ดูละครแล้วย้อนดูตัวคำนี้ได้ยินเมื่อไหร่ก็จริงยิ่งกว่าจริง เพราะชีวิตจริงบางทีก็ยิ่งกว่าในละคร
ตามชื่อกระทู้เลยค่ะ กระทู้นี้ ล็อกอินนี้ตั้งเพราะว่าอยากให้กำลังใจอรุณา (จากละครเมีย2018)
ในฉากเซ็นใบหย่าไม่รู้ว่าอรุณาต้องใช้พลังมากในการหยิบปากกาแท่งเบาๆ ขึ้นมาเซ็นชื่อ เหมือนที่เราเคยรวมพลังทั้งหมดในชีวิตยกปากกาด้ามนั้นขึ้นมาเซ็นเพื่อเปลี่ยนสถานะจากเมีย จากแม่ มาเป็น ‘แม่เลี้ยงเดี่ยว’
อย่างที่อรุณาบอก การก้าวออกจากเซฟโซนที่เราเคยดู มันทำให้เราได้เห็นตัวเองอีกด้านหนึ่ง ในเวอร์ชั่นที่เก่งขึ้น แล้วก็อึดขึ้นด้วย
เราเองก็เป็นอีกคนที่ได้เห็นตัวเองในอีกด้านหลังจากที่ต้องมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เราเลยอยากตั้งกระทู้นี้เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของเราว่าเราผ่านมันมาได้ยังไง เผื่อใครที่กำลังท้อแท้ เหนื่อยมาอ่านจะได้รู้สึกดีขึ้น
ในช่วงแรกๆ มันทั้งสับสน ทั้งอ่อนแอ อยากร้องไห้ตลอดเวลา แต่พอเห็นหน้าลูกที่เค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแล้ว มันทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เราต้องเข้มแข็งกว่านี้ เราต้องไม่มองย้อนไปข้างหลังที่ทำร้ายเรา เพราะเรามีลูกที่กำลังโตขึ้นทุกวัน เราต้องพาเค้าไปข้างหน้า
อย่างแรกที่เราทำคือ ‘จัดการตัวเอง’ เราไปพบจิตแพทย์จากคำแนะนำของเพื่อนๆ เพราะเราน่าจะมีความเครียดสะสมจากเรื่องราวนั้น (เราไม่ขอลงรายละเอียดว่าเลิกทำไม เพราะอะไรนะคะ) วันแรกที่เราไปพบจิตแพทย์ เราไปเพราะความกลัวที่เราจัดการอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดี เราอยู่กับลูกเราร่าเริงได้ แต่พอลูกหลับ โลกเราพังทั้งใบ เราโดดเดี่ยว เราไม่มีใคร แต่เราก็อยากหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เราไปพบหมอด้วยความหวังที่จะเราหาย ผลคือเราต้องกินยาเพื่อช่วย แต่หลังจากกินยา เราโอเคมากๆ
อย่างที่สองคือ ‘จัดระบบความคิด ปล่อยวางบ้าง’ คือมีวันนึงที่ลูกลับแล้ว เรามานั่งมองรอบๆ มองกองผ้าที่ยังไม่ได้พับ คิดถึงกองจานที่ยังไม่ได้ล้าง คิดถึงงานที่จะต้องหาทำเพิ่มเพื่อเพิ่มรายได้ แล้วร้องไห้ออกมา เราเครียดมาก เราเลยโทรหาเพื่อนเราคนนึง แล้วมันก็พูดกับเราว่า “แก อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยบ้างเหอะ ผ้าไม่ต้องพับมันทุกตัวหรอก บางตัวที่ใส่บ่อยๆ แกก็กองไว้บ้าง งานที่ต้องหาเพิ่มก็ค่อยเป็นค่อยไปมั้ย แกไม่ใช่ยอดมนุษย์นะเว้ย แกคือมนุษย์คนนึง ส่วนจานแกก็ซื้อจานกระดาษมาใช้ม่ะ ไม่ต้องล้าง ทิ้งไปเลย จบๆ’ จบประโยคจานกระดาษของเพื่อนเรา เราหัวเราะทั้งน้ำตา เออ จริงด้วย เราแบกอะไรไม่รู้ไว้เยอะมาก เราควรปล่อยๆ มันไปบ้าง
อย่างที่สามเราเริ่ม ‘จัดการเวลา’ เพราะการต้องเลี้ยงลูก ต้องทำงานบ้าน ต้องหาทำงานทำเพิ่ม เราอยากให้มีเวลาเพิ่มขึ้นอีกวันละ 12 ชั่วโมง วันๆ ของเราผ่านไปเร็วมาก เราเหนื่อย นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง สุขภาพเราเริ่มไม่ดี เราก็มองย้อนกลับมาว่าทำไมเราเหนื่อยได้ขนาดนี้ เราก็พบว่าเราควรจัดตารางเวลา อะไรทำก่อน อะไรทำหลัง อะไรไม่ต้องทำก็ไม่ต้องทำก็ได้ แล้วก็หาตัวช่วยต่างๆ อะไรก็ได้ที่ทุ่นแรง ทุ่นเวลา บอกเราว่าจัดมาหมด (ซึ่งบางอย่างเราว่าเงินก็ซื้อเวลาได้นะ ฮ่าๆๆ)
อย่างที่สี่ ‘มองดูรอบตัว’ วันที่เราเซ็นใบหย่า มันคือวันที่เรารู้ว่าโลกทั้งใบเราพังไปหมดแล้ว พ่อเด็กที่เคยอยู่ด้วยกันมาตลอด เค้าไปแล้ว ตอนนี้เราเหลือแค่ลูก แต่จริงๆ แล้วเรามีคนรอบตัวเราอีกเยอะ เรามีแม่ มีญาติพี่น้อง (ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง) มีเพื่อนสนิทที่แม้จะไม่มากแต่ก็พร้อมเต็มใจช่วยเรา อย่างแม่เรา แรกๆ แม่ออกตัวว่าจะมาช่วยเลี้ยงหลาน แต่เราเกรงใจแม่ แม่แก่แล้วต้องมานั่งเลี้ยงหลานในวัยกำลังโต ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายด้วย ซนสุดๆ แค่เรายังเหนื่อยเลย แล้วแม่จะไหวเหรอ เราเลยปฏิเสธแม่ไป จนวันนึงที่ป้าโทรมาหาเราแล้วบอกว่า ให้แม่มาอยู่เป็นเพื่อนเหอะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่แม่เค้าอยากมานะ ช่วยอะไรไม่ได้มาก ก็ขอมาอยู่ข้างๆ ก็ยังดี เรานี่แบบอยากร้องไห้เลย แม่ห่วงเรามากจริงๆ (มาถึงตอนนี้แม่เราช่วยดูหลานได้ดีมาก แม่เราไม่ได้แก่ อย่างที่เราคิด ฮ่าๆ) ส่วนเพื่อนๆ เราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาชวนเรากับลูกไปเที่ยว มีครั้งนึงเราอยากพาลูกไปเล่นน้ำ เลยชวนเพื่อนไป คิดว่าเพื่อนจะเบื่อ ที่ไหนได้เพื่อนๆ เราสนุกกว่าลูกเราอีก เอาเข้าไปสิๆ
ที่เราพิมพ์มาเหมือนจะดูง่ายๆ ชิลๆ เหมือนเราแข็งแรง แข็งแกร่ง แต่จริงๆ กว่าเราจะผ่านมาได้แต่ละอย่างใช้เวลาเป็นปีๆ ทุกวันนี้เราก็ร้องไห้ตอนเหนื่อยๆ ท้อๆ บ้าง แต่ก็คิดไว้ว่า ‘ชีวิตก็ยังต้องสู้ต่อ
เมื่อยังมีลมหายใจก็ยังต้องไปต่อ’ เหมือนเพลงประกอบละครเรื่องเมีย 2018 นั่นแหละ
สุดท้ายนี้เราเป็นกำลังใจนะอรุณา ผ่านมันไปให้ได้นะ เธอมีคนรอบตัวที่ดี ได้โอกาสมีงานทำ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป (ที่สำคัญบอสวศิน ถ้าไม่เอา ส่งต่อมาได้นะ ฮ่าๆ) ที่สำคัญถ้ามีแม่เลี้ยงเดี่ยวคนไหนผ่านมาเจอกระทู้นี้ เราอยากจะบอกเลยว่า สู้ๆ ค่ะ แล้วมันจะผ่านไปค่ะ
ฝากให้กำลังใจอรุณา จากแม่เลี้ยงเดี่ยวคนนึง
ตามชื่อกระทู้เลยค่ะ กระทู้นี้ ล็อกอินนี้ตั้งเพราะว่าอยากให้กำลังใจอรุณา (จากละครเมีย2018)
ในฉากเซ็นใบหย่าไม่รู้ว่าอรุณาต้องใช้พลังมากในการหยิบปากกาแท่งเบาๆ ขึ้นมาเซ็นชื่อ เหมือนที่เราเคยรวมพลังทั้งหมดในชีวิตยกปากกาด้ามนั้นขึ้นมาเซ็นเพื่อเปลี่ยนสถานะจากเมีย จากแม่ มาเป็น ‘แม่เลี้ยงเดี่ยว’
อย่างที่อรุณาบอก การก้าวออกจากเซฟโซนที่เราเคยดู มันทำให้เราได้เห็นตัวเองอีกด้านหนึ่ง ในเวอร์ชั่นที่เก่งขึ้น แล้วก็อึดขึ้นด้วย
เราเองก็เป็นอีกคนที่ได้เห็นตัวเองในอีกด้านหลังจากที่ต้องมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เราเลยอยากตั้งกระทู้นี้เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของเราว่าเราผ่านมันมาได้ยังไง เผื่อใครที่กำลังท้อแท้ เหนื่อยมาอ่านจะได้รู้สึกดีขึ้น
ในช่วงแรกๆ มันทั้งสับสน ทั้งอ่อนแอ อยากร้องไห้ตลอดเวลา แต่พอเห็นหน้าลูกที่เค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแล้ว มันทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เราต้องเข้มแข็งกว่านี้ เราต้องไม่มองย้อนไปข้างหลังที่ทำร้ายเรา เพราะเรามีลูกที่กำลังโตขึ้นทุกวัน เราต้องพาเค้าไปข้างหน้า
อย่างแรกที่เราทำคือ ‘จัดการตัวเอง’ เราไปพบจิตแพทย์จากคำแนะนำของเพื่อนๆ เพราะเราน่าจะมีความเครียดสะสมจากเรื่องราวนั้น (เราไม่ขอลงรายละเอียดว่าเลิกทำไม เพราะอะไรนะคะ) วันแรกที่เราไปพบจิตแพทย์ เราไปเพราะความกลัวที่เราจัดการอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดี เราอยู่กับลูกเราร่าเริงได้ แต่พอลูกหลับ โลกเราพังทั้งใบ เราโดดเดี่ยว เราไม่มีใคร แต่เราก็อยากหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เราไปพบหมอด้วยความหวังที่จะเราหาย ผลคือเราต้องกินยาเพื่อช่วย แต่หลังจากกินยา เราโอเคมากๆ
อย่างที่สองคือ ‘จัดระบบความคิด ปล่อยวางบ้าง’ คือมีวันนึงที่ลูกลับแล้ว เรามานั่งมองรอบๆ มองกองผ้าที่ยังไม่ได้พับ คิดถึงกองจานที่ยังไม่ได้ล้าง คิดถึงงานที่จะต้องหาทำเพิ่มเพื่อเพิ่มรายได้ แล้วร้องไห้ออกมา เราเครียดมาก เราเลยโทรหาเพื่อนเราคนนึง แล้วมันก็พูดกับเราว่า “แก อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยบ้างเหอะ ผ้าไม่ต้องพับมันทุกตัวหรอก บางตัวที่ใส่บ่อยๆ แกก็กองไว้บ้าง งานที่ต้องหาเพิ่มก็ค่อยเป็นค่อยไปมั้ย แกไม่ใช่ยอดมนุษย์นะเว้ย แกคือมนุษย์คนนึง ส่วนจานแกก็ซื้อจานกระดาษมาใช้ม่ะ ไม่ต้องล้าง ทิ้งไปเลย จบๆ’ จบประโยคจานกระดาษของเพื่อนเรา เราหัวเราะทั้งน้ำตา เออ จริงด้วย เราแบกอะไรไม่รู้ไว้เยอะมาก เราควรปล่อยๆ มันไปบ้าง
อย่างที่สามเราเริ่ม ‘จัดการเวลา’ เพราะการต้องเลี้ยงลูก ต้องทำงานบ้าน ต้องหาทำงานทำเพิ่ม เราอยากให้มีเวลาเพิ่มขึ้นอีกวันละ 12 ชั่วโมง วันๆ ของเราผ่านไปเร็วมาก เราเหนื่อย นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง สุขภาพเราเริ่มไม่ดี เราก็มองย้อนกลับมาว่าทำไมเราเหนื่อยได้ขนาดนี้ เราก็พบว่าเราควรจัดตารางเวลา อะไรทำก่อน อะไรทำหลัง อะไรไม่ต้องทำก็ไม่ต้องทำก็ได้ แล้วก็หาตัวช่วยต่างๆ อะไรก็ได้ที่ทุ่นแรง ทุ่นเวลา บอกเราว่าจัดมาหมด (ซึ่งบางอย่างเราว่าเงินก็ซื้อเวลาได้นะ ฮ่าๆๆ)
อย่างที่สี่ ‘มองดูรอบตัว’ วันที่เราเซ็นใบหย่า มันคือวันที่เรารู้ว่าโลกทั้งใบเราพังไปหมดแล้ว พ่อเด็กที่เคยอยู่ด้วยกันมาตลอด เค้าไปแล้ว ตอนนี้เราเหลือแค่ลูก แต่จริงๆ แล้วเรามีคนรอบตัวเราอีกเยอะ เรามีแม่ มีญาติพี่น้อง (ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง) มีเพื่อนสนิทที่แม้จะไม่มากแต่ก็พร้อมเต็มใจช่วยเรา อย่างแม่เรา แรกๆ แม่ออกตัวว่าจะมาช่วยเลี้ยงหลาน แต่เราเกรงใจแม่ แม่แก่แล้วต้องมานั่งเลี้ยงหลานในวัยกำลังโต ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายด้วย ซนสุดๆ แค่เรายังเหนื่อยเลย แล้วแม่จะไหวเหรอ เราเลยปฏิเสธแม่ไป จนวันนึงที่ป้าโทรมาหาเราแล้วบอกว่า ให้แม่มาอยู่เป็นเพื่อนเหอะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่แม่เค้าอยากมานะ ช่วยอะไรไม่ได้มาก ก็ขอมาอยู่ข้างๆ ก็ยังดี เรานี่แบบอยากร้องไห้เลย แม่ห่วงเรามากจริงๆ (มาถึงตอนนี้แม่เราช่วยดูหลานได้ดีมาก แม่เราไม่ได้แก่ อย่างที่เราคิด ฮ่าๆ) ส่วนเพื่อนๆ เราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาชวนเรากับลูกไปเที่ยว มีครั้งนึงเราอยากพาลูกไปเล่นน้ำ เลยชวนเพื่อนไป คิดว่าเพื่อนจะเบื่อ ที่ไหนได้เพื่อนๆ เราสนุกกว่าลูกเราอีก เอาเข้าไปสิๆ
ที่เราพิมพ์มาเหมือนจะดูง่ายๆ ชิลๆ เหมือนเราแข็งแรง แข็งแกร่ง แต่จริงๆ กว่าเราจะผ่านมาได้แต่ละอย่างใช้เวลาเป็นปีๆ ทุกวันนี้เราก็ร้องไห้ตอนเหนื่อยๆ ท้อๆ บ้าง แต่ก็คิดไว้ว่า ‘ชีวิตก็ยังต้องสู้ต่อ
เมื่อยังมีลมหายใจก็ยังต้องไปต่อ’ เหมือนเพลงประกอบละครเรื่องเมีย 2018 นั่นแหละ
สุดท้ายนี้เราเป็นกำลังใจนะอรุณา ผ่านมันไปให้ได้นะ เธอมีคนรอบตัวที่ดี ได้โอกาสมีงานทำ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป (ที่สำคัญบอสวศิน ถ้าไม่เอา ส่งต่อมาได้นะ ฮ่าๆ) ที่สำคัญถ้ามีแม่เลี้ยงเดี่ยวคนไหนผ่านมาเจอกระทู้นี้ เราอยากจะบอกเลยว่า สู้ๆ ค่ะ แล้วมันจะผ่านไปค่ะ