาทรงดาบทรงทวนกลางสนามประลองดูองอาจเด็ดเดี่ยว ยามเสวยพระกระยาหารในงานพิธีเลี้ยงรับรองดูสำรวมเรียบร้อย... แต่ยามนี้ดูเหมือนคนใบ้เพคะ” แล้วทรงหัวเราะขึ้นทันที

“เสวิกา...หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เป็นรับสั่งห้ามของพระบิดา แต่น้ำพระสุรเสียงหาได้จริงจังกระไร ทั้งยังทรงพระสรวลตามด้วย

พานอินเห็นดังนั้น จึงกระเซ้ากลับไปว่า
“คงเป็นเพราะทิพราชาตะลึงในพระสิริโฉมอันงดงามของน้องท่านจนมิอาจจะพูดสิ่งใดออกมาได้”

สำหรับดรุณีแล้วจะมีสิ่งใดทำให้ขวยเขินเกินไปกว่าคำชมในรูปโฉมต่อหน้าชายหนุ่มเป็นไม่มี คราวนี้เป็นฝ่ายพระธิดาวัยเยาว์ซุกซนที่มีพระอาการสะเทิ้นอายจนมิอาจประทับอยู่ต่อได้

“หม่อมฉันจะไปแจ้งนางข้าหลวงให้นำเครื่องเสวยมานะ เพคะ” รับสั่งแล้วทรงรีบดำเนินออกไปด้วยความเอียงอาย

พานอินยิ้มแย้มชอบใจ กราบทูลราชาพัธยาขึ้นว่า
“พระธิดาของพระองค์เมื่อเจริญชันษาขึ้นคงมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่หมายปองของเหล่าองค์ชายเมืองต่างๆ... ไม่ทราบว่าพระองค์ได้ทรงหมั้นหมายพระนางไว้กับผู้ใดแล้วหรือยัง”
“เรายังมิได้หมั้นหมายนางไว้กับผู้ใดเลย”

“ถ้าเช่นนั้น น้องชายของเราพอจะมีคุณสมบัติเป็นคู่หมั้นหมายของพระนางได้หรือไม่”

เจ้าทิพนึกไม่ถึง พานอินจะกราบทูลเช่นนั้น...
แต่เจ้าเมืองพัทลุงกลับรับสั่งตอบด้วยรอยแย้มพระสรวลว่า
“หากทิพราชาตามหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนมาได้ในเร็ววัน อย่าว่าแต่ธิดาของเราเลย... แม้แต่เมืองพัทลุงเราก็จะยกให้ครองเสียด้วยกัน”

“แล้วหากมิสามารถนำองค์ตุมพะกลับมาได้เล่า”
“หลานเรา...” ทรงเรียกพานอินด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวล “มิต้องรอให้ครบกำหนด ๑๓ ปีหรอก หากเพียงผ่านไป ๓ ปีแล้วราชาสิบสองนักษัตรมิอาจกลับมาพร้อมองค์ตุมพะทะนานทองได้ เราคงต้องยกธิดาของเราให้กับผู้ที่สมควรไปก่อนแล้ว...”

เจ้าทิพพลันคำนึงไปถึงองค์หญิงวิสาณี... รู้สึกสะท้อนใจเจ็บแปลบ
แต่รับสั่งต่อมาของราชาพัธยากลับทำให้พานอินต้องนิ่งอึ้งไปอีกคน

“...การที่จะยกนางให้ติดตามรอนแรมไปพร้อมราชาสิบสองนักษัตร เราไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำ... แต่หากจะยกให้กับองค์ชายที่รั้งเมืองสุพรรณภูมิ แม้ธิดาของเราจะต้องติดตามข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเมืองจีน เราก็ยินดี...”

-----------------------------------

ณ พระตำหนักด้านในอันรโหฐานที่พระมเหสีแห่งนครปตานีโปรดมาประทับ บัดนี้มีเพียงองค์ชายอัศวเมฆเข้าเฝ้า เหล่านางข้าหลวงและนางกำนัลล้วนถูกไล่ออกไป

“ตอนนี้สิทธา ก็ตายไปแล้ว.. เหลือเพียงหมอปุญญา เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” พระมเหสีเนรัญวีรับสั่งถามขึ้น

“หมอปุญญาป่านนี้คงผ่านด่านเข้าสู่เขตเมืองไทรบุรีแล้ว พระมารดามิต้องกังวลพระทัย”
“แล้วหากมันพูดเรื่องราวความจริงออกมาเล่า มิพังพินาศกันอีกครั้งหรือ”

“ลูกเมียของหมอปุญญาบุตรให้คนนำไป “ดูแลรักษา” ในสถานที่ลับ หากหมอหลวงมิเผยความออกมา ตราบนั้นลูกเมียก็จะปลอดภัย”

ตอนเร่งให้หมอหลวงปุญญาออกจากเมือง องค์ชายอัศวเมฆรับสั่งว่ามิอาจพาลูกเมียไปพร้อมกองทหารไทรบุรีได้ เกรงจะเป็นที่สงสัย และทรงรับปากจะดูแลครอบครัวให้อย่างดีตราบที่ “ความลับ” ยังคงเป็นความลับ

“ทำไมไม่สังหารมันไปเสียให้สิ้นเรื่องเล่า”

“เรื่องที่จะสังหารคนไม่ใช่เรื่องยากเลย พระมารดา.. แต่การจะหาคนมีฝีมือมาช่วยงานนั้นยากนัก ฝีมือปรุงยาพิษของหมอปุญญาพระมารดาก็ทรงประจักษ์แล้ว ว่ากระทำได้แนบเนียนนัก กระทั่งทุกคนในสนามประลองต่างเชื่อสนิทใจว่าเจ้าทิพกำเริบพิษไข้.. นี่ถ้ามันไม่ยอมเจ็บกายถ่ายเลือดพิษออกมาจนหมดสิ้น ป่านนี้คงตายอย่างไร้ผู้ใดสงสัยไปแล้ว พระมารดา”
รับสั่งถึงนามเจ้าทิพแล้วก็ขบทนต์ (ฟัน) ดังกรอด

“จริงของเจ้า... ในเมื่อเจ้าทิพยังไม่ถูกกำจัด เราก็ควรเก็บแขนขาของฝ่ายเราเอาไว้ใช้งานก่อน”
“คนผู้นี้เมื่อมีชนักปักหลัง จะหันเหไปอยู่ฝ่ายใดก็มิได้.. มีแต่อยู่ในอาณัติรับใช้ฝ่ายเราตลอดไป พระมารดา”

สิ้นรับสั่ง ทั้งพระมารดาและพระบุตรต่างทรงพระสรวลดังก้อง คล้ายดังต้องการระบายความเคียดแค้นที่สุมแน่นในพระอุระออกมาบ้าง..

ความแค้นไม่เคยถูกระงับด้วยเสียงหัวเราะ
ยิ่งแค้นก็ยิ่งคิด สะกิดภาพบาดใจขึ้นวนเวียนตลอดเวลา

“หึ.. ตั้งแต่เสร็จสิ้นการประลอง บุตรต้องมาทนดูมันนั่งชูคอให้บรรดาราชาทั้งสิบสองเมืองรับสั่งยกย่องชื่นชม.. โดยเฉพาะพระเจ้าศรีมหาราชและพระราชธิดา”

องค์ชายอัศวเมฆขบทนต์ ทรงรำลึกถึงพิธีฉลองสมโภชและงานถวายเลี้ยงพระกระยาหารแด่พระราชาทั้งสิบสองเมือง ทุกพระองค์และทุกคนในพิธีต่างปลาบปลื้มชื่นชมในตัวคู่อาฆาต... อีกทั้งองค์หญิงวิสาณีก็ทรงปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับไม่มีตัวตน

“ตลอดเวลาที่ประทับเคียงข้างกัน องค์หญิงวิสาณีมิโปรดจะรับสั่งกับบุตรเลย มีแต่เพ่งสายพระเนตรจ้องไปยังเจ้าเลือดชั่วอยู่ตลอดเวลา...” องค์ชายทรงรำพึงขึ้งเคียด ทั้งน้อยหทัยเมื่อนึกถึงพระนางที่ทรงเสน่หา

“เจ้าไม่ต้องกังวล.. แม้มันจะได้ตำแหน่งใดไป แต่องค์หญิงวิสาณีจะต้องเป็นของเจ้า เมืองนครฯ ก็จะต้องเป็นของเจ้าเช่นกัน”

องค์ชายอัศวเมฆทรงยกพระหัตถ์ขึ้นกำแน่น ลั่นคำด้วยหทัยเคียดแค้น
“ใช่แล้วพระมารดา.. อย่างไรเสีย บุตรก็ไม่มีวันยอมให้มันได้องค์หญิงวิสาณีไปเด็ดขาด... ไม่มันตายก็เป็นบุตรสิ้น”

-----------------------------------

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่