"ความซวยของเราไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจำเป็นจะต้องมาเห็นใจ" บันทึกประสบการณ์ความซวยหลังการทำบุญ...

"ความซวยของเราไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจำเป็นจะต้องมาเห็นใจ"

วันนี้เราไปทำบุญมาช่วงบ่าย ตกเย็นก็ไปวิ่งออกกำลังกายในมอ ความไม่อยากกลับหอเพราะอยากจะไปวิ่งช่วงเย็นต่อ เราก็เลยพกไปแค่กุญแจ คีย์การ์ดเข้าหอ โทรศัพท์ หูฟัง และบัตรเดบิต (ปกติจะมีพาวเวอร์แบงก์ติดตัวเสมอ) เพราะจะได้คล่องตัว ทุกอย่างโฟลว์ไปหมด วิ่งจนตัวเหม็นกลับมาถึงห้อง ไขกุญแจแล้วก็หัก อหหห วินาทีนั้นคือก้มมองโทรศัพท์ แบตกูเหลือ 9% ตายแล้ว ตายแน่ๆ ทำไงดีวะ

พอเจอ accident แล้วมันรนไปหมดทุกอย่าง แต่ที่แน่ๆคือเช็กก่อนว่ามันไม่ได้หักคารู เอาออกได้ไหม? แล้วพบว่ามันหักแบบตรงๆไม่ได้หักเป็นท่อนๆ ก็วิ่งลงไปยืมกรรไกรกับคีบหนีบจากร้านค้าที่สนิทกัน วิ่งมาปลุกปล้ำอยู่นาน อ่ะโล่งใจไปหนึ่งดอกว่ามันไม่ได้หักคารู พยายามคีบอยู่นานสองนานจนกระทั้งมันหลุดออกมาข้างนอก ดีใจราวกับได่เข้าค่ายสอวน.รอบสอง นี่แปลว่าขอแค่มีกุญแจสำรองอีกดอกก็จะสามารถเข้าห้องได้ แต่ก็นันแหละ ปัญหาคือว่าเราไม่มีเมท ดังนั้นกุญแจเข้าหอจึงต้องโทร.ไปหาคุณลุงผู้ดูแลหอเท่านั้น

สรุปใจความว่ามาไขได้แต่ต้องเสีย 400 บาทนะ เป็นค่ารถไปกลับระหว่างบ้านคุณลุงกับทางไปหอ ซึ่งเราปรี๊ดมาก อหห ทำไมความซวยของกูถึงมีราคาเท่าแซลม่อนบุฟเฟ่ห์ตั้ง 1 มื้อ คือเราหาเงินได้ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะ แต่เราไม่มีทางเลือก พรุ่งนี้ 7 โมงเช้าเราต้องไปทำงาน นั้นคือความรับผิดชอบของเรา งานค้างก็ยังอยู่ ยังไงคืนนี้ก็ต้องเข้าห้องไปทำงานต่อ

ก็ตกลงยอมจ่าย 400 บาทไปเงียบๆ แต่เสียใจมากว่าทำไมตัวเองถึงซวยแบบนี้ ทั้งๆทีเมื่อตอนกลางวันเราเพิ่งไปทำบุญมา พอตกเย็นก็ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้จริงๆเหรอ ระหว่างนั่งรอเพื่อนสนิทที่ส่งรูปแรกไปหาก็โทรมาถามว่าเป็นไงบ้าง คือเพื่อนเราอยู่ไกล มันช่วยอะไรไม่ได้หรอกเพราะมันเป็นเด็กหอใน แต่ด้วยความที่เพื่อนสนิทมีแค่นับได้ด้วยมือข้างเดียว แค่มันแสดงความเป็นห่วงยิ้มก็น้ำตาปริ่มแล้ว อย่างน้อยๆคนที่เราคิดว่าสนิทกับเขา ถึงเวลาเราก็พึ่งพาเขาได้

ใน situation ที่แย่ที่สุดของมนุษย์ มันจะพรู๊ฟเสมอว่าใครบ้างที่ยังอยู่ข้างเรา ใครบ้างที่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ใครบ้างที่เราสามารถให้ใจกันและกันได้ แม้มันจะเป็นเหตุการณ์เล็กน้อยแต่มันก็ยังทำหน้าที่พิสูจน์ตรงจุดๆนี้ได้ดี ดีใจว่าอย่างน้อยเราไม่ได้ใช้คำว่าเพื่อนสนิทไปกับคนผิดคน ตอนกุญแจหักแล้วต้องคิดว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร มันก็มีข้อดีของมันตรงที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเองจริงๆจังๆว่าในช่วงเวลาแย่ๆ"เราสามารถไปขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้างวะ?" มันดีนะที่อย่างน้อยๆก็มีรายชื่อในหัวของคนที่เรากล้าที่จะรบกวนเขาได้จริงๆจังๆ แม้จะไม่เยอะมากแต่ก็ยังพอมี

เรื่องเงิน 400 เสียดายมาก ตอนนี้ก็ยังเสียดาย แต่เราเป็นคนร้องไห้ยากมากๆถ้าไม่ใช่เรื่องที่เราเซนซิทีฟด้วย อย่างความซวยครั้งนี้เราก็ถามตัวเอง เราผิดไหม?-ไม่ เพราะเราหมดแรงไขไม่ได้ออกแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ จะเป็นเราที่ผิดได้ยังไง เรามั่นใจมากๆว่าเราแค่เสียบแล้วหมุนไปตามทางปกติ ไมาได้ดัน คุณลุงผิดไหมที่คิดเงินจากความซวยของเรา?-ไม่ เขาจะผิดได้ไง มันเลยเวลาทำงานเขาแล้ว เราจะหวังให้ทุกคนเข้าใจเราและช่วยเหลือเราตลอด 24 ชมเลยเหรอ ? "ความซวยของเราไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจำเป็นจะต้องมาเห็นใจ" นะเว้ย เราต้องยอมรับตรงจุด ๆ นี้ก่อน ไม่มีใครว่างมาเข้าใจคนอื่นตลอดเวลาหรอกนะ

โลกมันก็เป็นแบบนี้ มันจะมี Situation ที่ควบคุมไม่ได้และไม่มีใครผิด แต่ต้องมีคน "รับผิดชอบ" ผลลัพท์จาก "ความซวย" นั้นเสมอ ๆ แม้เราจะคิดเสมอก็เถอะว่าทำไมโลกมันถึง "ต้องเป็นแบบนี้" แต่มันก็เป็นแบบนี้ของมันจริงๆ และมันจะเป็นแบบนี้ต่อไปตราบเท่าที่มนุษย์เรายังต้องมีความเห็นแก่ตัว ในเมื่อไม่มีใครผิด เราก็แค่ต้องทำใจยอมรับในความซวยที่เกิดขึ้น เราต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานของเรา เซงได้ในความซวยแต่ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ เราไม่ได้ทำอะไรผิด จะร้องทำไมถูกไหม? แล้วเราก็มีภูมิคุ้มกันความผิดหวังความเสียใจค่อนข้างเยอะ เทียบกับเรื่องอื่น ๆ แล้ว แค่กุญแจหักเรื่องเล็ก

สุดท้ายแล้ว ภูมิคุ้มกัน "ความผิดหวัง" จะทำให้คุณมองโลกใบนี้ได้ง่ายมากขึ้น คุณจะอินน้อยลงและจะรู้สึกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป คนเราต้องเจอเรื่องที่ควบคุมไม่ได้แต่ "ซวย" แบบนี้ไปตลอดจนกว่าเราจะตายจากโลกนี้ไปเท่านั้นแหละ

แน่นอน คนเราคงไม่ได้ซวยไปทุกวันหรอก คุณว่าไหมละ? :]

#สวาฬtoday



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่