ขอบคุณทุกคำดูแคลน ที่ทำให้ตุ๊ดเด็กคนนั้น มีวันนี้…

สวัสดีครับ ชื่อปิ๊กนะครับ จริงๆแอบเปลี่ยนชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ จริงๆแล้วชื่อ “หนุ่ม” ถ้าจะเรียกให้สมกับรูปพรรณสัณฐานก็เรียกได้ว่ามีปิ๊กครับ  ตอนนี้อายุอานาม ก็ 25 ปีแล้ว เพิ่งเลยเบญจเพสมาได้ไม่เท่าไหร่ พอดีเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกแอคเค้าท์นี้ไม่นาน แต่เข้ามาอ่านเรื่องราวของคนอื่นๆบ่อยๆ ด้วยความที่เราก็มีประสบการณ์ชีวิตที่จะเรียกว่าโชกโชนไปด้วยความทุกข์ ความอัดอั้นตันใจ และการฟาดฟันกว่าจะได้รับการยอมรับและมีความสุขกับสิ่งที่เป็นเหมือนทุกวันนี้ เพราะสมัยนั้นมันหนักมากกับการเจอเหตุการณ์ต่างๆ สำหรับเราก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หนักพอสมควร สำหรับเด็กที่เป็นตุ๊ดคนนึง ยอมรับว่าเคยน้อยใจ เพราะการที่เราเป็นแบบนี้มันมีอะไรมากมายที่สังคมตั้งคำถามกับเรา ความกดดันมันเริ่มตั้งแต่ที่ที่ควรจะเข้าใจเรามากที่สุดอย่างที่บ้าน แต่เราก็อดทนพยายามพิสูจน์ตัวเองหลายๆอย่างจนวันนี้เราเข้าใจแล้วว่า จริงๆแล้วเราจะเป็นอะไรก็ได้ จะอยู่ในร่างไหนก็ได้ แต่ต้องเริ่มจากการทำตัวเองให้ดีก่อน ไม่ต้องพยายามเป็นใคร ไม่ต้องเป็นคนที่เพอร์เฟคท์ แค่เป็นตัวเราให้ดีที่สุด แล้วคนอื่นก็จะเห็นสิ่งดีๆเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราเป็นเอง วันนี้มีโอกาสเลยอยากขอพื้นที่ตรงนี้มาแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนได้อ่านกัน


          โชคชะตาของเด็กตุ๊ดคนนี้ คือเกิดมาในครอบครัวที่พ่อเป็นทหาร ไม่ได้รวยเลย คิดว่าทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเกิดในครอบครัวทหารจะเป็นแบบไหน ด้วยความที่พ่อเราเป็นทหาร ก็คงคาดหวังให้ลูกชายเป็นผู้ชายเหมือนพ่อ คือ เข้มแข็ง ขึงขัง แมนๆเตะบอล เบิกปืนแบกปูนไปโบกตึก แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยเพราะว่า “เราเป็นตุ๊ด” เป็นตุ๊ดแบบไม่ต้องสืบเลยว่าไปเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ จำความได้ว่าเกิดมาก็เป็นเลย ไม่มีอะไรมากระตุ้น ต่อให้ไปเรียนชายล้วน ต่อให้คบเพื่อนผู้ชาย ยังไงก็คงเป็นตุ๊ดเหมือนเดิม คนเราเปลี่ยนอย่างอื่นได้ก็จริง แต่เรื่องเพศ เรื่องความรู้สึกของใจเรามันเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ
          มันคงจะดีมาก ถ้าเราจะได้เปิดตัวกับครอบครัวไปเลยว่าเราเป็นของเราแบบนี้ พ่อแม่รับได้ ทุกอย่างคงแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ตั้งแต่โตมาจนรู้เรื่อง จำความได้ ประโยคแรกๆ ที่ได้ยินจากพ่อตัวเองมาตลอดก็คือ

“เป็นตุ๊ดหรอ ถ้าเป็นกูจะเตะให้หลังหักเลย”

ทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้เราโคตรกลัวเลยนะ เพราะพ่อเราเป็นคนจริง พอรู้ว่าพ่อคิดแบบนั้นเราเองก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนว่าเราเป็นอะไรให้กับที่บ้านรู้ ยากนะเวลาที่เราจะปรับตัวกับที่บ้านอีกแบบ กับคนอื่นอีกแบบ ชีวิตสองขั้วเลยก็ว่าได้ เหมือนเล่นละครในชีวิตจริงอยู่อะ

การเป็นตุ๊ดกว่าจะทำให้เราคิดบวกมันไม่ได้ง่ายและไม่มีใครเข้าใจ บวกกับประโยคที่พ่อพูดตอนนั้น เป็นเด็กอะใครไม่กลัวบ้างละ ความคิดตอนนั้นเหมือนทำให้เราตกนรกอยู่ตลอดเวลา มันแย่มากๆนะ ที่คนในครอบครัว หรือสังคมรอบๆข้าง ยัง bully เราตลอดเวลา ความคิดของเด็กๆอะเนาะ

          คำว่า“ตุ๊ด” คือสิ่งเดียวที่อยู่ในตัวที่ทำยังไง ก็เลิกเป็นไม่ได้ปะ ต่อให้อยากเปลี่ยนหรือแอ๊บว่าไม่ได้เป็น ใจของเราก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็น ตอนนั้นเราอาจจะหลอกพ่อแม่ว่าไม่ได้เป็น แต่เราไม่เคยพยายามห้ามใจตัวเองเพราะถ้าเราไม่เชื่อใจตัวเอง เราจะไม่มีวันมาได้ยืนอยู่ตรงนี้หรอก เราตัดสินใจบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เราเป็นตุ๊ดก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เราตั้งใจและบอกกับตัวเองมาตลอดว่า เราจะพยายามทำทุกอย่างให้ทางบ้านและทุกคนยอมรับในสิ่งที่เราเป็นให้ได้


          ขอเล่าตั้งแต่เด็กเลย เราเป็นเด็กที่รู้สึกมาตลอดว่าเป็น “ลูกที่พ่อแม่ไม่รัก” แค่เพราะสิ่งที่เราเลือกคือ เพศที่สาม ตอนนั้นจิตใจเราอ่อนแอมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เราไม่เคยสัมผัสได้เลยว่าความรักที่ครอบครัวมีให้เรามากน้อยแค่ไหน เราร้องไห้บ่อยมากๆ เราไม่รู้ว่าครอบครัว พ่อแม่ อยากคุย อยากพูดอะไรกับเรา อยากขออะไรเราไหม การปฎิบัติตัวตอนที่อยู่ที่บ้าน โคตรแตกต่างจากที่โรงเรียนเลย และตัวตนของเราเริ่มชัดเจนขึ้นตอนช่วงที่เราเข้าเรียนมัธยมต้น
          ตอนเข้า ม.1 ใหม่ๆ เราไม่เคยพบเจอหรอกว่าเทยรุ่นพี่เป็นยังไง แต่งตัวแบบไหน ม.1 เราก็เลยได้แค่ แต่งตัวเรียบร้อย ทำตัวน่ารัก ไม่มีพิษมีภัย จนได้ไปรู้จักกับพี่ๆ แก๊งกระเทย ที่ทำให้สังคมตอนเรียนเรามากขึ้น ภาพที่เห็นมันเริ่มบอกตัวเองได้ชัดเจนว่าเราคือเพศอะไร ที่ของเราคือตรงไหน ประจวบกับที่เราชอบกิจกรรม ก็แทรกตัวไปอยู่ในแก๊งกิจกรรม ตอนนั้นเหมือนปลดล๊อคตัวเอง เหมือนตุ๊ดที่บรรลุธรรม ว่าสิ่งนี้แหละที่จะทำให้ครอบครัวเห็นคุณค่า และเห็นว่าเราจะต้องเอาดีได้แน่ๆ


           และแม่ๆในแก๊งค์ประดุจผู้หยิบสายเสื้อในแล้วมากลัดให้จนมั่นใจขึ้น นมเริ่มแตกพาน เสียงเริ่มแตกสาว กำลังจะสวยเหมือนแม่ปอย ตรีชฎาเลยก็ว่าได้ ยิ่งได้ทำนั่นนี่นู้นเหมือนยิ่งได้เป็นที่จับจ้องในบรรดาพี่ๆน้องๆ ของบรรดาเหล่ากะเทยค่ะ แต่ชีวิตกระเทยมัธยมใครว่าง่ายละ เพราะสมัยนั้นอยู่โรงเรียนเราก็เป็นอีกแบบ กลับบ้านก็เป็นอีกแบบ ทุกคนอาจจะนึกภาพไม่ออก ง่ายๆว่าตอนไปเรียนไลฟ์สไตล์เหมือนโลกที่เราฝันอยากให้เป็น เราทำอะไรได้เต็มที่ ทำตัวสวยเปรี้ยว โดดเด่น  ความสวยความงาม การแต่งตัว หรือเรื่องผู้หญิงๆ มันสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวใครมาว่า แต่พอกลับบ้าน ภาพอีกหนึ่งด้านจะตัดมาทันที เราต้องกลายเป็นเด็กที่พูดน้อย การแสดงความคิดเห็นในครอบครัวน้อยลง อยู่ตัวคนเดียวมากขึ้น กลับมาบ้าน ทำงานบ้าน กินข้าว ขึ้นห้อง ทำการบ้าน ไม่มีปฎิสัมพันธ์กับครอบครัวเลย ไม่เคยคิดจะไปไหนมาไหนกับครอบครัว เพราะเรากลัวเขาอาย เราขออยู่บ้านดีกว่าจะได้สบายใจทุกฝ่าย เชื่อมะเราใช้เวลาแบบนี้ เกือบ 6 ปี ที่ไม่กล้า กลัวและไม่อยากให้ครอบครัวอาย สังคมตอนนั้น บ้านไหนมีลูกเป็นตุ๊ด บ้านนั้นเหมือนถูก ขี้ปาบ้านก็ว่าได้ ไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเป็นหรอก เพราะสังคมตอนนั้นมันไม่เหมือนตอนนี้ ชีวิตในระยะ 6 ปี เราไม่กล้าที่จะปรึกษาใครจริงๆนะ ได้ที่บอกตัวเองว่าสักวันมันจะดี ชีวิตที่อยู่บ้านหลังจากเลิกเรียน คือการอยู่บ้านแบบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เราเองถือว่าเป็นบททดสอบดีๆเลยก็ว่า กว่าจะทำให้ครอบครัวยอมรับได้มันไม่ง่ายเลยนะ


          เราบอกตัวเองว่ามีทางเดียวที่เราจะทำให้ครอบครัวยอมรับ คือการที่เราทำให้พวกเขาภูมิใจได้มากที่สุด และมีแค่สองทางเท่านั้นที่เราจะทำได้ คือการตั้งใจเรียน เพื่อให้อยู่ใน top5 ของห้องซึ่งเราก็ทำมันได้ในตลอด 6ปี ที่เรียนมัธยม และอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำควบคู่ คือการเป็นตัวแทนโรงเรียนไปประกวดงานต่างๆ นี้แหละเราเลยตัดสินใจ เป็นเด็กกิจกรรมแบบบ้าคลั่ง ความเป็นผู้นำเริ่มมา ประกวดทุกอย่าง ทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะประกวดวาดภาพ ประกวดจัดดอกไม้ ตอบคำถามทางกฎหมาย ประธานสี รองประธานนักเรียน หัวหน้าห้อง และบลาๆๆ เยอะมาก เราพยายามทำมันให้ออกมาดีที่สุด ทุกอย่างที่เราทำที่บ้านรู้หมดว่าทำอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับทุกอย่าง ตอนนั้นต้องขอบคุณเพื่อนๆที่โรงเรียนที่ไม่เคยบอกเรื่องราวที่เราทำที่โรงเรียนให้ที่บ้านรู้ เพราะเรากลัวมากที่ถ้าบ้านรู้ทุกอย่างว่าเราทำอะไร เขาจะห้ามเราทำ และอีกสิ่งนึงที่กลัวที่สุดคือการประชุมผู้ปกครอง โคตรกลัวเลย ไม่ค่อยอยากให้ครอบครัวมาเพราะกลัวจะรู้ว่าเราอยู่โรงเรียนเราทำตัวยังไง ไม่รู้ว่าตลอด 6 ปีที่อยู่มาเราอดทนกับมันได้ยังไง แต่มันก็ยังไม่สำเร็จ เรายังสัมผัสไม่ได้เลยว่าครอบครัวเราเริ่มรับได้หรือยัง กับการที่เราเป็นตุ๊ดแต่เราก็ยังพยายามทำอะไรดีๆให้เค้าเห็นแบบนี้ แล้วอยู่ๆก็มีเหตุการณ์นึงที่ทำให้เราโคตรดราม่า

          คือวันนั้นทั้งบ้านต้องไปกินข้าวนอกบ้านกับเพื่อนพ่อ จริงๆเราไม่อยากไป แต่แม่ก็จะให้ไปอยู่นั้น ระหว่างที่ออกไปกินข้าวกันไม่มีอะไรมาก จนกลับบ้าน อยู่ๆ พ่อก็พูดออกมาประโยคนึงว่า

“แต่งตัวอะไรไปกินข้าว ทำไมแต่งตัวเป็นตุ๊ดแบบนี้ โธ่ ไอตุ๊ด”

พอได้ยินคำนี้เหมือนสิ่งที่เราทนมาตลอดมันถูกสะกิดแล้วก็ระเบิดออกมา เราก็เลยถามกลับว่า

“การที่หนูเป็นตุ๊ดเนี่ยมันผิดมากหรอ มันทำให้ใครเขาเดือดร้อนไหมละ หนูไม่เคยทำอะไรให้ครอบครัวเสียหายเลยนะ ตั้งใจเรียนก็แล้ว เกเรก็ไม่เคยเลย ไม่เคยเห็นคุณค่าบ้างหรอ ทั้งบ้านเนี่ยมีใครรับหนูได้บ้าง หนูควรมีชีวิตอยู่ต่อไหม หรือต้องตายๆไปเลย”

จบคำพูดเราตัดสินใจวิ่งออกจากบ้าน ชีวิตตอนนั้นคืออยากตายจริงๆ แม่ก็วิ่งตามมาห้ามเรา ปลอบใจเรา ชีวิตหลังจากนั้นมันดาวน์จริงๆ ไม่รู้จะไปยังไงต่อ ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อจากนี้ พยายามบอกตัวเองอีกรอบว่าต้องสู้ต้องชนะ คิดว่าสักวันโชคคงเข้าข้างเราบ้างแหละ หลังจากวันนั้นเราได้ตัดสินใจประกวดวาดภาพงานสุดท้ายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
          เราเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งวาดภาพระบายสีระดับเขตพื้นที่การศึกษา และโรงเรียนที่เป็นสนามแข่งวันนั้นคือโรงเรียนที่พ่อเราทำงานอยู่ (แอบงงถูกมะว่าพ่อเราไปทำงานที่โรงเรียนได้ไง พ่อเราออกจากทหาร ทำอย่างอื่นสักพักก็มาเป็นนักการภารโรงที่โรงเรียนนี้)  ผลการแข่งขันในวันนั้นปิ๊กได้รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งค่ะ และมีการประกาศผลรางวัลหน้าเสาธงโรงเรียน ชื่อเราออกตามเสียงตามสายของโรงเรียน ครูที่สนิทกับพ่อเราก็บอกว่า “ลูกไอเลิศๆ” พ่อคงได้ยินจากปากครู ไม่รู้ว่าตอนนั้นแอบยิ้มให้กับความสำเร็จของเราด้วยไหม แต่กลับบ้านไปพ่อก็ไปเล่าให้แม่ฟัง วันนั้นพ่อยิ้มกว้างกว่าทุกวัน ครูในโรงเรียนจำนามสกุลได้ ก็แซวพ่อกันว่าลูกชายเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วพ่อยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ทั้งวัน หลังจากนั้นปิ๊กจับทางได้ว่าพ่อเริ่มดีกับปิ๊กมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดเปลี่ยนหลังมือเป็นหน้ามือขนาดนั้น แต่ในความรู้สึกของเราตอนนั้นก็เหมือนว่า  “อย่างน้อยมันก็เป็นอีกสิ่งนึงที่เขาจะยอมรับเรา”

          ชีวิตตุ๊ดแบบเราก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปนะ ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไรเยอะ จนมาถึงเวลาที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นคงเป็นนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มากที่สุดของโรงเรียน และเลือกคณะแปลกใหม่ที่ชาวบ้านไม่รู้จักกัน เราตัดสินใจเรียน สายดีไซน์ น่าจะเป็นสิ่งที่เราถนัดที่สุด และตัดสินใจบอกพ่อแม่ว่า ขอเวลา 4 ปี เท่านั้นแล้วจะไม่ขออะไรอีกเลย บอกตัวเองว่า ต่อจากนี้อะไรที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีได้ ครอบครัวยอมรับได้มากขึ้นได้ เราจะทำทั้งหมด  


           ชีวิตของเราต่อจากนี้ ก็สัมผัสได้ว่าเริ่มรู้สึกไม่แคร์อะไรใดๆแล้ว จนจบ ม. ปลาย    ปิ๊กตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะสถาปัตย์ เอกการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ได้โควตานักเรียนดีเป็นเลิศ และต้องย้ายไปอยู่หอเพื่อเรียนมหาวิทยาลัย เราว่าครอบครัวคงได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นว่า ต้องเปิดโลกใหม่ขึ้น เค้าคงเปิดใจยอมรับมากขึ้น


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่