ข่าวต่างประเทศ มี สามเรื่องๆ ที่มีน้ำหนักสุด กับเวลานี้คือ
1. goldman sachs กรณีสินบน ในมาเลเซีย สว่นอีกสองข่าวเป็น
2.รัฐมนตรี อังกฤษลาออกเพื่อให้มีการทำประชามติใหม่
3.อิตาลี ตั้งงบขาดดุลเพิ่มขึ้น
ที่ตกใจขายตามๆกันทั่วโลก จะเป็นข่าวแรก เพราะยังไม่รู้ผลเสียหาย ว่ารุนแรงแค่ไหน แม้ในภาพรวม ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรงเกินแก้ไขไม่ได้ แต่ความไม่รู้ ในตลาดถือว่าเป็นความเสี่ยง ถ้าเราไม่ตกใจ คนอื่นตกใจ ขายแล้วเราไม่ขายเราติดหุ้นคนเดียว
นักลงทุนระดับโลก จึงจะชิงขายทันทีที่มีข่าว เอาไว้ก่อน ก็จะขายทั้ง ในอเมริกา ในยุโรป ในเอเชีย ตลาดหลักๆที่พวกเขา ลงทุนกระจายไปทั่วๆในหลายตลาดรวมทั้งไทยด้วย
ประเด็นความไม่รู้ น่าจะเป็นแค่การตกใจชัวคราวครับ เดียว ผู้รู้ในการแก้ปัญหา ออกมาให้สัมภาษณ์ตามหลัง ความตกใจ ก็จะหายไปเอง goldman sachs เหตุการณ์มันไม่ได้รุนแรงอย่างที่ตลาดกลัว
แต่ปัญหาหลักคือการเทขาย เงินลงทุน ในต่างประเทศ ต่างหากที่เป็นคำสั่งขายจริง ลงจริง เพราะ เงินนอกเข้าไปลงทุนในนั้นเยอะ
ผมมองว่าเป็นแค่อีเว้นท์ หาประโยชน์ จากข่าวมากกว่า ก็คล้ายๆกับกรณี ทรัมป์ หรือกรณีอื่น สิบปีหลัง วิกฤติ ซัพพราม
ผมติดตาม กราฟตลาดต่างประเทศ พอจะมองออกว่าไม่ใช่วิกฤติจริงๆ ในประเด็นเหล่านี้ ที่ควรจะทำคือ รอให้ตลาดต่างประเทศลงให้สุด แล้วเราชิง ซื้อก่อน ตัดหน้าคนอื่น รับการรีบาวน์กลับ ทั้งโลก กำไรตามพวกนักลงทุนระดับโลกไปด้วย
สำหรับ ประเด็นที่2. รัฐมนตรี อังกฤษลาออก เพื่อให้มีการลงประชามติใหม่อีกครั้ง อันนี้ไม่ใช่ข่าวร้ายครับ
เป็นข่าวตามความเป็นจริง เพราะการจะออกจากยูโร เป็นแค่การรณรงค์ หาเสียง ของนักการเมืองที่อยากจะมีอำนาจ
เลยปลุกกระแสรักชาติ เพื่อสร้างกระแสให้ตัวเอง ได้ครอง อำนาจ
แต่หลังจากนั้น คนสติปัญญาน้อย ที่เป็นคนส่วนใหญ๋ ของประเทศ (เป็นทุกที่ ในทุกประเทศ ที่คนไม่ฉลาดถูกนักการเมือง ปั่นหัวง่าย จะมีมากกว่าคนฉลาด ที่เป็นคนส่วนน้อย ในประเทศ )
ก็จะเริ่มสัมผัสและรับรู้ได้ถึงความอ่อนแอ ในประเทศตัวเอง ว่า
ที่จริงที่ประเทศตัวเอง เป็นศูนย์กลางทางการเงินและอื่นๆ จนเจริญเติบโตได้ เพราะอยู่ในยูโร
สังคม ที่มีคนอ่อนด้อย ไม่ค่อยคิด หรือ คิดและเข้าใจอะไรช้า ต้องการระยะเวลาในการเรียนรู้
ในการเห็นโรงศพ จะได้หลั่งน้ำตา เป็น
สรุปว่าประเด็นนี้ ผมไม่ให้น้ำหนัก ผมมองว่าเมื่อได้รับผลกระทบแล้ว คนอังกฤษ จะกลับประชามติ รอบใหม่ ไม่ออกจากยูโร
ซึงตอนนี้ใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว กรณีนี้ คือข่องทางคลี่คลายครับ ปัญหานี้ไม่สำคัญ
ผมนั่งดูกราฟของอังกฤษมาหลายปี เห็นแค่ความอ่อนแอ ถึงขั้นเอาตัวไม่รอด ฉะนั้น การทำประชามติรอบ ใหม่นี้
จะกลับเป็นไม่ออกจากยูโร แน่นอน
ประเด็นที่ 3. อิตาลี ไม่มีผล ครับ เป็นเรืองภายใน
แต่จะส่งผลต่อค่าเงิน ยูโร เสริมกับเรืองที่2. ทำให้เกิกภาวะตกใจ เสริมไปอีกเท่านั้น
เมือคืน ท้องเสียครับไม่ได้ติดตามดูอะไรเลย ก็ว่าแต่ข่าวกับสถานการณ์ ที่แรงตกใจ ขายของเงินฝรั่งทัวภูมิภาค
ลองมองไปข้างหน้าแล้ว ผมเห็นว่า ไม่มีอันตรายจริง จากประเด็นเหล่านี้
สรุปว่าหาจังหวะซื้อ ไม่ใช่ตกใจขายแล้วครับ เวลานี้ ต้องมองหาจุดต่ำสุด ของทุกตลาดเพื่อดักซื้อ ถ้าไม่ได้คัทตอนตกใจ ก็ไม่ต้องคัทแล้วครับ เป็นความเห็นส่วนตัว ของผม อาจจะผิด จะถูกก็ได้ครับ ผมมองอย่างนี้ จากประสบการณ์ที่นั่งดูกราฟต่างประเทศ มาหลายปีครับ ไทยเชื่อมกับ โลก ถ้ามีข่าวให้โลกตกใจ
เราก็จะลงไปด้วย พอเขาหายตกใจ เราตอ้งหายกลัวก่อนพวกเขาครับ
ตอนนี้ ต้องหาจังหวะรับ ไม่ใช่ตกใจต่อ วันที่ต้องตกใจ ตาม ตลาดโลก ต้องคัท คือเมื่อวานครับ แต่เช้านี้ ไม่ใช่เวลาคัทแล้ว เป็นเวลาหาจังหวะรับ ต่างหากครับ
(ขอลบสาระสำคัญออกนะ ผมลืมไปว่าไม่ควรจะบอกในที่สาธารณะ บอกแค่ที่ควรจะบอกก็พอ)
ความคิดเห็นผม ต่อประเด็นปัญหากับตลาดเมื่อวานนี้ครับ
1. goldman sachs กรณีสินบน ในมาเลเซีย สว่นอีกสองข่าวเป็น
2.รัฐมนตรี อังกฤษลาออกเพื่อให้มีการทำประชามติใหม่
3.อิตาลี ตั้งงบขาดดุลเพิ่มขึ้น
ที่ตกใจขายตามๆกันทั่วโลก จะเป็นข่าวแรก เพราะยังไม่รู้ผลเสียหาย ว่ารุนแรงแค่ไหน แม้ในภาพรวม ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรงเกินแก้ไขไม่ได้ แต่ความไม่รู้ ในตลาดถือว่าเป็นความเสี่ยง ถ้าเราไม่ตกใจ คนอื่นตกใจ ขายแล้วเราไม่ขายเราติดหุ้นคนเดียว
นักลงทุนระดับโลก จึงจะชิงขายทันทีที่มีข่าว เอาไว้ก่อน ก็จะขายทั้ง ในอเมริกา ในยุโรป ในเอเชีย ตลาดหลักๆที่พวกเขา ลงทุนกระจายไปทั่วๆในหลายตลาดรวมทั้งไทยด้วย
ประเด็นความไม่รู้ น่าจะเป็นแค่การตกใจชัวคราวครับ เดียว ผู้รู้ในการแก้ปัญหา ออกมาให้สัมภาษณ์ตามหลัง ความตกใจ ก็จะหายไปเอง goldman sachs เหตุการณ์มันไม่ได้รุนแรงอย่างที่ตลาดกลัว
แต่ปัญหาหลักคือการเทขาย เงินลงทุน ในต่างประเทศ ต่างหากที่เป็นคำสั่งขายจริง ลงจริง เพราะ เงินนอกเข้าไปลงทุนในนั้นเยอะ
ผมมองว่าเป็นแค่อีเว้นท์ หาประโยชน์ จากข่าวมากกว่า ก็คล้ายๆกับกรณี ทรัมป์ หรือกรณีอื่น สิบปีหลัง วิกฤติ ซัพพราม
ผมติดตาม กราฟตลาดต่างประเทศ พอจะมองออกว่าไม่ใช่วิกฤติจริงๆ ในประเด็นเหล่านี้ ที่ควรจะทำคือ รอให้ตลาดต่างประเทศลงให้สุด แล้วเราชิง ซื้อก่อน ตัดหน้าคนอื่น รับการรีบาวน์กลับ ทั้งโลก กำไรตามพวกนักลงทุนระดับโลกไปด้วย
สำหรับ ประเด็นที่2. รัฐมนตรี อังกฤษลาออก เพื่อให้มีการลงประชามติใหม่อีกครั้ง อันนี้ไม่ใช่ข่าวร้ายครับ
เป็นข่าวตามความเป็นจริง เพราะการจะออกจากยูโร เป็นแค่การรณรงค์ หาเสียง ของนักการเมืองที่อยากจะมีอำนาจ
เลยปลุกกระแสรักชาติ เพื่อสร้างกระแสให้ตัวเอง ได้ครอง อำนาจ
แต่หลังจากนั้น คนสติปัญญาน้อย ที่เป็นคนส่วนใหญ๋ ของประเทศ (เป็นทุกที่ ในทุกประเทศ ที่คนไม่ฉลาดถูกนักการเมือง ปั่นหัวง่าย จะมีมากกว่าคนฉลาด ที่เป็นคนส่วนน้อย ในประเทศ )
ก็จะเริ่มสัมผัสและรับรู้ได้ถึงความอ่อนแอ ในประเทศตัวเอง ว่า
ที่จริงที่ประเทศตัวเอง เป็นศูนย์กลางทางการเงินและอื่นๆ จนเจริญเติบโตได้ เพราะอยู่ในยูโร
สังคม ที่มีคนอ่อนด้อย ไม่ค่อยคิด หรือ คิดและเข้าใจอะไรช้า ต้องการระยะเวลาในการเรียนรู้
ในการเห็นโรงศพ จะได้หลั่งน้ำตา เป็น
สรุปว่าประเด็นนี้ ผมไม่ให้น้ำหนัก ผมมองว่าเมื่อได้รับผลกระทบแล้ว คนอังกฤษ จะกลับประชามติ รอบใหม่ ไม่ออกจากยูโร
ซึงตอนนี้ใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว กรณีนี้ คือข่องทางคลี่คลายครับ ปัญหานี้ไม่สำคัญ
ผมนั่งดูกราฟของอังกฤษมาหลายปี เห็นแค่ความอ่อนแอ ถึงขั้นเอาตัวไม่รอด ฉะนั้น การทำประชามติรอบ ใหม่นี้
จะกลับเป็นไม่ออกจากยูโร แน่นอน
ประเด็นที่ 3. อิตาลี ไม่มีผล ครับ เป็นเรืองภายใน
แต่จะส่งผลต่อค่าเงิน ยูโร เสริมกับเรืองที่2. ทำให้เกิกภาวะตกใจ เสริมไปอีกเท่านั้น
เมือคืน ท้องเสียครับไม่ได้ติดตามดูอะไรเลย ก็ว่าแต่ข่าวกับสถานการณ์ ที่แรงตกใจ ขายของเงินฝรั่งทัวภูมิภาค
ลองมองไปข้างหน้าแล้ว ผมเห็นว่า ไม่มีอันตรายจริง จากประเด็นเหล่านี้
สรุปว่าหาจังหวะซื้อ ไม่ใช่ตกใจขายแล้วครับ เวลานี้ ต้องมองหาจุดต่ำสุด ของทุกตลาดเพื่อดักซื้อ ถ้าไม่ได้คัทตอนตกใจ ก็ไม่ต้องคัทแล้วครับ เป็นความเห็นส่วนตัว ของผม อาจจะผิด จะถูกก็ได้ครับ ผมมองอย่างนี้ จากประสบการณ์ที่นั่งดูกราฟต่างประเทศ มาหลายปีครับ ไทยเชื่อมกับ โลก ถ้ามีข่าวให้โลกตกใจ
เราก็จะลงไปด้วย พอเขาหายตกใจ เราตอ้งหายกลัวก่อนพวกเขาครับ
ตอนนี้ ต้องหาจังหวะรับ ไม่ใช่ตกใจต่อ วันที่ต้องตกใจ ตาม ตลาดโลก ต้องคัท คือเมื่อวานครับ แต่เช้านี้ ไม่ใช่เวลาคัทแล้ว เป็นเวลาหาจังหวะรับ ต่างหากครับ
(ขอลบสาระสำคัญออกนะ ผมลืมไปว่าไม่ควรจะบอกในที่สาธารณะ บอกแค่ที่ควรจะบอกก็พอ)