งานแต่งงาน คำนวนปริมาณอาหารยังไงดีให้รู้สึกว่าเพียงพอ ไม่ขาด ไม่เหลือ

สวัสดีครับ ทุกท่าน บางท่านอาจจะได้อ่านเรื่องราวที่ผมเขียนบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็ถือว่าเราแลกเปลี่ยนทัศนคติกันนะครับ ผมเองได้ผ่านงาน ได้เห็น ได้ทราบมาบ้าง ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ อย่าถือสาหาความอะไรกับผมนะครับ ถ้าสิ่งที่ผมเล่า มันอาจจะขัดแย้งกับความรู้สึกของคุณผู้อ่านบ้าง บางคนอาจจะเห็นด้วยกับผม บางคนอาจจะโต้แย้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ผมแค่เป็นหนึ่งในทัศนคติเท่านั้น ลองอ่านแล้วเอาไปะพิจารณาตามความเหมาะสมแล้วกันนะครับ

ผมห่างหายจากการเขียนที่นี้ไปนาน ด้วยภาระกิจอันมากมายและไม่มีแรงบันดาลใจอะไรให้เขียนเลยครับ อันนี้ขอบอกตามตรง บางที บางเรื่อง มันก็แลดูช่างไม่มีสาระเสียเลย จนไม่น่าเอามาเป็นประเด็น แต่สัญญาคับว่าจะหาเรื่องมาเขียนให้ท่านอ่านบ่อยๆ เป็นประจำ ใครที่อยากแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์ก็ยินดีครับ เผื่อเราจะได้มุมมองใหม่ๆของกันและกันครับ หรืออยากทราบเรื่องอะไร ฝากข้อความไว้ ผมจะมาเล่าสู่กันฟังต่อไปครับ

มาเข้าเรื่องดีกว่า วันนี้ผมจะเขียนเรื่องที่ว่า ในงานแต่งงานสักงานหนึ่ง คุณจะปริมาณอาหารสำหรับแขกอย่างไรดี ถึงจะรู้สึกว่าเพียงพอและพอเพียง สองคำนี้ต่างกันนะครับ ลองคิดถึงความหมายของสองคำนี้ดูครับ ลองนึกย้อนกลับไปนะครับ บางท่านที่เคยไปงานแต่งงานแล้วมีประสบการณ์อาหารหมด ไม่พอกับปริมาณแขกไหมครับ หรือคนต่อคิวกันรอรับอาหารจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หรือไม่ในอีกด้านหนึ่ง ก็อาหารเหลือมากมาย เหลือจนคุณเองยังแอบนึกเสียดาย อยากจะห่อกลับบ้านมากินต่อได้อีกหลายวัน (แต่เอากลับมาก็ไม่อร่อยแล้วครับ จิงๆ)

แนวคิดของลักษณะอาหารที่เลี้ยงในงานแต่ง ถ้าเป็นโตีะจีนก็ง่ายหน่อยเพราะแต่ละโต๊ะมีอาหารที่แน่นอน แต่มันก็มีความยากในการบริหารผู้ที่จะเข้านั่ง ทำอย่างไรให้คนที่ไม่รู้จักกัน ยอมนั่งด้วยกันแบบเขินน้อยที่สุด ผมเคยนะครับ ไปทานอาหารโต๊ะจีน เกรงใจกันจนไม่กล้ากิน กลับมากินมาม่าที่บ้านต่อซะงั้น 5555 เอาเป็นว่าเรื่องนี้ เอาไว้เขียนให้อ่านในโอกาสหน้านะครับ วันนี้ เรามาดูที่ประเด็นอาหารแบบคอกเทลก่อนดีกว่า

อาหารแบบคอกเทลก็จะมีการเสิร์ฟในหลากหลายรูปแบบนะครับ ไม่ว่าจะตั้งโต๊ะให้แขกสามารถเดินมาหยิบเองได้ ที่เค้าเรียกกันว่า food station ซึ่งก็จะเป็นอาหารที่เน้นการหยิบทานเป็นคำๆ ทานเบาๆ เอาสวย บางอย่างก็ไม่คุ้นลิ้นคนไทยเราสักเท่าไหร่ อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้างก็ลองกันไปครับ กับอีกแบบหนึ่งคือซุ้มอาหารหนักๆ เช่น ข้าวมันไก่ กระเพาะปลา ก๋วยเตี๋ยว พลาสต้า ฯลฯ อาหารที่เราคุ้นเคยแต่มักจะเป็นเจ้าดังๆจากมุมเมืองต่างๆมารวมไว้ให้ทุกท่านได้ชิมในงานนี้โดยเฉพาะ อันนี้จะเน้นกินหนัก กินอิ่ม โดยเฉพาะซุ้มที่เป็นที่นิยมแทบจะทุกงาน คือซุ้มอาหารญี่ปุ่น คนรุมยิ่งกว่า และหมดเร็วยิ่งนักครับ

บ่าวสาวหลายๆคู่ เวลาที่ต้องคำนวนปริมาณอาหาร ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักมากคับเพราะไม่รู้ว่าจะคำนวนปริมาณเท่าไหร่ดี เตรียมน้อยก็กลัวอาหารขาด โดนตำหนิ เตรียมมากก็สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะวัฒนธรรมการกินของบ้านเรา ต้องกินอิ่ม กินอร่อย ยิ่งสร้างแรงกดดันยิ่งขึ้นไปอีกครับ คิดแล้วกลุ้มไหมครับ มาครับ ผมมาลองแนะนำวิธีคิดตามแบบฉบับของผมดูนะครับ

วิธีการคิดที่ผมมักจะแนะนำนะครับ ผมมักจะให้บ่าวสาวคิดจากวิธีการทานตามปรกติของคนทั่วไปครับ เช่น ถ้าคุณทานอาหารหนัก ก็มักจะทานได้สักสองจาน เช่น ข้าวมันไก่หนึ่งจาน ก๋วยเตี๋ยวน้ำหนึ่งชามก็จะพอดีๆ คอกเทลอีกซักสามสี่ชิ้น (ทานเพราะอยากลองมากกว่า หน้าตาแปลกๆ เลยอยากลอง) ขนมนิดหน่อย ผลไม้ เครื่องดื่ม เท่านี้ก็จะอิ่มกำลังสบายๆครับ ถ้าคุณเคยคุยกับเจ้าหน้าที่โรงแรม เค้ามักจะเรียกเป็น "พอร์ชั่น" ข้าวมันไก่หนึ่งจานก็เรียก หนึ่งพอร์ชั่น คอกเทลสามชิ้น โดยหยิบแบบแยกชิ้นกันก็เรียกสามพอร์ชั่น พอนึกภาพออกหรือยังครับ ซึ่งการคำนวน ผมมักจะให้แขกหนึ่งท่าน ทานประมาณ 4.5 พอร์ชั่น แขกของงานกี่ท่านก็ลองคูณกันเข้าไปครับ นั้นก็จะเป็นปริมาณอาหารทั้งหมดครับ แล้วก็คูณด้วยราคาต่อพอร์ชั่น นั้นละครับ จะเป็นตัวเลขกลมๆค่าอาหารละ

อีกประเด็นนึงที่อยากให้คุณลองคิดดูให้ลึกลงไป คือการจับคู่อาหารที่ทานร่วมกันได้ เช่น ถ้ามีข้าวมันไก่ คุณคงเลี่ยงที่จะไม่ทานอีกจานด้วยข้าวหมูแดง หรือถ้าคุณกินก๋วยเตี๋ยวแล้ว จานต่อไปคงไม่เป็นพาสต้า แต่ถ้าลองจับคู่เป็นกินข้าวมันไก่มาล้างคอด้วยเกี๊ยวกุ้งน้ำ เอ่อ น่าสนใจนะครับ หรือจะลองเป็น อาหารญี่ปุ่นกับสลัด ผมว่าก็น่าสนใจนะครับ วิธีการคืออาหารมันควรจะเติมเต็มซึ่งกันและกันนะครับ มันก็จะลงตัว ส่วนขนมและผลไม้ บางทีขนมจำนวนมากแล้ว ผลไม้ก็น้อยหน่อย ซึ่งจุดขนมและผลไม้มักจะเป็นส่วนเติมเต็มในช่วงท้าย ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ที่จะทานครับ แต่ก็ควรมีไว้บ้าง แต่ต้องคำนึงถึงวิธีการในการเสิร์ฟเพราะถ้าให้ตักเอง หรือตัดเอง แรกๆก็ยังสวยอยู่แต่หลังๆเละจนไม่น่าทานละครับ

ผมเคยเจอบางงานที่อาหารปริมาณมากแบบว่ามากจิงๆ ซึ่งทางเจ้าภาพยืนยันว่า ไม่ซีเรียสกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้เพราะเค้ามีแนวคิดว่าอยากให้ทุกคนทานดีๆอิ่มๆ อันนี้ก็ตามใจท่านนะครับ ก็ดีครับ สบายใจกันทุกฝ่ายและไม่มีการตำหนิจากแขกแน่นอนครับ แต่ถ้าคุณไม่ใช่กลุ่มแนวคิดนี้ ลองคิดคำนวนดูให้ดีครับ แต่ถ้าคุณคำนวนปริมาณน้อยกว่าความเป็นจริงแล้วหวังว่าจะสั่งเพิ่มหน้างาน อันนี้ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งนะครับ เพราะสถานที่เองก็ไม่ได้เตรียมวัตถุดิบสำรองไว้มากมายและหลากหลายตามความต้องการขนาดนั้นครับ รวมถึงเมื่อของขาดแล้วคุณสั่งเพิ่ม มันจะมีช่วงเวลาที่ต้องรอ กว่าจะปรุงเสร็จ นั้นละครับ ความขาดช่วงในการทาน มันจะเป็นหายนะ จะทำให้ถึงกับหมดอร่อยกันเลยทีเดียว และตามมาด้วยเสียงตำหนิต่างๆนานาครับ

นี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ เรายังไม่ได้คุยกันถึงเครื่องดื่มอีกต่างหาก ซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเช่นกันครับ  ขอติดไว้คราวหน้าดีกว่า เรามาคุยกันเรื่องเครื่องดื่มในงานกัน ทั้งแบบแอลกอฮออล์และไม่มีแอลกอฮออล์ สำคัญเช่นกันครับ ส่วนนี้ยิ่งคำนวนแล้วยิ่งเห็นตัวเลข ยิ่งจะเป็นลมครับ

ผมชอบคำของผู้ใหญ่ท่านนึงที่เคยบอกผมว่า "...ให้แขกทุกคนกินอิ่ม เค้ายิ้มออก....."
อื่ม...ดีครับ....555555
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่