
ภาพภูกระดึงจากมุมสูง เป็นรูปหัวใจ
สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิป วันนี้เราจะมาบันทึกการเดินทางท่องเที่ยวภูกระดึงค่ะ ในครั้งนี้เป็นการขึ้นภูกระดึงครั้งที่5 ของเราและแฟนเรา เพื่อนร่วมเดินทางในทริปนี้คือน้องสาวและเพื่อนน้องสาวในทริปมีกัน4คน วันที่16-17-18 พย.2018 ที่ผ่านมานี้ ที่เลือกช่วงนี้เพราะอยากดูฝนดาวตก เลโอนิกส์ ในวันที่17 เพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อนเราได้มานอนดูฝนดาวตกเลโอนิกส์ที่ภูกระดึงนี่แหละ และภาพความทรงจำนั้นยังชัดเจน เลยอยากจะดูอีกครั้งแต่น่าเสียดายที่เจอฝนและฟ้าปิด ครั้งนี้เราจึงไม่เห็นดาวตกเลย
อย่างที่เราบอกคือเราขึ้นภูกระดึงเป็นครั้งที่5 แล้ว แฟนเราขึ้นครั้งที่4 น้องสาวขึ้นครั้งที่2 แต่สำหรับเราแล้วการขึ้นภูครั้งสุดท้ายเมื่อ15ปีก่อนโน้น ทิ้งช่วงนานมาก และคิดว่าคงไม่ได้กลับมาอีก แต่อยู่ๆน้องสาวก็โทรมาชวน เรากับแฟนก็ตกลงกันทันทีโดยไม่ต้องคิดมากตอบตกลงทันที เพราะอะไรก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อน้องสาวมาชวนก็เลยคิดว่าได้เวลาที่จะกลับมาเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าภูกระดึง..อีกสักครั้ง
เราขับรถมาจากขอนแก่นมาจอดที่ตีนภู สถานที่จอดรถก็สะดวกสบายจอดค้างคืนได้ไม่ต้องกลัวหายเพราะมีการลงทะเบียนและบัตรจอด เรามาถึงแปดโมงเช้าก็จองเต๊นท์นอน ทานอาหารเช้าแล้วก็เดินขึ้นภู
ภาพถ่ายไม่สวยมากนักเพราะใช้กล้องจากไอโฟนตลอดทริปค่ะ และช่วงนี้ภูกระดึงมีฝนประปราย ท้องฟ้าครึ้ม แสงไม่ค่อยดีนัก

เดินมากิโลกว่าก็ถึงซำแฮก สำหรับเราแล้วซำแฮกนี่แหละที่หนักและเหนื่อยที่สุด เพราะร่างกายกำลังปรับตัว ผ่านซำแอกไปก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่

เหงื่อท่วมตัวเลย เรารู้สึกเหนื่อยสุดๆตรงซำแฮกนี่แหละ หลังจากนี้ไปก็ไม่เหนื่อยมากแบบนี้แล้ว
เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก เราเองก็อายุ4+ (ต้นๆ) แล้วเดินไปก็พักไป หนทางหลังจากนี้ก็ชันขึ้นเรื่อยๆจนถึงหลังแป เราใช้เวลาเดินทั้งหมด4ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางพักกินข้าวครึ่งชั่วโมงค่ะ นอนพักด้วยร้านอาหารมีเปลให้นอนเล่นเจ้าของร้านใจดี อิอิ ในที่สุดก็ถึงหลังแป


จากหลังแปเดินมาอีก3กิโล ตอนนี้ขาก็แข็งๆแล้วค่ะ ถึงที่ทำการได้เต๊นท์ก็นั่งนวดขากันใหญ่ กลิ่นน้ำมันนี้ฟุ้งตลบไปทุกเต๊นท์ 5555 อ้อ..ระหว่างทางขึ้นมาตรงซำแฮก เราเดินผ่ากลุ่มอาจารย์นักศึกษาคณะใหญ่ อาจารย์แต่ละคนอายุไม่น้อยแล้ว มีนักศึกษาคอยพยุงเดินขึ้นมาจอดก่อนจะถึงซำแฮก เราก็คิดว่าอาจารย์จะไหวเหรอ.. แต่พอวันรุ่งขึ้นเห็นคณะอาจารย์กลุ่มนี้เดินปร๋ออยู่แถวน้ำตกโผนพบ เก่งมากๆเลยค่ะ

ที่ทำการ15ปีผ่านมายังเหมือนเดิม

ลานกางเต๊นท์

ถึงเต๊นท์เรียบร้อยเช่าผ้าห่ม หมอน ที่รองนอน ก็เข้าเต๊นท์นวดขากันใหญ่ ตกเย็นก็รีบอาบน้ำสระผมก่อนจะค่ำ แล้วก็มานั่งนวดขาต่อ5555 แก่แล้วก็งี้ค่ะ สมัยวัยรุ่นนี้ขาขึ้นรวดเดียวไม่มีพัก แต่ตอนนี้ต้องพักทุกซำเลยทีเดียว
อากาศไม่มีความหนาวเลยค่ะ ทั้งๆที่ปลายเดือน พย. น่าจะเย็นขึ้นมาบ้างนี่ไม่หนาวซ้ำยังมีฝนตก และที่สำคัญมีทากยั้วเยี้ยไปหมด
เราขึ้นภูมาสี่ครั้ง ล้วนเป็นเดือนนี้ทุกครั้ง หนาวทุกครั้งไม่เคยเจอฝนและไม่เคยเจอทาก แต่คราวนี้ทั้งเจอฝน ทั้งเจอทาก ทั้งโดนทากดูดเลือด สุดๆอ่ะ
เริ่มพลบค่ำเราก็มาหาอะไรทานกันค่ะ อ้อขอเล่านิดหนึ่งว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนเรามาครั้งแรกอุทยานยังให้นักท่องเที่ยวตั้งแคมป์ได้ ก่อกองไฟหุงหาอาหารเองได้ แต่พอมาครั้งที่สองถึงครั้งที่สี่อุทยานอนุญาติให้แค่เช่าเตาซื้อถ่านจากร้านค้ามาหุงหาอาหารได้ แต่ตอนนี้ไม่อนุญาติให้ใช้ไฟทุกกรณีค่ะ เพราะเมื่อหลายปีก่อนมีนักท่องเที่ยวเอาเตาเข้าไปในเต๊นท์แล้วขาดอากาศเสียชีวิตรู้สึกจะเสียชีวิตทั้งแม่กับลูก เป็นข่าวเศร้ามากนับจากนั้นทางอุทยานก็ห้ามก่อไฟทุกกรณี ซื้อข้าวจากร้านค้าซึ่งมีมากมายกินเอาค่ะ
เย็นนี้เราสั่งหมูกะทะมากินกัน หมูกะทะในตำนานของภูกระดึง ชุดละ500แถมข้าวผัดจานใหญ่ ก็กินจนอิ่มกันเลยค่ะ ไม่อร่อยมาก แต่ฟินมากเพราะตอนค่ำอากาศจะเย็นราว 14-15 องศา ทั้งเหนื่อยทั้งหิวได้หมูกะทะก็ฟินไป เราว่าราคานี้คุ้มอยู่นะคะ เพราะสั่งอาหารจานเดียวคนละจานกับน้ำก็สี่ร้อยกว่าพอๆกัน

เรื่องราคาอาหารนั้นไม่ดราม่านะคะ เพราะวัตถุดิบทุกอย่างต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นมาโลละ30- ราคาจึงต้องมากกว่าปกติเท่าตัว อันนี้เราเข้าใจดีและสมเหตุสมผลแล้ว พ่อค้าแม่ค้าบนภูกระดึงใจดีมากค่ะให้ชาร์ตแบตฟรีด้วย(ถ้าทานข้าวร้านเขา) เราอยากได้อะไรเขาก็หามาให้ อันนี้ประสบการณ์ของเราขึ้นภูกี่ครั้งก็พบแต่ร้านค้าใจดี ไม่เหมือนที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่แม่ค้าจะเขี้ยวมากกกกกกกกกกกก
คืนแรกเราก็สลบไสล นอกจากกลัวทากแล้ว อย่างอื่นดีหมด แต่เรากลัวทากต้องนอนระแวงหลับๆตื่นๆทั้งคืน ลุกออกไปฉี่กลับเข้าเต็นท์ต้องเช็ครองเท้าขากางเกงทุกอย่าง ไม่อยากให้มันมานอนด้วยลำบากมาก ขนาดเช็คอย่างดีคืนที่สองยังโดน มันอยู่ในเต๊นท์กัดที่ง่ามนิ้วกำลังจะดูดเลือดเลย เจ็บจี๊ดๆเลยร้องให้แฟนเอาไฟฉายมาส่องตัวยาวประมาณหนึ่งนิ้วได้ โอ้โห...คืนนั้นไม่ต้องนอนเลยค่ะระแวงทั้งคืน
สำหรับคนที่ไม่อยากพบเจอกับทาก ให้เช็คกับกรมอุตุว่าฝนหยุดตกรึยัง ถ้าฝนหยุดไปสองสามอาทิตย์แล้วค่อยไปค่ะจะได้ไม่ต้องเจอกัน
รุ่งขึ้นเราตื่นตี่สี่เพื่อจะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น เห็นแม่ค้าบอกว่าสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ไม่เห็นพระอาทิตย์เลยเพราะเมฆเยอะทุกวัน แต่เราก็ไม่ย่อท้อตื่นตีสี่เดินไปผานกแอ่นสองกิโลกว่า อ้อ ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะพาเดินไปนะคะนักท่องเที่ยวทั้งหมดต้องมาเจอเจ้าหน้าที่ตอนตีห้า ห้ามเดินไปเองเพราะอันตราย หลังๆช้างป่าออกหากินเยอะขึ้นค่ะ
ผานกแอ่น

แต่เราก็ไม่ได้โชคร้ายเกินไปนัก พระอาทิตย์ขึ้นให้เห็นเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์
วันที่16 -11-2018 พระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นเวลา 6;15 น.
เรากลับออกจากผานกแอ่นเดินกลับระหว่างทางแวะถ่ายรูปที่ลานพระแก้วค่ะ

กลับมาทานข้าวเช้าวันนี้จะเดินไปตามเส้นทางน้ำตกต่างๆและไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก
เดี๋ยวจะมาต่อนะคะ
ภูกระดึงแห่งนี้มีมนต์ขลัง
สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิป วันนี้เราจะมาบันทึกการเดินทางท่องเที่ยวภูกระดึงค่ะ ในครั้งนี้เป็นการขึ้นภูกระดึงครั้งที่5 ของเราและแฟนเรา เพื่อนร่วมเดินทางในทริปนี้คือน้องสาวและเพื่อนน้องสาวในทริปมีกัน4คน วันที่16-17-18 พย.2018 ที่ผ่านมานี้ ที่เลือกช่วงนี้เพราะอยากดูฝนดาวตก เลโอนิกส์ ในวันที่17 เพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อนเราได้มานอนดูฝนดาวตกเลโอนิกส์ที่ภูกระดึงนี่แหละ และภาพความทรงจำนั้นยังชัดเจน เลยอยากจะดูอีกครั้งแต่น่าเสียดายที่เจอฝนและฟ้าปิด ครั้งนี้เราจึงไม่เห็นดาวตกเลย
อย่างที่เราบอกคือเราขึ้นภูกระดึงเป็นครั้งที่5 แล้ว แฟนเราขึ้นครั้งที่4 น้องสาวขึ้นครั้งที่2 แต่สำหรับเราแล้วการขึ้นภูครั้งสุดท้ายเมื่อ15ปีก่อนโน้น ทิ้งช่วงนานมาก และคิดว่าคงไม่ได้กลับมาอีก แต่อยู่ๆน้องสาวก็โทรมาชวน เรากับแฟนก็ตกลงกันทันทีโดยไม่ต้องคิดมากตอบตกลงทันที เพราะอะไรก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อน้องสาวมาชวนก็เลยคิดว่าได้เวลาที่จะกลับมาเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าภูกระดึง..อีกสักครั้ง
เราขับรถมาจากขอนแก่นมาจอดที่ตีนภู สถานที่จอดรถก็สะดวกสบายจอดค้างคืนได้ไม่ต้องกลัวหายเพราะมีการลงทะเบียนและบัตรจอด เรามาถึงแปดโมงเช้าก็จองเต๊นท์นอน ทานอาหารเช้าแล้วก็เดินขึ้นภู
ภาพถ่ายไม่สวยมากนักเพราะใช้กล้องจากไอโฟนตลอดทริปค่ะ และช่วงนี้ภูกระดึงมีฝนประปราย ท้องฟ้าครึ้ม แสงไม่ค่อยดีนัก
เดินมากิโลกว่าก็ถึงซำแฮก สำหรับเราแล้วซำแฮกนี่แหละที่หนักและเหนื่อยที่สุด เพราะร่างกายกำลังปรับตัว ผ่านซำแอกไปก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่
เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก เราเองก็อายุ4+ (ต้นๆ) แล้วเดินไปก็พักไป หนทางหลังจากนี้ก็ชันขึ้นเรื่อยๆจนถึงหลังแป เราใช้เวลาเดินทั้งหมด4ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางพักกินข้าวครึ่งชั่วโมงค่ะ นอนพักด้วยร้านอาหารมีเปลให้นอนเล่นเจ้าของร้านใจดี อิอิ ในที่สุดก็ถึงหลังแป
จากหลังแปเดินมาอีก3กิโล ตอนนี้ขาก็แข็งๆแล้วค่ะ ถึงที่ทำการได้เต๊นท์ก็นั่งนวดขากันใหญ่ กลิ่นน้ำมันนี้ฟุ้งตลบไปทุกเต๊นท์ 5555 อ้อ..ระหว่างทางขึ้นมาตรงซำแฮก เราเดินผ่ากลุ่มอาจารย์นักศึกษาคณะใหญ่ อาจารย์แต่ละคนอายุไม่น้อยแล้ว มีนักศึกษาคอยพยุงเดินขึ้นมาจอดก่อนจะถึงซำแฮก เราก็คิดว่าอาจารย์จะไหวเหรอ.. แต่พอวันรุ่งขึ้นเห็นคณะอาจารย์กลุ่มนี้เดินปร๋ออยู่แถวน้ำตกโผนพบ เก่งมากๆเลยค่ะ
ถึงเต๊นท์เรียบร้อยเช่าผ้าห่ม หมอน ที่รองนอน ก็เข้าเต๊นท์นวดขากันใหญ่ ตกเย็นก็รีบอาบน้ำสระผมก่อนจะค่ำ แล้วก็มานั่งนวดขาต่อ5555 แก่แล้วก็งี้ค่ะ สมัยวัยรุ่นนี้ขาขึ้นรวดเดียวไม่มีพัก แต่ตอนนี้ต้องพักทุกซำเลยทีเดียว
อากาศไม่มีความหนาวเลยค่ะ ทั้งๆที่ปลายเดือน พย. น่าจะเย็นขึ้นมาบ้างนี่ไม่หนาวซ้ำยังมีฝนตก และที่สำคัญมีทากยั้วเยี้ยไปหมด
เราขึ้นภูมาสี่ครั้ง ล้วนเป็นเดือนนี้ทุกครั้ง หนาวทุกครั้งไม่เคยเจอฝนและไม่เคยเจอทาก แต่คราวนี้ทั้งเจอฝน ทั้งเจอทาก ทั้งโดนทากดูดเลือด สุดๆอ่ะ
เริ่มพลบค่ำเราก็มาหาอะไรทานกันค่ะ อ้อขอเล่านิดหนึ่งว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนเรามาครั้งแรกอุทยานยังให้นักท่องเที่ยวตั้งแคมป์ได้ ก่อกองไฟหุงหาอาหารเองได้ แต่พอมาครั้งที่สองถึงครั้งที่สี่อุทยานอนุญาติให้แค่เช่าเตาซื้อถ่านจากร้านค้ามาหุงหาอาหารได้ แต่ตอนนี้ไม่อนุญาติให้ใช้ไฟทุกกรณีค่ะ เพราะเมื่อหลายปีก่อนมีนักท่องเที่ยวเอาเตาเข้าไปในเต๊นท์แล้วขาดอากาศเสียชีวิตรู้สึกจะเสียชีวิตทั้งแม่กับลูก เป็นข่าวเศร้ามากนับจากนั้นทางอุทยานก็ห้ามก่อไฟทุกกรณี ซื้อข้าวจากร้านค้าซึ่งมีมากมายกินเอาค่ะ
เย็นนี้เราสั่งหมูกะทะมากินกัน หมูกะทะในตำนานของภูกระดึง ชุดละ500แถมข้าวผัดจานใหญ่ ก็กินจนอิ่มกันเลยค่ะ ไม่อร่อยมาก แต่ฟินมากเพราะตอนค่ำอากาศจะเย็นราว 14-15 องศา ทั้งเหนื่อยทั้งหิวได้หมูกะทะก็ฟินไป เราว่าราคานี้คุ้มอยู่นะคะ เพราะสั่งอาหารจานเดียวคนละจานกับน้ำก็สี่ร้อยกว่าพอๆกัน
เรื่องราคาอาหารนั้นไม่ดราม่านะคะ เพราะวัตถุดิบทุกอย่างต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นมาโลละ30- ราคาจึงต้องมากกว่าปกติเท่าตัว อันนี้เราเข้าใจดีและสมเหตุสมผลแล้ว พ่อค้าแม่ค้าบนภูกระดึงใจดีมากค่ะให้ชาร์ตแบตฟรีด้วย(ถ้าทานข้าวร้านเขา) เราอยากได้อะไรเขาก็หามาให้ อันนี้ประสบการณ์ของเราขึ้นภูกี่ครั้งก็พบแต่ร้านค้าใจดี ไม่เหมือนที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่แม่ค้าจะเขี้ยวมากกกกกกกกกกกก
คืนแรกเราก็สลบไสล นอกจากกลัวทากแล้ว อย่างอื่นดีหมด แต่เรากลัวทากต้องนอนระแวงหลับๆตื่นๆทั้งคืน ลุกออกไปฉี่กลับเข้าเต็นท์ต้องเช็ครองเท้าขากางเกงทุกอย่าง ไม่อยากให้มันมานอนด้วยลำบากมาก ขนาดเช็คอย่างดีคืนที่สองยังโดน มันอยู่ในเต๊นท์กัดที่ง่ามนิ้วกำลังจะดูดเลือดเลย เจ็บจี๊ดๆเลยร้องให้แฟนเอาไฟฉายมาส่องตัวยาวประมาณหนึ่งนิ้วได้ โอ้โห...คืนนั้นไม่ต้องนอนเลยค่ะระแวงทั้งคืน
สำหรับคนที่ไม่อยากพบเจอกับทาก ให้เช็คกับกรมอุตุว่าฝนหยุดตกรึยัง ถ้าฝนหยุดไปสองสามอาทิตย์แล้วค่อยไปค่ะจะได้ไม่ต้องเจอกัน
รุ่งขึ้นเราตื่นตี่สี่เพื่อจะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น เห็นแม่ค้าบอกว่าสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ไม่เห็นพระอาทิตย์เลยเพราะเมฆเยอะทุกวัน แต่เราก็ไม่ย่อท้อตื่นตีสี่เดินไปผานกแอ่นสองกิโลกว่า อ้อ ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะพาเดินไปนะคะนักท่องเที่ยวทั้งหมดต้องมาเจอเจ้าหน้าที่ตอนตีห้า ห้ามเดินไปเองเพราะอันตราย หลังๆช้างป่าออกหากินเยอะขึ้นค่ะ
ผานกแอ่น
แต่เราก็ไม่ได้โชคร้ายเกินไปนัก พระอาทิตย์ขึ้นให้เห็นเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์
วันที่16 -11-2018 พระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นเวลา 6;15 น.
เรากลับออกจากผานกแอ่นเดินกลับระหว่างทางแวะถ่ายรูปที่ลานพระแก้วค่ะ
กลับมาทานข้าวเช้าวันนี้จะเดินไปตามเส้นทางน้ำตกต่างๆและไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก
เดี๋ยวจะมาต่อนะคะ