ยามที่จ้องมองออกไปด้านนอก สายตาที่ทำให้รู้สึกประหลาด คือสายตาที่จ้องมองจากต่างโลก ดวงตาที่ทำให้มอง
สบเข้าไป แล้วรู้สึกได้ถึงการเปลื่ยนแปลง ทันทีที่เกิด สำหรับคนที่ชื่นชอบและรักในศาสตร์เกี่ยวกับอวกาศ
คงจะไม่มีอะไรเขย่าหัวใจได้เท่ากับการปรากฏตัวของวัตถุที่มาจากห้วงอวกาศอันน่าสนใจ
อย่าง exoplanet อย่างแน่นอน เพราะว่าถ้ามีดาวเคราะห์นอกระบบปรากฏตัวขึ้นมาในวงโคจรที่เหมาะสม
ก็เป็นไปได้ ที่จะมีสิ่งมีชีวิตเจ๋งๆ น่าสนใจ อาศัยอยู่บนนั้นครับ วันนี้เราจะมาพาท่านผู้อ่านบทความ
ไปลุยโลกของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ พิภพอันห่างใกล อันอาจเป็นบ้านของเราในอนาคต

มีการคาดการ์ณถึงในทางทฤษฏีตั้งแต่ปี 1917 แล้วครับ สำหรับวัตถุพวกนี้ แต่กว่าพวกเราจะมา
เจอหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันในทางวิทยาศาสตร์ ก็ต้องล่อเข้าไปที่ปี 1988 โน่น (ซึ่งนั่นก็ก่อนหลายคนในพันทิปจะเกิดละนะครับ)
ถึงมันจะไม่ถูกรับประกันเป็นดาวเคราะห์นอกระบบจนถึงปี 2012 ก็ตามที่ การตรวจจับดาวเคราะห์นอกระบบ
อย่างเป็นทางการครั้งแรก ถูกตรวจจับได้ในปี 1992 ครับผม ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ทำให้เหล่านักดาราศาสตร์พากันตื่นตะลึง
และดีอกดีใจกันเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ผู้เขียนบทความขอใช้สิทธิ์ในการมโนเอาเองว่า นักดาราศาสตร์บางคน
อาจถึงขั้นเปิดขวดไวน์ฉลองกันเลยทีเดียว

ในวันที่ 1 กันยายน 2018 ที่มีรายงานการอัพเดทล่าสุด ปริมาณของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
มีจำนวนมากถึงเกือบๆ 4,000 ดวง และมีอีกจำนวนมาก ที่ยังคงลอยเท้งเต้งอยู่ในอวกาศ รอให้นักดาราศาสตร์
ทำการส่องกล้อง เพื่อทำการจับตำแหน่งและค้นพบ ซึ่งจากเจ้าดาวเคราะห์นอกระบบจำนวนราวๆ 4,000 ดวงที่ว่า
พวกมันมาจากระบบดาวจำนวน มากกว่า 2800 ระบบดาว โดยมากกว่า 600 ระบบในนี้มีดาวเคราะห์มากกว่า 1
ดวง โครงการฮาร์ป ซึ่งเป็นหอดูดาวในการตรวจจับหาสเปคตรัม และการเปลื่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ของดาวเคราะห์ แม้แต่การเคลื่อนที่ ของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่ความเร็วต่ำๆ ก็สามารถตรวจจับได้ ซึ่ง
ปัจจุบัน ความช่วยเหลือจากโครงการฮาร์ป ทำให้เราค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจากโครงการนี้ถึง 130 ดวง

แต่โครงการฮาร์ปเองก็ยังเป็นแค่มือวางอันดับสองครับ มือวางอันดับ 1 จริงๆ คือการตรวจจับจากความสามารถ
ของฮีโร่จอมล่าดวงดาวของเรา กล้องโทรทัศน์อวกาศเคปเลอร์ ซึ่งโดนส่งให้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าใกล
ตั้งแต่ปี 2009 เคปเลอร์ได้มีส่วนในการค้นหาแคนดิเดทดาวเคราะห์ โดยจะมีโอกาสในการที่เคปเลอร์
จะเจอดาวที่ตรวจจับผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็น้อยมาก ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ที่เราค้นพบกันว่ามีดาวเคราะห์นอก
ระบบ ก็ส่วนมากก็เป็นการค้นพบจากเคปเลอร์นี้เอง กล้องเคปเลอร์มีน้ำหนักอยู่ที่ราวๆ 1 ตัน
กระจกหลักขนาดราว 1.4 เมตร ในเวลาที่ส่งกล้องเคปเลอร์ออกไป สิ่งนี้ถือเป็นกระจกหลักนอกโลกที่ใหญ่ที่สุด

ในหลายๆเคส เราค้นพบว่ามีดาวเคราะห์จำนวนมหาศาล โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ คาดการ์ณกันว่าจากดาวฤกษ์
คล้ายดวงอาทิตย์ จะมีดาวเคราะห์นอกระบบ ที่มีขนาดพอๆ กับโลก ทำการสถิตอยู่ในวงโคจร
ในเขตที่สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าการค้นพบในครั้งนี้ สร้างความหวัง
ให้กับเรา ในการที่จะทำการค้นหาชีวิตจากต่างโลกครับ ซึ่งถ้าค้นพบได้ อวกาศคงจะมีอะไรน่าสนุกๆ มาให้พวกเรา
ศึกษาอีกมากมายเลยทีเดียว จากการคาดการ์ณของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าน่าจะมีดาวเคราะห์คล้ายโลก
ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ 11,000,000,000(หนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านดวง) และอาจมีปริมาณมากมายถึง
40,000,000,000(สี่หมื่นล้านดวง) ในกรณีที่นับรวมดาวฤกษ์ที่โคจรรอบดาวแคระแดงเข้าไปด้วย
แต่อัตราการคาดการณ์ล่าสุดของนาซ่า บอกว่าอาจมีถึงล้านล้านดวง โอ้โหเหอะ อะไรจะปานนั้น
ดาวเคราะห์นอกระบบ ที่ถือกันว่าเป็นวัตถุ ที่มีมวลน้อยที่สุด คือเจ้าดรากร์ ซึ่งมีมวลราวๆ 2 เท่า
ของดวงจันทร์ ส่วนดาวเคราะห์นอกระบบ ที่ถือกันว่าเป็นวัตถุที่หนักหน่วง อย่างยิ่งยวด HR 2562 b นั้น
หนักได้ถึง 30 เท่าของดาวพฤหัส ซึ่งแน่นอนว่าด้วยมวลที่มหาศาลขนาดนี้ มันได้ก้าวข้าม ขีดจำกัด
ของเส้นแบ่งระหว่างดาวเคราะห์แก้สยักษ์ กับดาวแคระน้ำตาลไปได้แล้ว ดาวเคราะห์นอกระบบ
สุริยะ สามารถทำอะไรที่สุดโต่ง กว่าที่ดาวในระบบของเราเป็นอย่างมาก ดาวเคราะห์นอกระบบ
อย่าง 2MASS J2126-8140 อาจมีรอบการโคจร ที่ยาวนานถึงหนึ่งล้านปี ในขณะที่ SWIFT J1756.9-2508 b อาจมีคาบการโคจร แค่ระดับหลายสิบนาที
เท่านั้นเอง แม้แต่พรอกซิมา เซนเทารี่ ที่อยู่ห่างออกจากโลกไปเพียงแค่ 4 ปีแสง ก็ยังมีดาวเคราะห์เป็นบริวาร
จะเห็นได้ว่า จากหลักฐานที่ค้นพบ ถ้าเราจะอ้างตัวว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตสุดพิเศษ หนึ่งเดียวในจักรวาล
อันนี้ก็ถือเป็นอะไรที่ผยองเกินไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันมีการค้นพบกลุ่มพิเศษของดาวเคราะห์
ในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม rogue planet ที่เกิดจากการที่ดาวเคราะห์นอกระบบโดนเหวี่ยง
ออกจากวงโคจร หรือกลุ่มดาวเคราะห์ free floing รวมถึง sub brown dwaft ด้วย

สีและความสว่างของดาวเคราะห์นอกระบบ
ในปี 2013 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวิธีการ ที่จะตรวจวัดสีของดาวเคราะห์นอกระบบ
ดาวเคราะห์นอกระบบ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ตัดสินใจที่จะประกาศสีเป็นครั้งแรก นั่นคือ
HD 189733 b โดยสีที่ประกาศออกมา คือสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นสีของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
จำนวนมาก ได้ถูกประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง มันคือการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยี ที่ถูกทำให้เพิ่มขึ้นตามยุค นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริง ซึ่งคนรักวิทยาศาสตร์
ทุกท่าน ควรจะรับทราบเอาใว้ นั่นก็คือ ระดับความสว่างปรากฏ ของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
นั้นมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงนั้นอยู่ใกลไปจากเรามากแค่ใหน

อัตราการสะท้อนแสงของดาวเคราะห์ สามารถสะท้อนรังสีที่ปลดปล่อยออกมา ได้ดีมากแค่ใหน รวมถึง
มันอยู่ใกลจากดวงดาวมากแค่ใหน และแสงสว่างที่มันได้รับมีเท่าไหร่ ด้วยหลักการนี้เอง
จึงทำให้ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะบางดวง ที่มีอัตราการสะท้อนแสงที่ต่ำ แต่อยู่ใกล้กับดาวแม่
มากกว่า หรือโชคดีที่มีดาวแม่ที่สุกสว่างมากๆ จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่า
ดาวฤกษ์ที่มีการสะท้อนแสงดีอย่างยิ่ง แต่ว่ากลับมีดาวแม่ที่ไม่สุกสกาวเท่า
ดาวเคราะห์นอกระบบ ที่มีอัตราการสะท้อนแสงต่ำที่สุดดวงหนึ่ง ได้แก่ tres 2b มันสะท้อน
แสงออกมาน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ จึงทำให้แม้แต่ถ่านไม้ หรือว่าสีอะคลิลิกสีดำ ก็ยังสะท้อนแสงได้ดีกว่ามัน
ดาวเคราะห์นอกระบบ ในตระกูล พฤหัสร้อน(hot jupiter) ส่วนมากจะมีสีออกไปในโทน ที่สื่อถึงความมืดมิด
เนื่องจากโซเดียมและโพแทสเซียมในชั้นบรรยากาศ แต่ในเคสของ tres 2B อาจเป็นเพราะองค์ประกอบทางเคมี ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก
ก็เป็นไปได้ สำหรับดาวเคราะห์แก้สยักษ์ดวงนี้ ในเคสของดาวเคราะห์แก้สยักษ์ทั่วไป
อัตราการสะท้อนแสงจะถูกทำให้ลดลง พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของธาตุโลหะ ในชั้นบรรยากาศ
สร้างชั้นเมฆที่อาจสุกสว่าง ในคลื่นแสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่กลับกลายเป็นความมืดมิด เมื่อเราทำการ
มองมันด้วยอินฟราเรด อัตราการสะท้อนแสงจะต่ำลง เมื่อมวลของดาวเคราะห์หนักขึ้น
เพราะดาวเคราะห์ยักษ์ที่หนักขึ้นจะมีแรงดึงดูดบริเวณพึ้นผิวที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และจะมีแถบแก้สรุนแรง
ปรากฏขึ้น และแถมแก้สนี้จะฝังลึกลงไปในชั้นบรรยากาศของดาวลึกลงไปอีกนั่นเอง
องค์ความรู้ด้านการตรวจสอบชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ในปัจจุบัน ทำให้มองไป
แล้วเรารู้ว่าน้ำสำมารถดำรงอยู่ได้ในหลายสถานะกว่าที่เราเคยคิดถึง แม้แต่สถานะพลาสม่า
ก็ตาม คำถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าชั้นบรรยากาศของดาวดวงใหนเป็นอย่างไร ดาวดวง
ใหนที่เราควรส่งลูกหลานลงไปสำรวจได้ โดยที่จะไม่เป็นการส่งพวกเขาไปตายโดยไร้ความหมาย
สนามแม่เหล็ก
ในปี 2014 สนามแม่เหล็กรอบ HD 209458 ถูกคาดการ์ณจากที่ไฮโดรเจนระเหยจากดาวเคราะห์ เป็นครั้งแรก การตรวจจับสนามแม่เหล็กบนดาวเคราะห์นอกระบบ เราได้ตัวเลขออกมาที่สนามแม่เหล็กประมาณหนึ่งในสิบเท่าของดาวพฤหัสบดี
การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์ใกล้เคียงและดาวฤกษ์สามารถสร้างจุดบนดาวฤกษ์ได้ในทำนองเดียวกันกับการที่ดวงจันทร์ของกาลิเลโอผลิตแสงออโรราบนดาวพฤหัสบดีครับผม สามารถตรวจพบการแผ่รังสีวิทยุออโรราด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุเช่น LOFAR การปล่อยคลื่นสัญญาน ทางวิทยุจะช่วยให้สามารถกำหนดอัตราการหมุนของดาวเคราะห์ซึ่งยากที่จะตรวจจับได้ด้วยวิธีการอื่นๆ
สนามแม่เหล็กของโลกเป็นผลมาจากแกนกลางของเหลวที่มีการไหลของมัน แต่ใน super earth ที่มีความดันสูงสารประกอบต่างๆอาจก่อตัวขึ้นได้ซึ่งไม่ตรงกับที่สร้างตัวขึ้นภายใต้สภาวะในแกนโลก สารประกอบอาจมีความหนืดสูงขึ้นและอุณหภูมิหลอมเหลวสูงซึ่ง อาจทำให้ไม่มีแมนเทิล
ที่แยกออกเป็นชั้นๆ แบบที่พบบนดาวโลกของเรา และส่งผลให้เกิดหีบสมบัติที่ไม่แตกต่างกัน รูปแบบของแมกนีเซียมออกไซด์เช่น MgSi3O12 อาจเป็นโลหะเหลวที่ความดันและอุณหภูมิที่พบได้ในซุปเปอร์เอิร์ ธ และอาจสร้างสนามแม่เหล็กในชั้นโลหะเหลวไร้แกนของ super earth
ดาวพฤหัสบดีร้อนได้รับการสังเกตว่ามีรัศมีขนาดใหญ่กว่าที่คาดไว้ สิ่งนี้อาจเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กจากดาวฤกษ์ในรูปของลมสุริยะและ magnetosphere ของดาวเคราะห์ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าผ่านดาวเคราะห์ที่ร้อนขึ้นทำให้เกิดการขยายตัว ดาวฤกษ์ที่มีสนามแม่เหล็กมากขึ้นจะเป็นดาวฤกษ์ที่มีลมสุริยะรุนแรงมากขึ้นและมีกระแสไฟฟ้ามากขึ้นซึ่งจะนำไปสู่ความร้อนและการขยายตัวของดาวเคราะห์มากขึ้น ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับการสังเกตว่ากิจกรรมของดาวฤกษ์มีความสัมพันธ์กับรัศมีของดาวเคราะห์ที่พอง
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2018 นักวิทยาศาสตร์ได้ประกาศว่าการเปลี่ยนรูปของก๊าซดิเทอร์เรียมเป็นรูปไฮโดรเจนโลหะเหลว สิ่งนี้อาจช่วยให้นักวิจัยสามารถทำความเข้าใจดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์เช่นดาวพฤหัสบดีดาวเสาร์และดาวเคราะห์นอกระบบที่เกี่ยวข้องได้เนื่องจากดาวเคราะห์ดังกล่าวมีไฮโดรเจนเป็นของเหลวอยู่มากซึ่งอาจต้องรับผิดชอบในการตรวจจับสนามแม่เหล็กที่มีประสิทธิภาพสูง
ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ การศึกษาความเป็นไปของพวกมัน คือห้องทดลองขนาดยักษ์ที่ธรรมชาติ ได้มอบให้กับเราเป็นของขวัญ
ในอวกาศ ยังคงมีพิภพอีกมากนัก ให้เราออกไปค้นหา ดาวฤกษ์ลาวาร้อนที่พร้อมจะหลอมละลายทุกอย่างให้ราบคาบ
ดาวยูเรนัสสายฟ้าอย่าง HAT-P-11b ที่ปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมามหาศาล ซูเปอร์เอิร์ทที่อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
อย่างในระบบของแทรปพิส ดาวเคราะห์ที่ร้อนจนตะกั่วหลอมละลาย อย่างในเคสของดาวศุกร์ที่อยู่ใกล้โลก
อีก 2 ปี กล้อง tess ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดของเคปเลอร์จะไปเก็บอะไรดีๆ ให้เราอีกมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_exoplanet_extremes#Planetary_characteristics
https://en.wikipedia.org/wiki/Exoplanet
https://en.wikipedia.org/wiki/Sub-brown_dwarf
https://exoplanets.nasa.gov/news/1522/other-skies-other-suns-the-search-for-exoplanet-atmospheres/
https://exoplanets.nasa.gov/news/1509/10-ways-to-bbq-on-an-exoplanet/
https://exoplanets.nasa.gov/news/1490/10-things-exoplanets-101/
exoplanet อวกาศยังคงร่ำร้อง
สบเข้าไป แล้วรู้สึกได้ถึงการเปลื่ยนแปลง ทันทีที่เกิด สำหรับคนที่ชื่นชอบและรักในศาสตร์เกี่ยวกับอวกาศ
คงจะไม่มีอะไรเขย่าหัวใจได้เท่ากับการปรากฏตัวของวัตถุที่มาจากห้วงอวกาศอันน่าสนใจ
อย่าง exoplanet อย่างแน่นอน เพราะว่าถ้ามีดาวเคราะห์นอกระบบปรากฏตัวขึ้นมาในวงโคจรที่เหมาะสม
ก็เป็นไปได้ ที่จะมีสิ่งมีชีวิตเจ๋งๆ น่าสนใจ อาศัยอยู่บนนั้นครับ วันนี้เราจะมาพาท่านผู้อ่านบทความ
ไปลุยโลกของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ พิภพอันห่างใกล อันอาจเป็นบ้านของเราในอนาคต
มีการคาดการ์ณถึงในทางทฤษฏีตั้งแต่ปี 1917 แล้วครับ สำหรับวัตถุพวกนี้ แต่กว่าพวกเราจะมา
เจอหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันในทางวิทยาศาสตร์ ก็ต้องล่อเข้าไปที่ปี 1988 โน่น (ซึ่งนั่นก็ก่อนหลายคนในพันทิปจะเกิดละนะครับ)
ถึงมันจะไม่ถูกรับประกันเป็นดาวเคราะห์นอกระบบจนถึงปี 2012 ก็ตามที่ การตรวจจับดาวเคราะห์นอกระบบ
อย่างเป็นทางการครั้งแรก ถูกตรวจจับได้ในปี 1992 ครับผม ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ทำให้เหล่านักดาราศาสตร์พากันตื่นตะลึง
และดีอกดีใจกันเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ผู้เขียนบทความขอใช้สิทธิ์ในการมโนเอาเองว่า นักดาราศาสตร์บางคน
อาจถึงขั้นเปิดขวดไวน์ฉลองกันเลยทีเดียว
มีจำนวนมากถึงเกือบๆ 4,000 ดวง และมีอีกจำนวนมาก ที่ยังคงลอยเท้งเต้งอยู่ในอวกาศ รอให้นักดาราศาสตร์
ทำการส่องกล้อง เพื่อทำการจับตำแหน่งและค้นพบ ซึ่งจากเจ้าดาวเคราะห์นอกระบบจำนวนราวๆ 4,000 ดวงที่ว่า
พวกมันมาจากระบบดาวจำนวน มากกว่า 2800 ระบบดาว โดยมากกว่า 600 ระบบในนี้มีดาวเคราะห์มากกว่า 1
ดวง โครงการฮาร์ป ซึ่งเป็นหอดูดาวในการตรวจจับหาสเปคตรัม และการเปลื่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ของดาวเคราะห์ แม้แต่การเคลื่อนที่ ของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่ความเร็วต่ำๆ ก็สามารถตรวจจับได้ ซึ่ง
ปัจจุบัน ความช่วยเหลือจากโครงการฮาร์ป ทำให้เราค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจากโครงการนี้ถึง 130 ดวง
ของฮีโร่จอมล่าดวงดาวของเรา กล้องโทรทัศน์อวกาศเคปเลอร์ ซึ่งโดนส่งให้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าใกล
ตั้งแต่ปี 2009 เคปเลอร์ได้มีส่วนในการค้นหาแคนดิเดทดาวเคราะห์ โดยจะมีโอกาสในการที่เคปเลอร์
จะเจอดาวที่ตรวจจับผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็น้อยมาก ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ที่เราค้นพบกันว่ามีดาวเคราะห์นอก
ระบบ ก็ส่วนมากก็เป็นการค้นพบจากเคปเลอร์นี้เอง กล้องเคปเลอร์มีน้ำหนักอยู่ที่ราวๆ 1 ตัน
กระจกหลักขนาดราว 1.4 เมตร ในเวลาที่ส่งกล้องเคปเลอร์ออกไป สิ่งนี้ถือเป็นกระจกหลักนอกโลกที่ใหญ่ที่สุด
คล้ายดวงอาทิตย์ จะมีดาวเคราะห์นอกระบบ ที่มีขนาดพอๆ กับโลก ทำการสถิตอยู่ในวงโคจร
ในเขตที่สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าการค้นพบในครั้งนี้ สร้างความหวัง
ให้กับเรา ในการที่จะทำการค้นหาชีวิตจากต่างโลกครับ ซึ่งถ้าค้นพบได้ อวกาศคงจะมีอะไรน่าสนุกๆ มาให้พวกเรา
ศึกษาอีกมากมายเลยทีเดียว จากการคาดการ์ณของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าน่าจะมีดาวเคราะห์คล้ายโลก
ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ 11,000,000,000(หนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านดวง) และอาจมีปริมาณมากมายถึง
40,000,000,000(สี่หมื่นล้านดวง) ในกรณีที่นับรวมดาวฤกษ์ที่โคจรรอบดาวแคระแดงเข้าไปด้วย
แต่อัตราการคาดการณ์ล่าสุดของนาซ่า บอกว่าอาจมีถึงล้านล้านดวง โอ้โหเหอะ อะไรจะปานนั้น
ดาวเคราะห์นอกระบบ ที่ถือกันว่าเป็นวัตถุ ที่มีมวลน้อยที่สุด คือเจ้าดรากร์ ซึ่งมีมวลราวๆ 2 เท่า
ของดวงจันทร์ ส่วนดาวเคราะห์นอกระบบ ที่ถือกันว่าเป็นวัตถุที่หนักหน่วง อย่างยิ่งยวด HR 2562 b นั้น
หนักได้ถึง 30 เท่าของดาวพฤหัส ซึ่งแน่นอนว่าด้วยมวลที่มหาศาลขนาดนี้ มันได้ก้าวข้าม ขีดจำกัด
ของเส้นแบ่งระหว่างดาวเคราะห์แก้สยักษ์ กับดาวแคระน้ำตาลไปได้แล้ว ดาวเคราะห์นอกระบบ
สุริยะ สามารถทำอะไรที่สุดโต่ง กว่าที่ดาวในระบบของเราเป็นอย่างมาก ดาวเคราะห์นอกระบบ
อย่าง 2MASS J2126-8140 อาจมีรอบการโคจร ที่ยาวนานถึงหนึ่งล้านปี ในขณะที่ SWIFT J1756.9-2508 b อาจมีคาบการโคจร แค่ระดับหลายสิบนาที
เท่านั้นเอง แม้แต่พรอกซิมา เซนเทารี่ ที่อยู่ห่างออกจากโลกไปเพียงแค่ 4 ปีแสง ก็ยังมีดาวเคราะห์เป็นบริวาร
จะเห็นได้ว่า จากหลักฐานที่ค้นพบ ถ้าเราจะอ้างตัวว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตสุดพิเศษ หนึ่งเดียวในจักรวาล
อันนี้ก็ถือเป็นอะไรที่ผยองเกินไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันมีการค้นพบกลุ่มพิเศษของดาวเคราะห์
ในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม rogue planet ที่เกิดจากการที่ดาวเคราะห์นอกระบบโดนเหวี่ยง
ออกจากวงโคจร หรือกลุ่มดาวเคราะห์ free floing รวมถึง sub brown dwaft ด้วย
สีและความสว่างของดาวเคราะห์นอกระบบ
ในปี 2013 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวิธีการ ที่จะตรวจวัดสีของดาวเคราะห์นอกระบบ
ดาวเคราะห์นอกระบบ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ตัดสินใจที่จะประกาศสีเป็นครั้งแรก นั่นคือ
HD 189733 b โดยสีที่ประกาศออกมา คือสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นสีของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
จำนวนมาก ได้ถูกประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง มันคือการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยี ที่ถูกทำให้เพิ่มขึ้นตามยุค นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริง ซึ่งคนรักวิทยาศาสตร์
ทุกท่าน ควรจะรับทราบเอาใว้ นั่นก็คือ ระดับความสว่างปรากฏ ของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
นั้นมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงนั้นอยู่ใกลไปจากเรามากแค่ใหน
อัตราการสะท้อนแสงของดาวเคราะห์ สามารถสะท้อนรังสีที่ปลดปล่อยออกมา ได้ดีมากแค่ใหน รวมถึง
มันอยู่ใกลจากดวงดาวมากแค่ใหน และแสงสว่างที่มันได้รับมีเท่าไหร่ ด้วยหลักการนี้เอง
จึงทำให้ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะบางดวง ที่มีอัตราการสะท้อนแสงที่ต่ำ แต่อยู่ใกล้กับดาวแม่
มากกว่า หรือโชคดีที่มีดาวแม่ที่สุกสว่างมากๆ จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่า
ดาวฤกษ์ที่มีการสะท้อนแสงดีอย่างยิ่ง แต่ว่ากลับมีดาวแม่ที่ไม่สุกสกาวเท่า
ดาวเคราะห์นอกระบบ ที่มีอัตราการสะท้อนแสงต่ำที่สุดดวงหนึ่ง ได้แก่ tres 2b มันสะท้อน
แสงออกมาน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ จึงทำให้แม้แต่ถ่านไม้ หรือว่าสีอะคลิลิกสีดำ ก็ยังสะท้อนแสงได้ดีกว่ามัน
ดาวเคราะห์นอกระบบ ในตระกูล พฤหัสร้อน(hot jupiter) ส่วนมากจะมีสีออกไปในโทน ที่สื่อถึงความมืดมิด
เนื่องจากโซเดียมและโพแทสเซียมในชั้นบรรยากาศ แต่ในเคสของ tres 2B อาจเป็นเพราะองค์ประกอบทางเคมี ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก
ก็เป็นไปได้ สำหรับดาวเคราะห์แก้สยักษ์ดวงนี้ ในเคสของดาวเคราะห์แก้สยักษ์ทั่วไป
อัตราการสะท้อนแสงจะถูกทำให้ลดลง พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของธาตุโลหะ ในชั้นบรรยากาศ
สร้างชั้นเมฆที่อาจสุกสว่าง ในคลื่นแสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่กลับกลายเป็นความมืดมิด เมื่อเราทำการ
มองมันด้วยอินฟราเรด อัตราการสะท้อนแสงจะต่ำลง เมื่อมวลของดาวเคราะห์หนักขึ้น
เพราะดาวเคราะห์ยักษ์ที่หนักขึ้นจะมีแรงดึงดูดบริเวณพึ้นผิวที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และจะมีแถบแก้สรุนแรง
ปรากฏขึ้น และแถมแก้สนี้จะฝังลึกลงไปในชั้นบรรยากาศของดาวลึกลงไปอีกนั่นเอง
องค์ความรู้ด้านการตรวจสอบชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ในปัจจุบัน ทำให้มองไป
แล้วเรารู้ว่าน้ำสำมารถดำรงอยู่ได้ในหลายสถานะกว่าที่เราเคยคิดถึง แม้แต่สถานะพลาสม่า
ก็ตาม คำถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าชั้นบรรยากาศของดาวดวงใหนเป็นอย่างไร ดาวดวง
ใหนที่เราควรส่งลูกหลานลงไปสำรวจได้ โดยที่จะไม่เป็นการส่งพวกเขาไปตายโดยไร้ความหมาย
สนามแม่เหล็ก
ในปี 2014 สนามแม่เหล็กรอบ HD 209458 ถูกคาดการ์ณจากที่ไฮโดรเจนระเหยจากดาวเคราะห์ เป็นครั้งแรก การตรวจจับสนามแม่เหล็กบนดาวเคราะห์นอกระบบ เราได้ตัวเลขออกมาที่สนามแม่เหล็กประมาณหนึ่งในสิบเท่าของดาวพฤหัสบดี
การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์ใกล้เคียงและดาวฤกษ์สามารถสร้างจุดบนดาวฤกษ์ได้ในทำนองเดียวกันกับการที่ดวงจันทร์ของกาลิเลโอผลิตแสงออโรราบนดาวพฤหัสบดีครับผม สามารถตรวจพบการแผ่รังสีวิทยุออโรราด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุเช่น LOFAR การปล่อยคลื่นสัญญาน ทางวิทยุจะช่วยให้สามารถกำหนดอัตราการหมุนของดาวเคราะห์ซึ่งยากที่จะตรวจจับได้ด้วยวิธีการอื่นๆ
สนามแม่เหล็กของโลกเป็นผลมาจากแกนกลางของเหลวที่มีการไหลของมัน แต่ใน super earth ที่มีความดันสูงสารประกอบต่างๆอาจก่อตัวขึ้นได้ซึ่งไม่ตรงกับที่สร้างตัวขึ้นภายใต้สภาวะในแกนโลก สารประกอบอาจมีความหนืดสูงขึ้นและอุณหภูมิหลอมเหลวสูงซึ่ง อาจทำให้ไม่มีแมนเทิล
ที่แยกออกเป็นชั้นๆ แบบที่พบบนดาวโลกของเรา และส่งผลให้เกิดหีบสมบัติที่ไม่แตกต่างกัน รูปแบบของแมกนีเซียมออกไซด์เช่น MgSi3O12 อาจเป็นโลหะเหลวที่ความดันและอุณหภูมิที่พบได้ในซุปเปอร์เอิร์ ธ และอาจสร้างสนามแม่เหล็กในชั้นโลหะเหลวไร้แกนของ super earth
ดาวพฤหัสบดีร้อนได้รับการสังเกตว่ามีรัศมีขนาดใหญ่กว่าที่คาดไว้ สิ่งนี้อาจเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กจากดาวฤกษ์ในรูปของลมสุริยะและ magnetosphere ของดาวเคราะห์ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าผ่านดาวเคราะห์ที่ร้อนขึ้นทำให้เกิดการขยายตัว ดาวฤกษ์ที่มีสนามแม่เหล็กมากขึ้นจะเป็นดาวฤกษ์ที่มีลมสุริยะรุนแรงมากขึ้นและมีกระแสไฟฟ้ามากขึ้นซึ่งจะนำไปสู่ความร้อนและการขยายตัวของดาวเคราะห์มากขึ้น ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับการสังเกตว่ากิจกรรมของดาวฤกษ์มีความสัมพันธ์กับรัศมีของดาวเคราะห์ที่พอง
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2018 นักวิทยาศาสตร์ได้ประกาศว่าการเปลี่ยนรูปของก๊าซดิเทอร์เรียมเป็นรูปไฮโดรเจนโลหะเหลว สิ่งนี้อาจช่วยให้นักวิจัยสามารถทำความเข้าใจดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์เช่นดาวพฤหัสบดีดาวเสาร์และดาวเคราะห์นอกระบบที่เกี่ยวข้องได้เนื่องจากดาวเคราะห์ดังกล่าวมีไฮโดรเจนเป็นของเหลวอยู่มากซึ่งอาจต้องรับผิดชอบในการตรวจจับสนามแม่เหล็กที่มีประสิทธิภาพสูง
ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ การศึกษาความเป็นไปของพวกมัน คือห้องทดลองขนาดยักษ์ที่ธรรมชาติ ได้มอบให้กับเราเป็นของขวัญ
ในอวกาศ ยังคงมีพิภพอีกมากนัก ให้เราออกไปค้นหา ดาวฤกษ์ลาวาร้อนที่พร้อมจะหลอมละลายทุกอย่างให้ราบคาบ
ดาวยูเรนัสสายฟ้าอย่าง HAT-P-11b ที่ปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมามหาศาล ซูเปอร์เอิร์ทที่อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
อย่างในระบบของแทรปพิส ดาวเคราะห์ที่ร้อนจนตะกั่วหลอมละลาย อย่างในเคสของดาวศุกร์ที่อยู่ใกล้โลก
อีก 2 ปี กล้อง tess ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดของเคปเลอร์จะไปเก็บอะไรดีๆ ให้เราอีกมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_exoplanet_extremes#Planetary_characteristics
https://en.wikipedia.org/wiki/Exoplanet
https://en.wikipedia.org/wiki/Sub-brown_dwarf
https://exoplanets.nasa.gov/news/1522/other-skies-other-suns-the-search-for-exoplanet-atmospheres/
https://exoplanets.nasa.gov/news/1509/10-ways-to-bbq-on-an-exoplanet/
https://exoplanets.nasa.gov/news/1490/10-things-exoplanets-101/