โลกใหม่ ดาวดวงใหม่ ในห้วงอวกาศ

“K2-288Bb”  (January 17, 2019)


ก่อนหน้านี้ NASA ส่งกล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ เพื่อไปค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบซึ่งเอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตในอวกาศ 
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2018 กล้องโทรทรรศน์ดังกล่าวก็ได้ถูกปลดระวาง เหลือไว้เพียงแต่ข้อมูลอันล้ำค่าที่กล้องส่งกลับมาให้เหล่านักวิทยาศาสตร์บนโลกได้ร่วมวิเคราะห์กันต่อ
ล่าสุดมีนักวิทยาศาสตร์อาสาสมัครคนหนึ่ง Adina Feinstein  วิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ ในส่วนที่ตกหล่นหายไป และประสบความสำเร็จในการค้นพบดาวเคราะห์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอยู่อาศัยได้

ดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ถูกตั้งรหัสภายใต้ชื่อ “K2-288Bb” ห่างจากโลก 226 ปีแสง และมีขนาดใหญ่ประมาณ 190% หรือราวๆ เกือบ 2 เท่าของโลกเรา 
ขนาดดาวดังกล่าว ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม Fulton gap ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าโลก แต่เล็กกว่าดาวเนปจูน
ไม่บ่อยนัก ที่ดาวเคราะห์ขนาดนี้จะอยู่ในเขตอยู่อาศัย จึงอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีน้ำบนดาวเคราะห์ หรืออาจจะถึงขั้นมีสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์นี้

ตลอดระยะเวลากว่า 9 ปีที่กล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ถูกส่งไปค้นหาดาวเคราะห์ในเขตอยู่อาศัยได้ มีการยืนยันการค้นพบดาวเคราะห์มากกว่า 2,600 ดวงที่โคจรรอบดาวฤกษ์
การค้นพบเจ้า K2-288Bb ในครั้งนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ ซึ่งอาจจะช่วยให้ NASA หรือนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ได้พบว่าข้อมูลจากกล้องเคปเลอร์ อาจจะมีบางส่วนที่ตกหล่นไป
Cr.matemnews.com/

 K2-18b (12 ก.ย. 2562)


ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน (University College London) เปิดเผยข้อมูลในวารสาร Nature Astronomy ระบุว่า ดาวเคราะห์ชื่อว่า K2-18b ที่อยู่นอกระบบสุริยะมีน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญในชั้นบรรยากาศ 0.01 - 50 เปอร์เซ็นต์ และยังโคจรรอบดาวฤกษ์ในระยะที่ใกล้เคียงกับโลก ซึ่งเป็นระยะที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต

ดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกค้นพบเมื่อปี 2558 โดยกล้องโทรทัศน์อวกาศเคปเลอร์ของนาซ่า โดยมีอุณหภูมิที่เหมาะกับการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตโดยมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 0 - 40 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณภูมิที่ไม่ร้อนและเย็นจนเกินไป ขณะที่ขนาดของดาวดวงนี้นั้นมีขนาดใหญ่กว่าโลกถึง 2 เท่า

ทั้งนี้ ดาวเคราะห์ K2-18b มีระยะห่างจากโลก 111 ปีแสง หรือ 650 ล้านล้าน ไมล์ ซึ่งมีระยะทางไกลเกินกว่าที่จะมีการส่งยานไปสำรวจในตอนนี้ ซึ่ง ณ ตอนนี้มีเพียวิธีเดียวที่จะสำรวจดาวดวงนี้ คือ เทคโนโลยีกล้องโทรทัศน์ที่จะออกมาในปี 2564 ซึ่งจะมีความละเอียดมากเพียงพอที่จะสำรวจดาวดวงดังกล่าว 
อย่างไรก็ตามน้ำที่ค้นพบบนดาวเคราะห์ดวงนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีน้ำเป็นองค์ประกอบของพื้นผิวหรือไม่ แต่ทั้งนี้การค้นพบดังกล่าวทำให้นักดาราศาสตร์เข้าใกล้กับความเป็นจริงถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่นในอวกาศนอกจากโลก
Cr.ที่มา The guardian / BBC

“C/2019 Q4 (Borisov)”  (กันยายน 24, 2019)


(ภาพเคลื่อนไหวแสดงวงโคจรของดาวหางโบรีซอฟ ผ่านเข้าสู่ระบบสุริยะนอกวงโคจรของดาวอังคาร ภาพจาก NASA/JPL-Caltech)

ดาวหางที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้ ได้สร้างความตื่นเต้นให้แก่ชุมนักดาราศาสตร์เป็นอย่างมากในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากต้นกำเนิดของมันไม่ได้มาจากในระบบสุริยะของเรา ปัจจุบันมันถูกตั้งชื่อว่า 2I/Borisov โดย I นั้นย่อมาจากคำว่า Interstellar ซึ่งหมายถึงวัตถุที่อยู่ระหว่างดวงดาว ส่วนตัวเลขสองที่อยู่ข้างหน้าก็คือลำดับที่ค้นพบ และการที่ดาวหางดวงนี้ถูกตั้งชื่อให้นำหน้าว่า 2I จึงมีความหมายว่า มันคือวัตถุระหว่างดวงดาวที่ค้นพบเป็นลำดับที่สอง

ดาวหาง ดวงนี้ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ปี ค.ศ. 2019 โดย เกนนาดี โบรีซอฟ (Gennady Borisov) นักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวยูเครน ณ หอดูดาวไครเมีย (Crimean Astrophysical Observatory) และเพื่อให้เกียรติแก่การค้นพบของเขา จึงถูกตั้งชื่อเล่นว่า โบรีซอฟ (Borisov) และเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ปัจจุบันเทคโนโลยีกล้องโทรทรรศน์ทั้งทางภาคพื้นดินและกล้องอวกาศอันล้ำสมัย แต่ดาวหางดวงนี้กลับถูกค้นพบเป็นครั้งแรกผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาด 0.65 เมตร ที่เขาประดิษฐ์เอง

วัตถุอวกาศนอกระบบสุริยะนี้เพิ่งได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2019 โดย Minor Planet Center เป็นวัถตุอวกาศลำดับที่สองต่อจากผู้มาเยือนเมื่อปี ค.ศ 2017 อย่าง โอมัวมัว (Oumuamua) และเป็นดาวหางดวงแรกที่มาจากนอกระบบสุริยะ

2I/Borisov ถูกตั้งสันนิษฐานว่าอาจเป็นดาวหาง เนื่องมาจากการตรวจพบละอองเมฆฝุ่นและอนุภาคออกมากมารอบดาว ครั้งเมื่อมันผ่านเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ หลักฐานนี้จึงบ่งบอกได้ว่าใจกลางของมัน คงประกอบไปด้วยอนุภาคน้ำแข็งเป็นจำนวนมากมาก
Cr. sciways.co/

 GJ 357 b (9 ส.ค. 2562)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ศูนย์การบินอวกาศก็อดเดิร์ด (Goddard Space Flight Center) รายงานการค้นพบดาวเคราะห์ที่ไหม้เกรียมชื่อ GJ 357 b โคจรรอบดาวฤกษ์ที่ส่องแสงริบหรี่อยู่ใกล้เคียงกัน ดาวเคราะห์ดวงนี้ประเมินว่ามีอุณหภูมิถึง 254.4 องศาเซลเซียส ห่างออกไปราว 31 ปีแสง ตั้งอยู่ในกลุ่มดาวงูไฮดรา (constellation Hydra) ทว่าเป็นเบาะแสสำคัญต่อการปรากฏตัวของดาวเคราะห์ที่มองไม่เห็นก่อนหน้านี้อีก 2 ดวงคือ GJ 357 c และ GJ 357 d
 
ดาวเคราะห์กลุ่มดังกล่าวถูกตรวจพบโดยดาวเทียมเทสส์ (Transiting Exoplanet Survey Satellite-TESS) ที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา ส่งออกไปสำรวจล่าหาดาวเคราะห์นอกระบบแบบเจาะจงว่าต้องเป็นดาวเคราะห์ที่มีลักษณะให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ นักวิทยาศาสตร์เผยว่าดาวเคราะห์ที่น่าสนใจก็คือ GJ 357 d สันนิษฐานว่าอาจมีน้ำที่อยู่ในสถานะของเหลวซึ่งเอื้อต่อการอาศัยอยู่ของสิ่งมีชีวิตเรียกง่ายๆว่าดาว เคราะห์ GJ 357 d มีศักยภาพคล้ายกับโลกของเราที่อาศัยอยู่ได้ แม้จะมีน้ำหนักอย่างน้อย 6.1 เท่าของมวลโลก และโคจรรอบดาวฤกษ์เป็นเวลา 55.7 วัน นับเป็นระยะทาง 1 ใน 5 ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ของเราเลยทีเดียว.
Cr.thairath.co.th/

“2019 SU3” (14/10/2019)


วันที่ 11 ตุลาคม 2019 สำนักข่าว Cnet รายงานว่า องค์การอวกาศยุโรป (ESA) ได้ค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ จากนั้นจึงได้จัดมันไว้เป็นวัตถุที่มีโอกาสชนโลกมากกว่า 0 เปอร์เซ็นต์

ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีชื่อว่า “2019 SU3” ซึ่งถูกบันทึกไว้อยู่ในรายชื่อ 40 อันดับ วัตถุที่มีโอกาสชนโลก ไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีความเป็นไปได้ 1 ใน 400 ภายในปี 2084
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันมีขนาดเล็กเพียง 15 เมตร หากชนจริงอาจส่งผลกระทบในพื้นที่จำกัดเท่านั้น ไม่ได้ทำลายเมืองทั้งเมือง หรือทำให้เราสูญพันธุ์เหมือนกับไดโนเสาร์ 

การค้นพบความเสี่ยงยังไม่หมดเพียงเท่านี้   ESA ยังเผยอีกว่าได้ค้นพบ 2019 DS1 ดาวเคราะห์น้อยอีกดวงที่ถูกค้นพบเมื่อต้นปี 2019 ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 3 โดยมีความกว้างประมาณ 26 เมตร และมีโอกาสที่จะพุ่งชนโลก 1 ใน 800 ภายในปี 2082
แม้ 2019 DS1 จะอยู่ในรายชื่อ 10 อันดับแรก ของวัตถุที่มีโอกาสชนโลกแต่ไม่ได้หมายความว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ แต่เป็นเพียงรายชื่อของวัตถุที่มีโอกาสชนมากกว่า 0 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แถมยังมีค่ามาตราพาเลอร์โมน้อยกว่า -2 อีกด้วย (หมายถึง : เหตุการณ์ที่แทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง)
ค่ามาตราพาเลอร์โม (Palermo Scale) คือมาตราบอกความเสี่ยงอย่างละเอียดในหลักทศนิยมและมีค่าเป็นได้ทั้งลบและบวก (บอกเป็นตัวเลข) ซึ่งเข้าใจยากมาก จึงไม่เป็นที่นิยมเท่า มาตราโทริโน (Torino Scale) ซึ่งแบ่งความเสี่ยงออกเป็นระดับต่าง ๆ ในรูปแบบสี เขียว เหลือง ส้ม แดง ซึ่งเข้าใจง่ายกว่า
Cr.flagfrog.com/

พื้นที่ของดวงดาวใหม่นับพันในทางช้างเผือก (11 ต.ค. 2562)


องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา เผยภาพใหม่ที่ได้จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ ชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคของกลุ่มดาวนกอินทรี (Aquila) ตั้งอยู่ในดาราจักร หรือกาแล็กซี (galaxy) ทางช้างเผือกของเรา มีดวงดาวที่ดูคึกคักและส่งฝุ่นรวมถึงก๊าซระเบิดออกมามีลักษณะคล้ายฟอง

ภาพที่น่าตื่นตะลึงนี้ได้ทีมอาสาสมัครเป็นบุคคลทั่วไปจำนวนกว่า 78,000 คน มาช่วยวิเคราะห์ภาพ ซึ่งพบว่าฟองอากาศที่ปรากฏในภาพซึ่งดูเหมือนจะมีความกว้างเพียงไม่กี่นิ้วนั้น แท้จริงๆแล้วตัวฟองอากาศได้ขยายออกไปในหลายทิศทางช่วงระหว่าง 10-30 ปีแสง บ่งบอกว่าฟองอากาศเหล่านั้นไม่ได้ถูกพัดพาไปโดยดาวดวงเดียว แต่ต้องมาจากดวงดาวหลายพันดวง
นาซาเผยว่า ภาพจากกล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์เป็นการสังเกตแสงอินฟราเรดที่มองไม่เห็น ช่วยให้เกิดความก้าวหน้าครั้งใหม่ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์อื่นๆรวมถึงวิวัฒนาการของกาแล็กซีใกล้เคียงทางช้างเผือก.
Credit : NASA/JPL-Caltech

GJ 3512 (Sep 28, 2019)


ดวงอาทิตย์เป็นดาวแคระเหลือง และเป็นเจ้าของมวล 99.86% ของระบบสุริยะ นั่นหมายถึงดาวเคราะห์บริวารทั้ง 8 ดวง รวมไปถึงดวงจันทร์นับร้อย ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อยและอื่นๆอีกนับพันนับหมื่นรวมกันแล้วมีมวลแค่ 0.14% ของดวงอาทิตย์เท่านั้น
ระบบดาวอื่นๆก็มีลักษณะคล้ายกันแบบนี้
แต่ล่าสุดทีมนักดาราศาสตร์นำโดย J. C. Morales ได้ค้นพบระบบดาวประหลาดที่มีดาวแม่หรือดาวฤกษ์ที่ทำหน้าที่ศูนย์กลางระบบนั้นเป็นดาวแคระแดงมวลต่ำ คือมีมวลแค่ 12% ของดวงอาทิตย์ แต่กลับมีลูกคือดาวเคราะห์บริวารดวงมหึมาที่มีมวลมากไม่น่าเชื่อ
ดาวแคระแดงดวงนี้มีชื่อว่า GJ 3512 ห่างจากโลกเราออกไป 31 ปีแสง เป็นดาวฤกษ์ดวงเล็กที่มีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่มีมวลถึง 46% ของดาวพฤหัสโคจรเป็นบริวารในชื่อว่า ดาวเคราะห์ GJ 3512b
อัตราส่วนของมวลระหว่างดาวเคราะห์บริวารกับดวงอาทิตย์ของมันนั้นดูแตกต่างจากระบบดาวทั่วไปที่เคยพบมา แทนที่ดาวแม่จะหนักกว่าดาวลูกเป็นพันหรือหลายพันเท่า แต่กลับหนักกว่าเพียงประมาณ 250 เท่าเท่านั้น
(รายงานการค้นพบนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสาร https://science.sciencemag.org/content/365/6460/1441 / เรียบเรียงโดย @MrVop)
Cr.stem.in.th/

สีสันหลังความตายของดวงดาว (20 /11/ 2562)


สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ Fan Page โพสต์เฟซบุ๊ก เผยภาพ จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา กับซากซูเปอร์โนวาทีโค โดยระบุ “ภาพ (SN1572 Tycho’s nova) แสดงให้เห็นสีสันของกลุ่มก้อนแก๊สและฝุ่นที่หลงเหลือจากการระเบิด

ในปี พ.ศ. 2115 ทีโค บรา  นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์ก เสนอว่าดาวดวงใหม่นี้มีระยะห่างจากโลกมากกว่าดวงจันทร์ เป็นการค้นพบที่ช่วยยืนยันการปฏิวัติทางดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัส
 
ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ทราบว่า สิ่งที่ทีโคค้นพบนั้นเป็นการระเบิดที่เรียกว่า “ซูเปอร์โนวา” วิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของดาวฤกษ์ที่จะระเบิดและปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา 

ภาพล่าสุดของซากซูเปอร์โนวาทีโค  แสดงให้เห็นกลุ่มก้อนแก๊สและฝุ่นที่หลงเหลือจากการระเบิด ภาพดังกล่าวได้จากการรวบรวมข้อมูลภาพถ่ายในช่วงคลื่นรังสีเอ็กซ์จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา และข้อมูลจากโครงการ “Digitized Sky Survey” สีแดงแสดงถึงซิลิกอนที่กำลังเคลื่อนที่ออกห่างจากโลก และสีฟ้าแสดงถึงซิลิกอนที่กำลังเคลื่อนที่เข้าหาโลก ส่วนสีสันอื่น ๆ ในภาพ (เหลือง เขียว น้ำเงินเขียว ส้ม และสีม่วง) องค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีพลังงานและทิศทางการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกัน
Cr.siamrath.co.th/

 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่