--------------------------------
บทที่ ๔ องค์หญิงวิสาณี
--------------------------------
รุ่งขึ้นยามบ่าย มหาอำมาตย์วาสุธีพร้อมองค์ชายอัศวเมฆเชิญชุดพานพุ่มดอกไม้มงคล ๙ ชนิด พร้อมเครื่องทองกำนัลมามอบแด่เซียงจือกงถึงที่พักและขออภัยที่ได้กระทำล่วงเกิน ตัวท่านเซียงจือกงปฏิเสธไม่รับทองโดยให้เหตุผลว่ามิได้มีความเสียหายใดเกิดขึ้นและยืนยันให้นำทองกลับคืนไป
“สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำล่วงเกินท่านผู้บัญชาการกองเรือไป ข้าพเจ้าหวังว่าตัวท่านจะเมตตาอภัยให้ และหากในภายหน้าท่านมีสิ่งอันใดจะชี้แนะสั่งสอน ข้าพเจ้าก็จะยินดีน้อมรับฟัง” องค์ชายรับสั่งขึ้นหลังจากมหาอำมาตย์ได้พูดจาไกล่เกลี่ยเป็นเบื้องต้นไปก่อนแล้ว
แม้เซียงจือกงจะประหลาดใจต่อท่าทีและการกระทำขององค์ชายใหญ่ แต่ก็ทูลเจรจาด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม
“กระหม่อมมิได้ติดใจสิ่งใดเลย ขอพระองค์อย่าทรงถือเป็นอารมณ์เลย พระเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็หมดห่วง เมื่อคืนมิพักหลับสนิทเพราะรำลึกถึงความอันมิใคร่สมควรของตนที่กระทำไว้”
นายใหญ่แห่งกองเรือมิใส่ใจรับสั่งโอดครวญตามมารยาท รีบเปลี่ยนหัวข้อทันที
“กระหม่อมทราบจากไต้ซีหงว่าองค์ชายจะทรงเข้าร่วมประลองคัดเลือกตัวแทนขุนพลฉลูนักษัตร เป็นความจริงหรือพระเจ้าค่ะ"
องค์ชายใหญ่ทรงคาดไม่ถึงจะถูกทูลถามเรื่องนี้ ทรงหันไปทอดพระเนตรไต้ซีหงผู้ถูกกล่าวอ้าง แล้วรับสั่งว่า
“ข้าพเจ้าก็เพียงต้องการทดสอบฝีมือเพลงอาวุธ ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่เหล่าผู้มีฝีมือชาวปตานีจะได้มาชุมนุมกัน... หากแม้นโชคดีผ่านการประลองอาวุธจนถึงด่านสุดท้าย ก็เป็นสุดยอดปรารถนาแล้ว”
“กระหม่อมขอถวายพระพรให้พระองค์มีชัยชนะดังพระประสงค์ พระเจ้าค่ะ”
ผู้รับการถวายพระพรทรงยิ้มเบิกบานหทัย ทรงระลึกถึงพระธิดาแห่งเมืองนครศรีธรรมราชที่จะมาทอดพระเนตรการชิงชัยยิ่งทรงเคลิบเคลิ้ม รับสั่งขึ้น
“ท่านมหาอำมาตย์ อีกนานไหมขบวนเสด็จของพระราชธิดาเมืองนครฯ จึงจะมาถึง”
“คงอีกไม่เกินชั่วยาม พระเจ้าค่ะ” มหาอำมาตย์ผู้รับผิดชอบการรับเสด็จและต้อนรับคณะทั้งหมดจากเมืองนครฯ ทูลตอบ แล้วจึงกล่าวชักชวนนายกองเรือขึ้น
“ท่านเซียงจือกง หากท่านไม่ติดธุระอันใดขอเชิญร่วมเฝ้ารับเสด็จพระราชธิดาแห่งเมืองนครฯ เราได้ตั้งแถวกองทหารและขุนนางรอรับไม่ไกลจากเรือนพักแห่งนี้”
ทุกครั้งที่ได้ยินคนเอ่ยถึงพระราชธิดาเมืองนครฯ เซียงจือกงมักคิดไปถึงเจ้าทิพ ใคร่จะได้พินิจพระพักตร์และพระลักษณะของพระนางผู้กุมหัวใจของหลานชายและพระเชษฐาคู่อริ จึงตอบว่า
“ขอบใจท่านอำมาตย์ เรายินดีน้อมรับคำเชิญของท่าน... ครั้งนี้นับว่าเป็นบุญของเราที่จักได้ยลพระสิริโฉมของพระราชธิดาแห่งเมืองนครฯ ซึ่งเลื่องลือว่างดงามยิ่งนัก”
ทั้งหมดตกลงรออยู่ในที่พำนักของไต้ซีหง โดยจัดเจ้าพนักงานคอยติดต่อส่งข่าวการเคลื่อนขบวนเสด็จของพระราชธิดามาเป็นระยะ
ส่วนเจ้าเรือนไต้ซีหงนั้น บัดนี้เมื่อเห็นองค์ชายเสด็จมาทรงขออภัยนายใหญ่ของตน จึงประจักษ์ถึงความล้ำลึกของนายกองเรือสินค้าอีกทั้งละอายใจในความเขลาของตน หากมิใช่เพราะมีความดีความชอบเป็นทุนรอนอยู่บ้างป่านนี้คงถูกนำขึ้นเรือไปรอประหารกลางทะเลแล้ว... ครั้นสำนึกถึงภาคทัณฑ์ที่ตนได้รับ ทั้งครั่นคร้ามและเคารพต่อเซียงจือกงขึ้นไปอีก
--------------------------------------------------
ริมแม่น้ำปตานี ณ บริเวณโค้งน้ำเหนือขึ้นไปจากท่าพระวัง ใต้เงาแมกไม้ใหญ่เจ้าทิพยืนทอดม้าคอยด้วยสีหน้าสดใสเป็นประกาย เจ้าทิพเป็นคนสองสายเลือด พระบิดาเป็นพระราชาแห่งปตานี พระมารดาเป็นหญิงงามชาวเชียงแสน จึงมีลักษณะเด่นผสมผสานของชาวเมืองใต้และเมืองเหนือ คิ้วดกเข้ม ตาคมลึก สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ขนตายาวงอน ผิวกายไม่คล้ำไม่ขาว ลักษณะโดยรวมทำให้เจ้าทิพเป็นหนุ่มรูปงามมีเสน่ห์ มักเป็นที่ประทับใจของสาวรุ่นสาวใหญ่ที่ได้พบเห็น
ไม่นานจึงเห็นขบวนเรือ ๕ ลำพายล่องมา ประดับธงเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าทิพเพ่งมองจนเห็นในเรือลำกลางนั่งเด่นด้วยหญิงสาววัยแรกรุ่น ดวงหน้าสวยคมสดใส รวบเรือนผมขึ้นด้วยรัดเกล้าทองคำฝังจินดาแพรวพราวเผยต้นคองามระหง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเป็นสุข เมื่อเรือล่องมาถึงแนวร่มไม้ที่เจ้าทิพทอดม้ายืนอยู่ เหมือนนางจะได้แลเห็น พลันโบกมือไหวๆ ทักทายมา
ชายหนุ่มจึงชักม้าออกเดินขนานไปกับเรือของนางที่ล่องในลำน้ำ มือขวาแนบทรวงอกด้านซ้ายเป็นสัญญลักษณ์บอกความรักความคิดถึง ทั้งสองต่างจ้องมองกันไม่คลาดตา
เมื่อเข้าใกล้ท่าพระวัง เจ้าทิพต้องลงจากหลังม้าแล้วจูงฝ่าผู้คนมากมายซึ่งรายล้อมอยู่รอบบริเวณ จนถึงด้านในจึงถูกกันไว้มิให้เข้าไปด้วยมีกองทหารของนครปตานีตั้งแถวเรียงรายเฝ้ารับเสด็จ ด้านในสุดคือสองขุนนางพระคลังนายท่าของเมืองปตานีและนครศรีธรรมราชยืนคู่กัน
ครั้นขบวนเรือซึ่งเจ้าทิพเฝ้าติดตามเข้าเทียบท่าจึงมีทหารกองย่อยกรูลงจากเรือมาตั้งแถวอยู่สองฝั่งทางเดินซ้ายขวา จากนั้นจึงเห็นชายในชุดขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งก้าวลงจากเรือ ร่างแม้จะท้วมเล็กแต่ก็ดูแข็งแรงคล่องแคล่ว ใบหน้าทรงสี่เหลี่ยม ศีรษะที่เถิกออกและรอยหยักบนหน้าผากบ่งบอกวัยใกล้ ๖๐ ปี เหนือริมฝีปากประดับไว้หนวดดำปนสีขาวเงิน
เสียงกล่าวต้อนรับของสองพระคลังนายท่าระบุนามของท่านชัดเจน... “มหาอำมาตย์วิษณุยัน” ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมวังและมหาอำมาตย์เอกของราชสำนักนครศรีธรรมราช
หลังจากประเมินความพร้อมและความปลอดภัยของท่าเทียบเรืออยู่สักครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงของมหาอำมาตย์วิษณุยันดังขึ้น
“กราบทูลเชิญเสด็จองค์หญิงวิสาณี ราชบุตรีแห่งองค์กษัตริย์นครศรีธรรมราช พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงวิสาณีในฉลองพระองค์สีขาวลายขลิบทอง ภูษาทรงยาวจรดข้อพระบาท พระวรกายพาดด้วยสไบลายทองเฉียงคลุม รัดพระองค์ทำจากเส้นทองลายใหญ่ ขับเน้นพระวรกายโค้งมนสมส่วนได้รูป ทรงเยื้องพระบาทขึ้นมาบนท่าเรือ พระคลังนายท่าทั้งสองเมืองทยอยเข้าเฝ้า กราบทูลเชิญเสด็จขึ้นวอที่เตรียมไว้ พระนางทรงผินพระพักตร์สอดพระเนตรหาเจ้าทิพแต่มิทรงพบตัว
พระนางคือหญิงสาวที่ทรงโบกพระหัตถ์ทักทายเจ้าทิพกลางลำน้ำปตานี...
ขณะเสด็จขึ้นบนฝั่งพระสิริโฉมงดงามปรากฏชัดต่อทุกสายตาที่มารอรับเสด็จ พระพักตร์เป็นวงรูปไข่ พระขนง (คิ้ว) เข้มโค้งยาวรับกับพระนลาฏ (หน้าผาก) มนผุดผ่อง พระเนตรดำคมวาวดุจมณีนิล พระนาสิก (จมูก) เป็นสันเหนือพระโอษฐ์อิ่ม พระราศี (ผิวหน้า) นวลเปล่งปลั่ง ยามย่างเยื้องพระวรกายมั่นคงสง่างามสมกับเป็นนางพญาองค์น้อยแห่งแคว้นสิบสองนักษัตร
เจ้าทิพถูกกันไว้ยังด้านนอกได้แต่ชะเง้อคอมอง เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนออกจากท่าพระวังจึงขึ้นม้าเดินตามอยู่ไกลๆ ด้วยใจเจ็บแปลบ ยามอยู่เมืองนครฯ จะพบพระราชธิดาเมื่อใดก็มิถูกกีดกันแต่ครั้นกลับมาอยู่ปตานีเมืองเกิดกลับมิสามารถพบพานพระนาง ได้แต่อดสูละอายใจในศักดิ์ฐานะของตนนัก
ขบวนเสด็จมาหยุดระหว่างทางใกล้บริเวณเรือนที่พักของไต้ซีหง มหาอำมาตย์วาสุธี องค์ชายอัศวเมฆ เซียงจือกงและคณะขุนนางผู้ใหญ่ต่างรอรับเสด็จอยู่
“เกล้ากระหม่อมมหาอำมาตย์วาสุธีพร้อมเหล่าขุนนางแห่งราชสำนักปตานีน้อมรับเสด็จพระราชธิดาแห่งพระเจ้านครศรีธรรมราช พร้อมขอต้อนรับท่านมหาอำมาตย์วิษณุยันสู่เมืองปตานี” อำมาตย์วาสุธีกราบทูลและกล่าวขึ้นหลังจากแสดงความเคารพ
มหาอำมาตย์ผู้ถูกเอ่ยนามพร้อมบรรดาขุนนางจากเมืองนครฯ พากันลงจากหลังม้า มิทันจะได้กล่าวสิ่งใดผู้มารอต้อนรับก็กล่าวต่อด้วยไมตรีว่า
“ท่านมหาอำมาตย์และคณะเดินทางมาแต่ไกล ได้รับความสะดวกทุกสิ่งหรือไม่”
“ขอบคุณท่านมหาอำมาตย์วาสุธีที่ช่วยจัดกองเรือไปรับที่อ่าวปตานี ทั้งกองเรือเชิญเสด็จพระราชธิดาและเรือขนถ่ายสัมภาระ ข้าพเจ้าซาบซึ้งอย่างยิ่ง”
เรือใหญ่แล่นออกจากนครศรีธรรมราชตั้งแต่เช้ามืด ใช้เวลาสองถึงสามชั่วยาม (ราว ๗ ชั่วโมง) จึงถึงอ่าวปตานี ผู้คนที่เดินทางต่างต้องรับอาหารกันบนเรือทั้งสองมื้อ โดยรับมื้อเช้าขณะเรือแล่นไกลออกจากฝั่งและมื้อเที่ยงก่อนถึงอ่าวปตานี ครั้นเข้าจอดทอดสมอที่อ่าวจึงเปลี่ยนย้ายมายังกองเรือเล็กซึ่งราชสำนักปตานีจัดเตรียมไว้ เชิญธงประจำเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นประดับแล้วจึงล่องเข้าสู่แม่น้ำปตานีมาขึ้นบกที่ท่าพระวัง ท่านมหาอำมาตย์วาสุธีได้ยินคำชื่นชมจากมหาอำมาตย์แห่งนครใหญ่อดยิ้มภูมิใจในความพรั่งพร้อมของปตานีมิได้
“ขอท่านมหาอำมาตย์อย่าได้เกรงใจไปเลย ข้าพเจ้าได้เตรียมพระตำหนักและที่พักหลายหลังไว้แล้ว อาหารเย็นก็จัดไว้พร้อม ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอทูลเชิญองค์ชายอัศวเมฆเป็นผู้แทนพระองค์ถวายพระพรและเชิญเสด็จเจ้านายแห่งเมืองนครฯ สู่เมืองปตานี” กล่าวแล้วค่อยเบี่ยงกายหลบไป
องค์ชายอัศวเมฆทรงดำเนินออกมา ย่างพระบาทไปถึงข้างวอประทับ รับสั่งขึ้น
“เกล้ากระหม่อม องค์ชายอัศวเมฆราชบุตรแห่งพระเจ้านครปตานีรู้สึกปลื้มปิติที่องค์หญิงวิสาณีแห่งนครศรีธรรมราชเสด็จมาเยือนเมืองปตานีของเกล้ากระหม่อม เกล้ากระหม่อมขอถวายพระพรขอพระองค์ทรงพระสำราญ พระเจ้าค่ะ”
รอสักครู่จึงเห็นพระวิสูตรถูกปัดออกด้วยพระหัตถ์เรียวงาม ปรากฏรูปพักตร์ที่งามกระจ่างขององค์ดรุณีด้านใน องค์ชายทรงตะลึงเสียพระกิริยาจ้องไปตรงๆ
“ขอบใจท่านมากเช่นกัน หวังว่าการมาเยือนของเราคงไม่เป็นภาระใดให้กับเมืองของท่าน” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานกระไรยิ่ง
“หามิได้เลยพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมหวังให้พระองค์เสด็จมาเยือนปตานีหลายคราแล้ว”
องค์ชายกราบทูลด้วยหทัยเคลิบเคลิ้ม กระทั่งทรงได้ฟังพระดำรัสถามถึงคนผู้หนึ่ง
“เมื่อตอนเราอยู่บนเรือ เห็นเจ้าทิพเดินม้าริมฝั่งคู่มากับเรือเรา ตอนนี้คาดว่าจะอยู่หลังขบวน ท่านพอจะช่วยเรียกให้เขาเข้ามาร่วมในขบวนได้หรือไม่”
นาม “เจ้าทิพ” คล้ายเป็นหนามที่ยอกในอุระ ทรงสดับแล้วนิ่งเสีย ข่มกลั้นอาการกริ้วโกรธไว้ภายใน
พระองค์หญิงทรงขมวดพระขนง พลางตรัสถามย้ำ “มีกระไรหรือ เจ้าทิพถูกส่งไปอยู่เมืองนครฯ หลายสิบปีจนสนิทสนมกับเรา ครั้งนี้เรามาเยือนเมืองของเขา ถ้าเขาไม่มาต้อนรับเรา จะถูกต้องหรือ”
องค์ชายทรงกลั้นหทัย กราบทูลสนองไปว่า “เกล้ากระหม่อมจะลองดู” แล้วทรงดำเนินฉากออกมา รับสั่งกับพระคลังนายท่าซึ่งรับเสด็จมาแต่ท่าพระวัง
“ท่านเจ้ากรม พอจะเห็นตัวเจ้าทิพบ้างหรือไม่”
“เกล้ากระหม่อมเห็นเจ้าทิพเดินม้าตามอยู่หลังท้ายขบวน จะให้เกล้ากระหม่อมตามมาหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
องค์ชายเพียงทรงพยักพักตร์เป็นคำตอบ
ลำดับถัดไปคือนายกองเรือสินค้าจากราชสำนักกรุงจีนเข้าเฝ้าหน้าวอที่ประทับ
“เกล้ากระหม่อม เซียงจือกงผู้บัญชาการกองเรือสินค้าแห่งพระจักรพรรดิกรุงจีนขอถวายพระพร พระเจ้าค่ะ”
สิ้นคำกราบทูลเป็นภาษาจีน ล่ามผู้ติดตามก็รีบดำเนินการแปลถวาย
พระองค์หญิงทรงแย้มพระสรวลด้วยพระทัยยินดี
“ขอบใจท่านมาก เราได้ยินชื่อเสียงและกิตติศัพท์ของท่านจากเจ้าทิพมานานแล้ว วันนี้นับว่าโชคดีได้พบตัวจริง”
“หวังว่าเรื่องที่เจ้าทิพกราบทูลเกี่ยวกับเกล้ากระหม่อม คงจะเป็นเรื่องที่ดี” กราบทูลพลางยิ้มละไมด้วยไมตรี
“ทุกครั้งก่อนที่เขาจะเดินทางมาเมืองปตานีมักจะเริ่มพูดถึงท่าน ครั้นกลับไปเมืองนครฯ แล้วก็เอาแต่เล่าเรื่องของท่านให้เราฟังอีก... ฟังว่าท่านสอนการเดินเรือให้เขารู้ด้วยหรือ”
“เกล้ากระหม่อมแค่เพียงแนะนำวิธีเดินเรือ การดูลม การบังคับใบเรือ และจัดขบวนแล่นกองเรือในสภาพต่างๆ พระเจ้าค่ะ... เจ้าทิพเป็นคนฉลาด จึงเรียนรู้ได้มากมาย ขาดเพียงประสบการณ์จริงในการล่องเรือฝ่าคลื่นลมกลางทะเล”
“ตอนเด็กๆ เขาเคยบอกว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นราชาสิบสองนักษัตรและแล่นเรือออกทะเลตามหา “องค์ตุมพะทะนานทอง” กลับคืนมายังนครปตานี”
เพียงได้ยินพระดำรัสถึง “องค์ตุมพะทะนานทอง” ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง ขณะที่พระองค์หญิงรับสั่งต่อ
"แต่พอเขาเติบโตขึ้น ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ดูเหมือนจะเลิกคิดไปแล้ว”
สุรเสียงห้าวพลันดังแทรกเข้ามา
“ก็ไม่แปลกที่จะเลิกคิดและหยุดคุยเขื่องโอหังพระเจ้าค่ะ... ในเมื่อไม่รู้วิชาการต่อสู้เลย อย่าว่าแต่เป็นราชาสิบสองนักษัตร แค่ต่อสู้ป้องกันตัวยังไม่มีปัญญากระทำ พระเจ้าค่ะ”
เป็นคำกราบทูลขององค์ชายอัศวเมฆซึ่งทรงดำเนินกลับมา ทั้งยังทรงหันไปหัวเราะเย้ยหยันต่อเจ้าทิพที่เดินตามอยู่ด้านหลัง
พระราชธิดาทรงหาได้สนพระทัยในรับสั่งขององค์ชาย เพียงปรายพระเนตรไปยังเจ้าทิพ แย้มพระสรวลด้วยดีพระทัย
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔/๑
บทที่ ๔ องค์หญิงวิสาณี
--------------------------------
รุ่งขึ้นยามบ่าย มหาอำมาตย์วาสุธีพร้อมองค์ชายอัศวเมฆเชิญชุดพานพุ่มดอกไม้มงคล ๙ ชนิด พร้อมเครื่องทองกำนัลมามอบแด่เซียงจือกงถึงที่พักและขออภัยที่ได้กระทำล่วงเกิน ตัวท่านเซียงจือกงปฏิเสธไม่รับทองโดยให้เหตุผลว่ามิได้มีความเสียหายใดเกิดขึ้นและยืนยันให้นำทองกลับคืนไป
“สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำล่วงเกินท่านผู้บัญชาการกองเรือไป ข้าพเจ้าหวังว่าตัวท่านจะเมตตาอภัยให้ และหากในภายหน้าท่านมีสิ่งอันใดจะชี้แนะสั่งสอน ข้าพเจ้าก็จะยินดีน้อมรับฟัง” องค์ชายรับสั่งขึ้นหลังจากมหาอำมาตย์ได้พูดจาไกล่เกลี่ยเป็นเบื้องต้นไปก่อนแล้ว
แม้เซียงจือกงจะประหลาดใจต่อท่าทีและการกระทำขององค์ชายใหญ่ แต่ก็ทูลเจรจาด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม
“กระหม่อมมิได้ติดใจสิ่งใดเลย ขอพระองค์อย่าทรงถือเป็นอารมณ์เลย พระเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็หมดห่วง เมื่อคืนมิพักหลับสนิทเพราะรำลึกถึงความอันมิใคร่สมควรของตนที่กระทำไว้”
นายใหญ่แห่งกองเรือมิใส่ใจรับสั่งโอดครวญตามมารยาท รีบเปลี่ยนหัวข้อทันที
“กระหม่อมทราบจากไต้ซีหงว่าองค์ชายจะทรงเข้าร่วมประลองคัดเลือกตัวแทนขุนพลฉลูนักษัตร เป็นความจริงหรือพระเจ้าค่ะ"
องค์ชายใหญ่ทรงคาดไม่ถึงจะถูกทูลถามเรื่องนี้ ทรงหันไปทอดพระเนตรไต้ซีหงผู้ถูกกล่าวอ้าง แล้วรับสั่งว่า
“ข้าพเจ้าก็เพียงต้องการทดสอบฝีมือเพลงอาวุธ ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่เหล่าผู้มีฝีมือชาวปตานีจะได้มาชุมนุมกัน... หากแม้นโชคดีผ่านการประลองอาวุธจนถึงด่านสุดท้าย ก็เป็นสุดยอดปรารถนาแล้ว”
“กระหม่อมขอถวายพระพรให้พระองค์มีชัยชนะดังพระประสงค์ พระเจ้าค่ะ”
ผู้รับการถวายพระพรทรงยิ้มเบิกบานหทัย ทรงระลึกถึงพระธิดาแห่งเมืองนครศรีธรรมราชที่จะมาทอดพระเนตรการชิงชัยยิ่งทรงเคลิบเคลิ้ม รับสั่งขึ้น
“ท่านมหาอำมาตย์ อีกนานไหมขบวนเสด็จของพระราชธิดาเมืองนครฯ จึงจะมาถึง”
“คงอีกไม่เกินชั่วยาม พระเจ้าค่ะ” มหาอำมาตย์ผู้รับผิดชอบการรับเสด็จและต้อนรับคณะทั้งหมดจากเมืองนครฯ ทูลตอบ แล้วจึงกล่าวชักชวนนายกองเรือขึ้น
“ท่านเซียงจือกง หากท่านไม่ติดธุระอันใดขอเชิญร่วมเฝ้ารับเสด็จพระราชธิดาแห่งเมืองนครฯ เราได้ตั้งแถวกองทหารและขุนนางรอรับไม่ไกลจากเรือนพักแห่งนี้”
ทุกครั้งที่ได้ยินคนเอ่ยถึงพระราชธิดาเมืองนครฯ เซียงจือกงมักคิดไปถึงเจ้าทิพ ใคร่จะได้พินิจพระพักตร์และพระลักษณะของพระนางผู้กุมหัวใจของหลานชายและพระเชษฐาคู่อริ จึงตอบว่า
“ขอบใจท่านอำมาตย์ เรายินดีน้อมรับคำเชิญของท่าน... ครั้งนี้นับว่าเป็นบุญของเราที่จักได้ยลพระสิริโฉมของพระราชธิดาแห่งเมืองนครฯ ซึ่งเลื่องลือว่างดงามยิ่งนัก”
ทั้งหมดตกลงรออยู่ในที่พำนักของไต้ซีหง โดยจัดเจ้าพนักงานคอยติดต่อส่งข่าวการเคลื่อนขบวนเสด็จของพระราชธิดามาเป็นระยะ
ส่วนเจ้าเรือนไต้ซีหงนั้น บัดนี้เมื่อเห็นองค์ชายเสด็จมาทรงขออภัยนายใหญ่ของตน จึงประจักษ์ถึงความล้ำลึกของนายกองเรือสินค้าอีกทั้งละอายใจในความเขลาของตน หากมิใช่เพราะมีความดีความชอบเป็นทุนรอนอยู่บ้างป่านนี้คงถูกนำขึ้นเรือไปรอประหารกลางทะเลแล้ว... ครั้นสำนึกถึงภาคทัณฑ์ที่ตนได้รับ ทั้งครั่นคร้ามและเคารพต่อเซียงจือกงขึ้นไปอีก
--------------------------------------------------
ริมแม่น้ำปตานี ณ บริเวณโค้งน้ำเหนือขึ้นไปจากท่าพระวัง ใต้เงาแมกไม้ใหญ่เจ้าทิพยืนทอดม้าคอยด้วยสีหน้าสดใสเป็นประกาย เจ้าทิพเป็นคนสองสายเลือด พระบิดาเป็นพระราชาแห่งปตานี พระมารดาเป็นหญิงงามชาวเชียงแสน จึงมีลักษณะเด่นผสมผสานของชาวเมืองใต้และเมืองเหนือ คิ้วดกเข้ม ตาคมลึก สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ขนตายาวงอน ผิวกายไม่คล้ำไม่ขาว ลักษณะโดยรวมทำให้เจ้าทิพเป็นหนุ่มรูปงามมีเสน่ห์ มักเป็นที่ประทับใจของสาวรุ่นสาวใหญ่ที่ได้พบเห็น
ไม่นานจึงเห็นขบวนเรือ ๕ ลำพายล่องมา ประดับธงเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าทิพเพ่งมองจนเห็นในเรือลำกลางนั่งเด่นด้วยหญิงสาววัยแรกรุ่น ดวงหน้าสวยคมสดใส รวบเรือนผมขึ้นด้วยรัดเกล้าทองคำฝังจินดาแพรวพราวเผยต้นคองามระหง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเป็นสุข เมื่อเรือล่องมาถึงแนวร่มไม้ที่เจ้าทิพทอดม้ายืนอยู่ เหมือนนางจะได้แลเห็น พลันโบกมือไหวๆ ทักทายมา
ชายหนุ่มจึงชักม้าออกเดินขนานไปกับเรือของนางที่ล่องในลำน้ำ มือขวาแนบทรวงอกด้านซ้ายเป็นสัญญลักษณ์บอกความรักความคิดถึง ทั้งสองต่างจ้องมองกันไม่คลาดตา
เมื่อเข้าใกล้ท่าพระวัง เจ้าทิพต้องลงจากหลังม้าแล้วจูงฝ่าผู้คนมากมายซึ่งรายล้อมอยู่รอบบริเวณ จนถึงด้านในจึงถูกกันไว้มิให้เข้าไปด้วยมีกองทหารของนครปตานีตั้งแถวเรียงรายเฝ้ารับเสด็จ ด้านในสุดคือสองขุนนางพระคลังนายท่าของเมืองปตานีและนครศรีธรรมราชยืนคู่กัน
ครั้นขบวนเรือซึ่งเจ้าทิพเฝ้าติดตามเข้าเทียบท่าจึงมีทหารกองย่อยกรูลงจากเรือมาตั้งแถวอยู่สองฝั่งทางเดินซ้ายขวา จากนั้นจึงเห็นชายในชุดขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งก้าวลงจากเรือ ร่างแม้จะท้วมเล็กแต่ก็ดูแข็งแรงคล่องแคล่ว ใบหน้าทรงสี่เหลี่ยม ศีรษะที่เถิกออกและรอยหยักบนหน้าผากบ่งบอกวัยใกล้ ๖๐ ปี เหนือริมฝีปากประดับไว้หนวดดำปนสีขาวเงิน
เสียงกล่าวต้อนรับของสองพระคลังนายท่าระบุนามของท่านชัดเจน... “มหาอำมาตย์วิษณุยัน” ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมวังและมหาอำมาตย์เอกของราชสำนักนครศรีธรรมราช
หลังจากประเมินความพร้อมและความปลอดภัยของท่าเทียบเรืออยู่สักครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงของมหาอำมาตย์วิษณุยันดังขึ้น
“กราบทูลเชิญเสด็จองค์หญิงวิสาณี ราชบุตรีแห่งองค์กษัตริย์นครศรีธรรมราช พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงวิสาณีในฉลองพระองค์สีขาวลายขลิบทอง ภูษาทรงยาวจรดข้อพระบาท พระวรกายพาดด้วยสไบลายทองเฉียงคลุม รัดพระองค์ทำจากเส้นทองลายใหญ่ ขับเน้นพระวรกายโค้งมนสมส่วนได้รูป ทรงเยื้องพระบาทขึ้นมาบนท่าเรือ พระคลังนายท่าทั้งสองเมืองทยอยเข้าเฝ้า กราบทูลเชิญเสด็จขึ้นวอที่เตรียมไว้ พระนางทรงผินพระพักตร์สอดพระเนตรหาเจ้าทิพแต่มิทรงพบตัว
พระนางคือหญิงสาวที่ทรงโบกพระหัตถ์ทักทายเจ้าทิพกลางลำน้ำปตานี...
ขณะเสด็จขึ้นบนฝั่งพระสิริโฉมงดงามปรากฏชัดต่อทุกสายตาที่มารอรับเสด็จ พระพักตร์เป็นวงรูปไข่ พระขนง (คิ้ว) เข้มโค้งยาวรับกับพระนลาฏ (หน้าผาก) มนผุดผ่อง พระเนตรดำคมวาวดุจมณีนิล พระนาสิก (จมูก) เป็นสันเหนือพระโอษฐ์อิ่ม พระราศี (ผิวหน้า) นวลเปล่งปลั่ง ยามย่างเยื้องพระวรกายมั่นคงสง่างามสมกับเป็นนางพญาองค์น้อยแห่งแคว้นสิบสองนักษัตร
เจ้าทิพถูกกันไว้ยังด้านนอกได้แต่ชะเง้อคอมอง เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนออกจากท่าพระวังจึงขึ้นม้าเดินตามอยู่ไกลๆ ด้วยใจเจ็บแปลบ ยามอยู่เมืองนครฯ จะพบพระราชธิดาเมื่อใดก็มิถูกกีดกันแต่ครั้นกลับมาอยู่ปตานีเมืองเกิดกลับมิสามารถพบพานพระนาง ได้แต่อดสูละอายใจในศักดิ์ฐานะของตนนัก
ขบวนเสด็จมาหยุดระหว่างทางใกล้บริเวณเรือนที่พักของไต้ซีหง มหาอำมาตย์วาสุธี องค์ชายอัศวเมฆ เซียงจือกงและคณะขุนนางผู้ใหญ่ต่างรอรับเสด็จอยู่
“เกล้ากระหม่อมมหาอำมาตย์วาสุธีพร้อมเหล่าขุนนางแห่งราชสำนักปตานีน้อมรับเสด็จพระราชธิดาแห่งพระเจ้านครศรีธรรมราช พร้อมขอต้อนรับท่านมหาอำมาตย์วิษณุยันสู่เมืองปตานี” อำมาตย์วาสุธีกราบทูลและกล่าวขึ้นหลังจากแสดงความเคารพ
มหาอำมาตย์ผู้ถูกเอ่ยนามพร้อมบรรดาขุนนางจากเมืองนครฯ พากันลงจากหลังม้า มิทันจะได้กล่าวสิ่งใดผู้มารอต้อนรับก็กล่าวต่อด้วยไมตรีว่า
“ท่านมหาอำมาตย์และคณะเดินทางมาแต่ไกล ได้รับความสะดวกทุกสิ่งหรือไม่”
“ขอบคุณท่านมหาอำมาตย์วาสุธีที่ช่วยจัดกองเรือไปรับที่อ่าวปตานี ทั้งกองเรือเชิญเสด็จพระราชธิดาและเรือขนถ่ายสัมภาระ ข้าพเจ้าซาบซึ้งอย่างยิ่ง”
เรือใหญ่แล่นออกจากนครศรีธรรมราชตั้งแต่เช้ามืด ใช้เวลาสองถึงสามชั่วยาม (ราว ๗ ชั่วโมง) จึงถึงอ่าวปตานี ผู้คนที่เดินทางต่างต้องรับอาหารกันบนเรือทั้งสองมื้อ โดยรับมื้อเช้าขณะเรือแล่นไกลออกจากฝั่งและมื้อเที่ยงก่อนถึงอ่าวปตานี ครั้นเข้าจอดทอดสมอที่อ่าวจึงเปลี่ยนย้ายมายังกองเรือเล็กซึ่งราชสำนักปตานีจัดเตรียมไว้ เชิญธงประจำเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นประดับแล้วจึงล่องเข้าสู่แม่น้ำปตานีมาขึ้นบกที่ท่าพระวัง ท่านมหาอำมาตย์วาสุธีได้ยินคำชื่นชมจากมหาอำมาตย์แห่งนครใหญ่อดยิ้มภูมิใจในความพรั่งพร้อมของปตานีมิได้
“ขอท่านมหาอำมาตย์อย่าได้เกรงใจไปเลย ข้าพเจ้าได้เตรียมพระตำหนักและที่พักหลายหลังไว้แล้ว อาหารเย็นก็จัดไว้พร้อม ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอทูลเชิญองค์ชายอัศวเมฆเป็นผู้แทนพระองค์ถวายพระพรและเชิญเสด็จเจ้านายแห่งเมืองนครฯ สู่เมืองปตานี” กล่าวแล้วค่อยเบี่ยงกายหลบไป
องค์ชายอัศวเมฆทรงดำเนินออกมา ย่างพระบาทไปถึงข้างวอประทับ รับสั่งขึ้น
“เกล้ากระหม่อม องค์ชายอัศวเมฆราชบุตรแห่งพระเจ้านครปตานีรู้สึกปลื้มปิติที่องค์หญิงวิสาณีแห่งนครศรีธรรมราชเสด็จมาเยือนเมืองปตานีของเกล้ากระหม่อม เกล้ากระหม่อมขอถวายพระพรขอพระองค์ทรงพระสำราญ พระเจ้าค่ะ”
รอสักครู่จึงเห็นพระวิสูตรถูกปัดออกด้วยพระหัตถ์เรียวงาม ปรากฏรูปพักตร์ที่งามกระจ่างขององค์ดรุณีด้านใน องค์ชายทรงตะลึงเสียพระกิริยาจ้องไปตรงๆ
“ขอบใจท่านมากเช่นกัน หวังว่าการมาเยือนของเราคงไม่เป็นภาระใดให้กับเมืองของท่าน” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานกระไรยิ่ง
“หามิได้เลยพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมหวังให้พระองค์เสด็จมาเยือนปตานีหลายคราแล้ว”
องค์ชายกราบทูลด้วยหทัยเคลิบเคลิ้ม กระทั่งทรงได้ฟังพระดำรัสถามถึงคนผู้หนึ่ง
“เมื่อตอนเราอยู่บนเรือ เห็นเจ้าทิพเดินม้าริมฝั่งคู่มากับเรือเรา ตอนนี้คาดว่าจะอยู่หลังขบวน ท่านพอจะช่วยเรียกให้เขาเข้ามาร่วมในขบวนได้หรือไม่”
นาม “เจ้าทิพ” คล้ายเป็นหนามที่ยอกในอุระ ทรงสดับแล้วนิ่งเสีย ข่มกลั้นอาการกริ้วโกรธไว้ภายใน
พระองค์หญิงทรงขมวดพระขนง พลางตรัสถามย้ำ “มีกระไรหรือ เจ้าทิพถูกส่งไปอยู่เมืองนครฯ หลายสิบปีจนสนิทสนมกับเรา ครั้งนี้เรามาเยือนเมืองของเขา ถ้าเขาไม่มาต้อนรับเรา จะถูกต้องหรือ”
องค์ชายทรงกลั้นหทัย กราบทูลสนองไปว่า “เกล้ากระหม่อมจะลองดู” แล้วทรงดำเนินฉากออกมา รับสั่งกับพระคลังนายท่าซึ่งรับเสด็จมาแต่ท่าพระวัง
“ท่านเจ้ากรม พอจะเห็นตัวเจ้าทิพบ้างหรือไม่”
“เกล้ากระหม่อมเห็นเจ้าทิพเดินม้าตามอยู่หลังท้ายขบวน จะให้เกล้ากระหม่อมตามมาหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
องค์ชายเพียงทรงพยักพักตร์เป็นคำตอบ
ลำดับถัดไปคือนายกองเรือสินค้าจากราชสำนักกรุงจีนเข้าเฝ้าหน้าวอที่ประทับ
“เกล้ากระหม่อม เซียงจือกงผู้บัญชาการกองเรือสินค้าแห่งพระจักรพรรดิกรุงจีนขอถวายพระพร พระเจ้าค่ะ”
สิ้นคำกราบทูลเป็นภาษาจีน ล่ามผู้ติดตามก็รีบดำเนินการแปลถวาย
พระองค์หญิงทรงแย้มพระสรวลด้วยพระทัยยินดี
“ขอบใจท่านมาก เราได้ยินชื่อเสียงและกิตติศัพท์ของท่านจากเจ้าทิพมานานแล้ว วันนี้นับว่าโชคดีได้พบตัวจริง”
“หวังว่าเรื่องที่เจ้าทิพกราบทูลเกี่ยวกับเกล้ากระหม่อม คงจะเป็นเรื่องที่ดี” กราบทูลพลางยิ้มละไมด้วยไมตรี
“ทุกครั้งก่อนที่เขาจะเดินทางมาเมืองปตานีมักจะเริ่มพูดถึงท่าน ครั้นกลับไปเมืองนครฯ แล้วก็เอาแต่เล่าเรื่องของท่านให้เราฟังอีก... ฟังว่าท่านสอนการเดินเรือให้เขารู้ด้วยหรือ”
“เกล้ากระหม่อมแค่เพียงแนะนำวิธีเดินเรือ การดูลม การบังคับใบเรือ และจัดขบวนแล่นกองเรือในสภาพต่างๆ พระเจ้าค่ะ... เจ้าทิพเป็นคนฉลาด จึงเรียนรู้ได้มากมาย ขาดเพียงประสบการณ์จริงในการล่องเรือฝ่าคลื่นลมกลางทะเล”
“ตอนเด็กๆ เขาเคยบอกว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นราชาสิบสองนักษัตรและแล่นเรือออกทะเลตามหา “องค์ตุมพะทะนานทอง” กลับคืนมายังนครปตานี”
เพียงได้ยินพระดำรัสถึง “องค์ตุมพะทะนานทอง” ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง ขณะที่พระองค์หญิงรับสั่งต่อ
"แต่พอเขาเติบโตขึ้น ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ดูเหมือนจะเลิกคิดไปแล้ว”
สุรเสียงห้าวพลันดังแทรกเข้ามา
“ก็ไม่แปลกที่จะเลิกคิดและหยุดคุยเขื่องโอหังพระเจ้าค่ะ... ในเมื่อไม่รู้วิชาการต่อสู้เลย อย่าว่าแต่เป็นราชาสิบสองนักษัตร แค่ต่อสู้ป้องกันตัวยังไม่มีปัญญากระทำ พระเจ้าค่ะ”
เป็นคำกราบทูลขององค์ชายอัศวเมฆซึ่งทรงดำเนินกลับมา ทั้งยังทรงหันไปหัวเราะเย้ยหยันต่อเจ้าทิพที่เดินตามอยู่ด้านหลัง
พระราชธิดาทรงหาได้สนพระทัยในรับสั่งขององค์ชาย เพียงปรายพระเนตรไปยังเจ้าทิพ แย้มพระสรวลด้วยดีพระทัย
(มีต่อ)