

สวัสดีครับ
วันนี้จะมาเล่าเรื่องของผม หลังจากเสพติดการวิ่ง ฮา...
เมื่อต้นๆ ปี 2561 ผมได้เคยตั้งโพสต์แรกเกี่ยวกับการวิ่ง ถามพี่ๆ เพื่อนๆ ในนี้ครับถึงการฝึกซ้อมอย่างไร
ให้วิ่งได้สนุก วิ่งแล้วไม่เหนื่อยมาก และดีต่อสุขภาพ ตามกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/37461259
ตอนนั้นประมาณมีนาคม 2561 น้ำหนักตัวผมยังประมาณ 81 กก.
หน้าตาก็จะออกอ้วนกลมหน่อยๆ

ผมสูง 173 หนัก 81-84 ขึ้นลงราวๆนี้ มาได้ 4-5 ปีหลังนี้ ครับ
ก่อนหน้านี้ก็เข้ายิม ยกเวท ยกเหล็ก ก็หวังที่จะลดน้ำหนักซัก 2-3 โล
แต่น้ำหนักก็ไม่ลง คงเพราะเล่นไม่ถึงจุดของเค้า เล่นเองไม่มีเทรนเนอร์ครับ

อ้อ ก่อนหน้านี้สมัยเรียนมหาลัย น้ำหนักเคยน้อยสุดที่ 68 กก. นะ
ตอนเรียน ปี 3 ปี 4 ก็จะผอมๆ ดัชนีมวลกายก็อยู่ในเกณฑ์ล่ะ
(แต่มัน 10 กว่าปีแล้ว T T)

เรียนจบมาทำงาน ส่วนใหญ่นั่งทำงานหน้าคอมพ์ ไม่เคยออกกำลังกาย น้ำหนักก็คงที่ ขึ้นๆ ลงๆ
ที่ 75 -80 ตรวจสุขภาพแต่ละปี ก็จะถือว่าเป็นคนท้วมๆ อวบ น้ำหนักเกินมาตรฐาน ฮา..

ถ้าเดินมาไกลๆ หรือมองไกลๆ ก็จะรู้ว่าคือผม เพราะมีความมน กลม
กระทู้นี้ผมจะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงหลักๆ หลังจากวิ่งจริงจังเมื่อต้นปี 2561 นี้นะครับ
(ไม่นับรวมการวิ่งก๊อกๆ แก๊กๆ ในปี 2559 -2560 ที่วิ่งกึ่งเดินวันละ 2-3 กม. ระยะทางรวมตลอดสองปีประมาณ 300 กว่า กม.)
ครับ ความรู้สึก ณ ตอนที่ออกมาวิ่งอย่างจริงจัง เริ่มหาซื้อรองเท้าวิ่ง
คือ ได้อิทธิพลว่าควรออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองจากคำคมดีๆ ของพี่ตูน
"ถ้าเราสุขภาพดี ก็จะทำให้ลดภาระของเหล่าฮีโร่คุณหมอ คุณพยาบาลไปได้"
ตั้งแต่โครงการก้าวที่บางสะพานของพี่ตูนเมื่อปี 2559 ทำให้มนุษย์ออฟฟิศอย่างผมซึ่งคลั่งไคล้และเป็นเอฟซีตัวยงของพี่ตูน
หันมาสนใจการวิ่งว่า มันสนุกอย่างไร?? ฮา


ครับ ตามภาพก็โลวคอสครอสเพลย์ เลียนแบบพี่ตูนกันไป
ตอนพี่ตูนก้าวมาที่เชียงราย เมื่อปลายปีก่อน ก็ออกไปรับพี่ตูนด้วยธีมการเชียร์ดังภาพ 5 5

ตัดฉับมาที่โครงการก้าวของพี่ตูนเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560 เลยนะครับ
ในตอนนั้นผมยังใช้รองเท้าแฟชั่นคู่ละ 199 วิ่งอยู่เลยครับ คือ ทั้งใส่เที่ยวและใส่วิ่งจ๊อกกิ้งตอนเย็น วันละ 2-3 โล
พอพี่ตูนปลุกเร้ากระแสการวิ่ง และกระแสสุขภาพ ไม่ได้การล่ะ ผมเลยหาซื้อรองเท้าวิ่งเพื่อที่จะออกวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดี
เมื่อได้รองเท้าวิ่งดีๆ มา 1-2 คู่ ผมก็เริ่มใช้เวลาตอนเย็นหลังเลิกงาน ไปวิ่งที่สวนสาธารณะ
(สวนสมเด็จย่า ใน ม.ราชภัฏเชียงราย)
ที่นี่บรรยากาศร่มรื่น เหมาะแก่การเดิน วิ่งจ๊อกกิ้ง อย่างที่สุด วิ่งรอบสวนก็จะได้ระยะทางประมาณ 1.2 กม.
มีต้นไม้ ดอกไม้ ถนนหนทางสวยงาม วิ่งได้ไม่เบื่อครับ
ผมสวมรองเท้าวิ่งขับรถออกบ้านไปพร้อมแฟน ไม่ถึง 10 นาทีถึง
ใหม่ๆ ก็วิ่งวันละ 3 กม.ครับ ได้ pace 8- pace 10
วิ่งเสร็จก็กดเซฟการวิ่งลงแอพ strava โพสต์แชร์ไปเฟสบ้างประปราย
ผมวิ่งวันละ 3 กม.บ้าง บางวันขยับมา 4 กม.กว่าๆ บ้าง ทุกวัน จันทร์ ถึงศุกร์
วิ่งเสร็จก็ค่ำพอดี ก็แวะหาซื้อข้าวเย็นก่อนกลับบ้าน
วิ่งอย่างนั้นผ่านไป 2 เดือนกว่า ชั่งน้ำหนักดู น้ำหนักก็แกว่งคงที่ ที่ 80-81 กก.
ในเดือน กพ.2561 เพื่อนเห็นว่าผมวิ่งมาได้หลายเดือนแล้ว เลยชวนกันสมัครวิ่งการกุศล ระยะฟันรัน 6 กม.
ปรากฎว่าทางทีมงานผู้จัด ลงข้อมูลผิด ส่ง BIB ระยะ 10 กม.ให้ ผมกับเพื่อนก็รับมาโดยไม่ดูให้ดี
ในวันงานก็เลยต้องไปวิ่งกับกลุ่มนักวิ่งขาแรง 10 กม.... ฮา..
จบงานวิ่งแรกในชีวิต ด้วยเวลา 1 ชม. 19 นาที เหนื่อยสุดในชีวิต เพราะไม่เคยวิ่งเกิน 5 กม.มาก่อน
มีการซ้อมจริงก่อนวันงานคือวิ่งเก็บระยะได้ที่ 7.5 กม.เท่านั้น
ครับ สภาพตอนเข้าเส้นชัยพร้อมเพื่อน เกือบตาย...

10 กม.แรกของการวิ่งของผม ทำให้รู้ว่า เฮ้ย มนุดอวบอย่างเราก็ทำได้นี่นา หลังจบงานนั้นก็เลยลงงานวิ่งที่ 2 ต่อเลย
ด้วยธีมการแต่งกายชุดเดียวกับตอนที่เคยไปต้อนรับพี่ตูนตอนก้าว

จบมินิครั้งที่ 2 ของผมไปด้วย pace 7.35 เวลาเข้าเส้นชัยประมาณ 1 ชม. 10 นาที
อ้อ.. ระหว่างนั้นตอนเย็นทุกวันผมก็ยังวิ่งวันละ 3-5 กม.ตามปกตินะครับ
น้ำหนักตอนนั้นก็ 80-81 กก.ครับ
หลังจากจบงานนั้น (มีนาคม 2561) เริ่มเห็นว่าวิ่ง 10 กม.ไม่ยากนี่นา ก็เลยเพิ่มวันวิ่งขึ้นมาอีกสองวัน
คือ เช้าวันเสาร์ และเช้าวันอาทิตย์
ด้วยการวิ่งจากบ้านไปตามถนนเข้าไปยังสวนสาธารณะที่เป็นสนามวิ่งทุกเย็น วิ่ง ไป-กลับถึงบ้านก็ 10 กม.พอดี
เท่ากับว่าในเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ผมวิ่งทุกวัน เฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละ 40-45 กม.หรือเดือนละ 200 กว่า กม.
ผมกลายเป็นคนติดการวิ่งไปแล้ว ฮา ฮา
เดือนเมษายน ช่วงสงกรานต์ใครเที่ยว ดื่ม แฮงค์ ยังไงผมไม่สนใจ ช่วงหยุดยาว 5 วันรวด
ผมตื่นตี 5 มาวิ่งวันละ 10 กม.ทุกวัน ตอนนั้นชั่งน้ำหนักดู เฮ้ย น้ำหนักลง เหลือ 78-79 กก.
ใช้ได้ๆ น้ำหนักลงต่ำกว่าเลข 8 ผมก็ดีใจแล้วครับ
แต่ ณ ตอนนั้น
"จะลดน้ำหนักเหรอ วิ่งโซน 2 สิ"
"วิ่งโซน 2 เผาผลาญดีนะ ลองสิ"
ผมเริ่มได้ยินเพื่อนพูด และบางครั้งก็อ่านเจอบ้าง ตกลงมันคืออะไร โซน 2 ที่ว่า แล้วจะต้องวิ่งยังไง
พอมาสังเกตุการวิ่งของตัวเองที่ผ่านมา 3 เดือนกว่าของปี 2561 ได้ระยะทางรวมไป 400 กว่า กม.
ทำให้รู้ว่าการวิ่งที่ผ่านมาของผม เป็นโซน 3 ไปถึง โซน 5 นู่นล่ะครับ เพราะการวิ่งของผมตอนนั้นเน้นวิ่งเร็วเท่าที่ตัวเองไหว
ไม่เคยจ๊อกกิ้ง ไม่เคยวิ่งช้าๆ วิ่งได้ครบจบ 5 กม.ได้ pace 6.30 คือดีใจมาก นู๋ทำได้
บางวันวิ่งจนเหนื่อยหายใจไม่ทัน จบ 5 กม.ที่ pace 5.55 ก็ชื่นใจนิดๆ
พออยากรู้เรื่องโซน 2 เลยศึกษาเอาจากในพันทิป กับในเพจบ้าง เฟสบ้าง
มีแต่คนแนะนำว่าสลับการวิ่งมาวิ่งแบบโ่ซน 2 บ้างก็ดี
เอาไงล่ะทีนี้ ??
ครับ ในเดือน พค.2561 ผมเลยซื้อนาฬิกาที่วัดฮาร์ดเรทได้ ยี่ห้อ เสี่ยวมี่ รุ่น Amazfit bip มาใช้ เพื่อจะลองควบคุมการวิ่ง
ให้หัวใจเต้นในโซน 2 ดูบ้างครับ ซึ่งตอนได้นาฬิกามานั้นไม่รู้จักหรอกนะครับ คำว่า วิ่งเท็มโป้ วิ่งอินเทอวัล คืออะไร
เพราะคิดว่าได้นาฬิกามาก็จะสะดวกในการจับแผนที่วิ่งโดยไม่ต้องพกมือถือ กับวัดเรตหัวใจโซน 2 เพื่อเน้นการเผาผลาญที่ดีขึ้น
ตอนผมเริ่มวิ่งโซน 2 ผมก็ฝึกวิ่งคุมให้หัวใจอยู่อัตราการเต้นที่ 120-131 (ค่าเฉลี่ยโซน 2 ของผม) บอกเลยครับว่าแรกๆ
ทำได้ยากมาก เพราะแค่ออกตัววิ่งช้าๆ หัวใจก็เต้นไปที่ 132 ขึ้นไปแล้ว
ตอนที่ผมฝึกใหม่ๆ เลยแทบจะต้องเปลี่ยนจาก "วิ่ง" เป็น "เดินเร็ว"
จากเดิมที่ตอนเย็นทุกวันที่ผมวิ่งเก็บระยะให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 กม.และจะวิ่งเสร็จภายใน 45 นาที
ต้องกลายเป็น 5 กม. ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เพราะผมต้องการฝึกวิ่งโซน 2 ดูหน่อยว่ามันดียังไง
ผลที่ได้จากการวิ่งโซน 2 ใหม่ๆ นั้น ก็สนุกดีนะครับ ไม่เหนื่อยเลย ชิลๆ ไปเรื่อยๆ
แต่มีความเมื่อยขา กับต้องถูกคนอื่นวิ่งแซง และเกิดความเกรงใจแฟนที่ต้องรอให้ผมวิ่งให้เสร็จ 55
จากการที่ผมมีนาฬิกาวัดฮาร์ทเรตแล้ว ผมเลยบังคับตัวเองให้วิ่งโซน 2 อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
- วันธรรมดา ตอนเย็น วันละ 5 กม. (วันจันทร์ กับศุกร์)
- วันหยุด วันละ 10 กม. (วันเสาร์)
ส่วนวันอื่นๆ ก็สลับวิ่งไปเรื่อยตามที่อยากจะวิ่ง (ยังคงไม่มีแผนการซ้อมอะไรนะครับ ฮา..)
ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ผมลงงานวิ่งการกุศล วันวิสาขบูชาของจังหวัด ระยะทางประมาณ 8.5 กม.
ผมลงวิ่งด้วยธีมการแต่งกายเช่นเดิมครับ

วิ่งจบวันนั้น ระยะทาง 8.5 กม.ที่ pace 5.23 คือ ไม่คิดว่าจะทำได้มาก่อน
เพราะก่อนหน้านั้นถ้าวิ่งเกิน 7 กม. ไม่เคยวิ่งแล้วต่ำกว่า pace 6 มาก่อน
ปล. ณ ตอนนั้น พค.2561 น้ำหนักผมลงมา หนักประมาณ 76 กก.ครับ
เริ่มมีพัฒนาการที่ได้จากการวิ่ง และฝึกวิ่งโซน 2 ทั้งความเร็วที่ดีขึ้น มีตัวเลขอวดใน strava สวยๆ กับเพื่อนเค้าบ้าง
กับน้ำหนักที่ลดลง กางเกงเริ่มหลวม
และในเดือน มิ.ย.จนถึงปัจจุบัน (สิงหาคม 2561) ผมก็วิ่งเหมือนเดิมทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ วันละ 5 กม.
เสาร์-อาทิตย์ วันละ 10 กม. น้ำหนักผมเริ่มลดมาเรื่อยๆ ตอนน้ำหนักแตะที่ 73 นั้น ผมดีใจกับตัวเองสุดๆ
คือ ได้มีน้ำหนักมาตรฐานกับชาวบ้านเค้าเสียที (ส่วนสูง - 100 = น้ำหนักมาตรฐานในความคิดของผม)

เสื้อเชิ๊ต กางเกงสแลค ที่เคยเก็บใส่กล่องเพราะคับ เริ่มนำกลับมาใส่ได้อีกครั้ง
กลับกันเสื้อเชิ๊ต กางเกงสแลคที่ซื้อใส่ปัจจุบันก็ต้องพับเก็บ เพราะหลวมโครกไปแล้วครับ
จากเดิมที่น้ำหนัก 81-82 กก.เมื่อต้นปี 2561 ผ่านมาถึงปัจจุบันวิ่งระยะทางรวมไป 1,111 กม.

ตอนนี้ น้ำหนักผมเหลือ 68 กก. เจอใครก็ชอบทักว่าผมผอมลงนะ
ครับ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะวิ่งล้วนๆ ครับ
เลยเอาประสบการณ์มาแบ่งปัน ผมวิ่งจริงจังแค่ 7-8 เดือนเอง สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 12 กก.
อาหารก็ไม่ได้คุมอะไรนะครับ ทานปกติ ดื่มกาแฟ กินไอติม กับข้าวปกติ
จึงต้องขอบคุณพี่ตูน ที่สร้างแรงบันดาลใจในการออกมาวิ่ง กับวินัยของตัวเองที่บังคับให้ต้องออกวิ่งทุกวัน

จบล่ะครับ
มาเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงเพราะการ "วิ่ง"หลังจากผ่านไป 8 เดือน ครับ (นักวิ่งหน้าใหม่)
วันนี้จะมาเล่าเรื่องของผม หลังจากเสพติดการวิ่ง ฮา...
เมื่อต้นๆ ปี 2561 ผมได้เคยตั้งโพสต์แรกเกี่ยวกับการวิ่ง ถามพี่ๆ เพื่อนๆ ในนี้ครับถึงการฝึกซ้อมอย่างไร
ให้วิ่งได้สนุก วิ่งแล้วไม่เหนื่อยมาก และดีต่อสุขภาพ ตามกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/37461259
ตอนนั้นประมาณมีนาคม 2561 น้ำหนักตัวผมยังประมาณ 81 กก.
หน้าตาก็จะออกอ้วนกลมหน่อยๆ
ผมสูง 173 หนัก 81-84 ขึ้นลงราวๆนี้ มาได้ 4-5 ปีหลังนี้ ครับ
ก่อนหน้านี้ก็เข้ายิม ยกเวท ยกเหล็ก ก็หวังที่จะลดน้ำหนักซัก 2-3 โล
แต่น้ำหนักก็ไม่ลง คงเพราะเล่นไม่ถึงจุดของเค้า เล่นเองไม่มีเทรนเนอร์ครับ
อ้อ ก่อนหน้านี้สมัยเรียนมหาลัย น้ำหนักเคยน้อยสุดที่ 68 กก. นะ
ตอนเรียน ปี 3 ปี 4 ก็จะผอมๆ ดัชนีมวลกายก็อยู่ในเกณฑ์ล่ะ
(แต่มัน 10 กว่าปีแล้ว T T)
เรียนจบมาทำงาน ส่วนใหญ่นั่งทำงานหน้าคอมพ์ ไม่เคยออกกำลังกาย น้ำหนักก็คงที่ ขึ้นๆ ลงๆ
ที่ 75 -80 ตรวจสุขภาพแต่ละปี ก็จะถือว่าเป็นคนท้วมๆ อวบ น้ำหนักเกินมาตรฐาน ฮา..
ถ้าเดินมาไกลๆ หรือมองไกลๆ ก็จะรู้ว่าคือผม เพราะมีความมน กลม
กระทู้นี้ผมจะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงหลักๆ หลังจากวิ่งจริงจังเมื่อต้นปี 2561 นี้นะครับ
(ไม่นับรวมการวิ่งก๊อกๆ แก๊กๆ ในปี 2559 -2560 ที่วิ่งกึ่งเดินวันละ 2-3 กม. ระยะทางรวมตลอดสองปีประมาณ 300 กว่า กม.)
ครับ ความรู้สึก ณ ตอนที่ออกมาวิ่งอย่างจริงจัง เริ่มหาซื้อรองเท้าวิ่ง
คือ ได้อิทธิพลว่าควรออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองจากคำคมดีๆ ของพี่ตูน
"ถ้าเราสุขภาพดี ก็จะทำให้ลดภาระของเหล่าฮีโร่คุณหมอ คุณพยาบาลไปได้"
ตั้งแต่โครงการก้าวที่บางสะพานของพี่ตูนเมื่อปี 2559 ทำให้มนุษย์ออฟฟิศอย่างผมซึ่งคลั่งไคล้และเป็นเอฟซีตัวยงของพี่ตูน
หันมาสนใจการวิ่งว่า มันสนุกอย่างไร?? ฮา
ตอนพี่ตูนก้าวมาที่เชียงราย เมื่อปลายปีก่อน ก็ออกไปรับพี่ตูนด้วยธีมการเชียร์ดังภาพ 5 5
ตัดฉับมาที่โครงการก้าวของพี่ตูนเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560 เลยนะครับ
ในตอนนั้นผมยังใช้รองเท้าแฟชั่นคู่ละ 199 วิ่งอยู่เลยครับ คือ ทั้งใส่เที่ยวและใส่วิ่งจ๊อกกิ้งตอนเย็น วันละ 2-3 โล
พอพี่ตูนปลุกเร้ากระแสการวิ่ง และกระแสสุขภาพ ไม่ได้การล่ะ ผมเลยหาซื้อรองเท้าวิ่งเพื่อที่จะออกวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดี
เมื่อได้รองเท้าวิ่งดีๆ มา 1-2 คู่ ผมก็เริ่มใช้เวลาตอนเย็นหลังเลิกงาน ไปวิ่งที่สวนสาธารณะ
(สวนสมเด็จย่า ใน ม.ราชภัฏเชียงราย)
ที่นี่บรรยากาศร่มรื่น เหมาะแก่การเดิน วิ่งจ๊อกกิ้ง อย่างที่สุด วิ่งรอบสวนก็จะได้ระยะทางประมาณ 1.2 กม.
มีต้นไม้ ดอกไม้ ถนนหนทางสวยงาม วิ่งได้ไม่เบื่อครับ
ผมสวมรองเท้าวิ่งขับรถออกบ้านไปพร้อมแฟน ไม่ถึง 10 นาทีถึง
ใหม่ๆ ก็วิ่งวันละ 3 กม.ครับ ได้ pace 8- pace 10
วิ่งเสร็จก็กดเซฟการวิ่งลงแอพ strava โพสต์แชร์ไปเฟสบ้างประปราย
ผมวิ่งวันละ 3 กม.บ้าง บางวันขยับมา 4 กม.กว่าๆ บ้าง ทุกวัน จันทร์ ถึงศุกร์
วิ่งเสร็จก็ค่ำพอดี ก็แวะหาซื้อข้าวเย็นก่อนกลับบ้าน
วิ่งอย่างนั้นผ่านไป 2 เดือนกว่า ชั่งน้ำหนักดู น้ำหนักก็แกว่งคงที่ ที่ 80-81 กก.
ในเดือน กพ.2561 เพื่อนเห็นว่าผมวิ่งมาได้หลายเดือนแล้ว เลยชวนกันสมัครวิ่งการกุศล ระยะฟันรัน 6 กม.
ปรากฎว่าทางทีมงานผู้จัด ลงข้อมูลผิด ส่ง BIB ระยะ 10 กม.ให้ ผมกับเพื่อนก็รับมาโดยไม่ดูให้ดี
ในวันงานก็เลยต้องไปวิ่งกับกลุ่มนักวิ่งขาแรง 10 กม.... ฮา..
จบงานวิ่งแรกในชีวิต ด้วยเวลา 1 ชม. 19 นาที เหนื่อยสุดในชีวิต เพราะไม่เคยวิ่งเกิน 5 กม.มาก่อน
มีการซ้อมจริงก่อนวันงานคือวิ่งเก็บระยะได้ที่ 7.5 กม.เท่านั้น
ครับ สภาพตอนเข้าเส้นชัยพร้อมเพื่อน เกือบตาย...
10 กม.แรกของการวิ่งของผม ทำให้รู้ว่า เฮ้ย มนุดอวบอย่างเราก็ทำได้นี่นา หลังจบงานนั้นก็เลยลงงานวิ่งที่ 2 ต่อเลย
ด้วยธีมการแต่งกายชุดเดียวกับตอนที่เคยไปต้อนรับพี่ตูนตอนก้าว
จบมินิครั้งที่ 2 ของผมไปด้วย pace 7.35 เวลาเข้าเส้นชัยประมาณ 1 ชม. 10 นาที
อ้อ.. ระหว่างนั้นตอนเย็นทุกวันผมก็ยังวิ่งวันละ 3-5 กม.ตามปกตินะครับ
น้ำหนักตอนนั้นก็ 80-81 กก.ครับ
หลังจากจบงานนั้น (มีนาคม 2561) เริ่มเห็นว่าวิ่ง 10 กม.ไม่ยากนี่นา ก็เลยเพิ่มวันวิ่งขึ้นมาอีกสองวัน
คือ เช้าวันเสาร์ และเช้าวันอาทิตย์
ด้วยการวิ่งจากบ้านไปตามถนนเข้าไปยังสวนสาธารณะที่เป็นสนามวิ่งทุกเย็น วิ่ง ไป-กลับถึงบ้านก็ 10 กม.พอดี
เท่ากับว่าในเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ผมวิ่งทุกวัน เฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละ 40-45 กม.หรือเดือนละ 200 กว่า กม.
ผมกลายเป็นคนติดการวิ่งไปแล้ว ฮา ฮา
เดือนเมษายน ช่วงสงกรานต์ใครเที่ยว ดื่ม แฮงค์ ยังไงผมไม่สนใจ ช่วงหยุดยาว 5 วันรวด
ผมตื่นตี 5 มาวิ่งวันละ 10 กม.ทุกวัน ตอนนั้นชั่งน้ำหนักดู เฮ้ย น้ำหนักลง เหลือ 78-79 กก.
ใช้ได้ๆ น้ำหนักลงต่ำกว่าเลข 8 ผมก็ดีใจแล้วครับ
แต่ ณ ตอนนั้น
"จะลดน้ำหนักเหรอ วิ่งโซน 2 สิ"
"วิ่งโซน 2 เผาผลาญดีนะ ลองสิ"
ผมเริ่มได้ยินเพื่อนพูด และบางครั้งก็อ่านเจอบ้าง ตกลงมันคืออะไร โซน 2 ที่ว่า แล้วจะต้องวิ่งยังไง
พอมาสังเกตุการวิ่งของตัวเองที่ผ่านมา 3 เดือนกว่าของปี 2561 ได้ระยะทางรวมไป 400 กว่า กม.
ทำให้รู้ว่าการวิ่งที่ผ่านมาของผม เป็นโซน 3 ไปถึง โซน 5 นู่นล่ะครับ เพราะการวิ่งของผมตอนนั้นเน้นวิ่งเร็วเท่าที่ตัวเองไหว
ไม่เคยจ๊อกกิ้ง ไม่เคยวิ่งช้าๆ วิ่งได้ครบจบ 5 กม.ได้ pace 6.30 คือดีใจมาก นู๋ทำได้
บางวันวิ่งจนเหนื่อยหายใจไม่ทัน จบ 5 กม.ที่ pace 5.55 ก็ชื่นใจนิดๆ
พออยากรู้เรื่องโซน 2 เลยศึกษาเอาจากในพันทิป กับในเพจบ้าง เฟสบ้าง
มีแต่คนแนะนำว่าสลับการวิ่งมาวิ่งแบบโ่ซน 2 บ้างก็ดี
เอาไงล่ะทีนี้ ??
ครับ ในเดือน พค.2561 ผมเลยซื้อนาฬิกาที่วัดฮาร์ดเรทได้ ยี่ห้อ เสี่ยวมี่ รุ่น Amazfit bip มาใช้ เพื่อจะลองควบคุมการวิ่ง
ให้หัวใจเต้นในโซน 2 ดูบ้างครับ ซึ่งตอนได้นาฬิกามานั้นไม่รู้จักหรอกนะครับ คำว่า วิ่งเท็มโป้ วิ่งอินเทอวัล คืออะไร
เพราะคิดว่าได้นาฬิกามาก็จะสะดวกในการจับแผนที่วิ่งโดยไม่ต้องพกมือถือ กับวัดเรตหัวใจโซน 2 เพื่อเน้นการเผาผลาญที่ดีขึ้น
ตอนผมเริ่มวิ่งโซน 2 ผมก็ฝึกวิ่งคุมให้หัวใจอยู่อัตราการเต้นที่ 120-131 (ค่าเฉลี่ยโซน 2 ของผม) บอกเลยครับว่าแรกๆ
ทำได้ยากมาก เพราะแค่ออกตัววิ่งช้าๆ หัวใจก็เต้นไปที่ 132 ขึ้นไปแล้ว
ตอนที่ผมฝึกใหม่ๆ เลยแทบจะต้องเปลี่ยนจาก "วิ่ง" เป็น "เดินเร็ว"
จากเดิมที่ตอนเย็นทุกวันที่ผมวิ่งเก็บระยะให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 กม.และจะวิ่งเสร็จภายใน 45 นาที
ต้องกลายเป็น 5 กม. ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เพราะผมต้องการฝึกวิ่งโซน 2 ดูหน่อยว่ามันดียังไง
ผลที่ได้จากการวิ่งโซน 2 ใหม่ๆ นั้น ก็สนุกดีนะครับ ไม่เหนื่อยเลย ชิลๆ ไปเรื่อยๆ
แต่มีความเมื่อยขา กับต้องถูกคนอื่นวิ่งแซง และเกิดความเกรงใจแฟนที่ต้องรอให้ผมวิ่งให้เสร็จ 55
จากการที่ผมมีนาฬิกาวัดฮาร์ทเรตแล้ว ผมเลยบังคับตัวเองให้วิ่งโซน 2 อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
- วันธรรมดา ตอนเย็น วันละ 5 กม. (วันจันทร์ กับศุกร์)
- วันหยุด วันละ 10 กม. (วันเสาร์)
ส่วนวันอื่นๆ ก็สลับวิ่งไปเรื่อยตามที่อยากจะวิ่ง (ยังคงไม่มีแผนการซ้อมอะไรนะครับ ฮา..)
ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ผมลงงานวิ่งการกุศล วันวิสาขบูชาของจังหวัด ระยะทางประมาณ 8.5 กม.
ผมลงวิ่งด้วยธีมการแต่งกายเช่นเดิมครับ
วิ่งจบวันนั้น ระยะทาง 8.5 กม.ที่ pace 5.23 คือ ไม่คิดว่าจะทำได้มาก่อน
เพราะก่อนหน้านั้นถ้าวิ่งเกิน 7 กม. ไม่เคยวิ่งแล้วต่ำกว่า pace 6 มาก่อน
ปล. ณ ตอนนั้น พค.2561 น้ำหนักผมลงมา หนักประมาณ 76 กก.ครับ
เริ่มมีพัฒนาการที่ได้จากการวิ่ง และฝึกวิ่งโซน 2 ทั้งความเร็วที่ดีขึ้น มีตัวเลขอวดใน strava สวยๆ กับเพื่อนเค้าบ้าง
กับน้ำหนักที่ลดลง กางเกงเริ่มหลวม
และในเดือน มิ.ย.จนถึงปัจจุบัน (สิงหาคม 2561) ผมก็วิ่งเหมือนเดิมทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ วันละ 5 กม.
เสาร์-อาทิตย์ วันละ 10 กม. น้ำหนักผมเริ่มลดมาเรื่อยๆ ตอนน้ำหนักแตะที่ 73 นั้น ผมดีใจกับตัวเองสุดๆ
คือ ได้มีน้ำหนักมาตรฐานกับชาวบ้านเค้าเสียที (ส่วนสูง - 100 = น้ำหนักมาตรฐานในความคิดของผม)
เสื้อเชิ๊ต กางเกงสแลค ที่เคยเก็บใส่กล่องเพราะคับ เริ่มนำกลับมาใส่ได้อีกครั้ง
กลับกันเสื้อเชิ๊ต กางเกงสแลคที่ซื้อใส่ปัจจุบันก็ต้องพับเก็บ เพราะหลวมโครกไปแล้วครับ
จากเดิมที่น้ำหนัก 81-82 กก.เมื่อต้นปี 2561 ผ่านมาถึงปัจจุบันวิ่งระยะทางรวมไป 1,111 กม.
ตอนนี้ น้ำหนักผมเหลือ 68 กก. เจอใครก็ชอบทักว่าผมผอมลงนะ
ครับ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะวิ่งล้วนๆ ครับ
เลยเอาประสบการณ์มาแบ่งปัน ผมวิ่งจริงจังแค่ 7-8 เดือนเอง สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 12 กก.
อาหารก็ไม่ได้คุมอะไรนะครับ ทานปกติ ดื่มกาแฟ กินไอติม กับข้าวปกติ
จึงต้องขอบคุณพี่ตูน ที่สร้างแรงบันดาลใจในการออกมาวิ่ง กับวินัยของตัวเองที่บังคับให้ต้องออกวิ่งทุกวัน
จบล่ะครับ