บ่อยครั้งที่เราอ่านอะไรมา เหมือนเข้าใจหลักธรรม แต่พอไปเจอชีวิตจริงภายนอก ก็เกิดยึดถืออารมณ์ต่างๆ คุ้มดีคุ้มร้ายไปเรื่อย
บางท่านอาจจะมองว่า ถ้าเข้าใจเรื่องซับซ้อนในพระไตรปิฎกได้ ก็น่าจะเข้าใจจิตใจของตนได้ แต่ในทางปฏิบัติใจเรามันเป็นเรื่องที่เรารู้ของเราเองคนเดียว
ผมว่าหลายต่อหลายครั้ง จิตชั่วแล่นของเราก็วูบไหวไปกับอารมณ์ที่กระทบในแต่ละวันเยอะมาก และบางครั้งเราเองนั้นก็เหมือนจะยึดติดกับสิ่งที่เราอ่านมา ศีกษามา ว่าเราเข้าใจของเราถูก เหมือนท้ายที่สุดเราก็เปลี่ยนจากที่เคยยึดกิเลส ไปยึดกับหลักธรรมที่อ่านมา มันก็เกิดเป็นกิเลสอีกอย่าง
อย่างเบื้องต้นคือ เจตนาของเราเอง เจตนาที่เราเห็นว่าธรรมะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ไปถึงเรามีเจตนาบอกกล่าวเรื่องที่เรารู้ เจตนาที่จะเพ่งว่าคนอื่นรู้ไม่เท่าเรา เจตนาที่จะเพ่งเห็นว่าคนอื่นเห็นผิด เจตนาว่าเราศึกษามาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สุดท้ายเจตนาของเราก็กลายเป็นกับดักที่ผูกมัดตัวเราเอง เผลอๆ อาจเป็นเราเองนั่นแหละทุกข์เป็นร้อนกับมันเองคนเดียว
บางครั้งผมก็เคยจับอารมณ์เหล่านั้น คือใจเรารู้ว่ามันเป็นทุกข์นะครับ แต่เรามักจะกึ่งๆ หลอกตัวเองว่าไม่ทุกข์ เสมือนว่าเรามีอัตตาอยู่ภายในว่า เราไม่อยากยอมรับว่าเราเกิดทุกข์ขึ้นมาในใจ เราพยายามบอกตนว่าเราเจริญสติแล้ว แต่ตะกอนความรู้สึกนั้นมันยังเกิดอยู่แน่นอน เหมือนกับการที่เรายังละอาสวะกิเลสไม่หมด
ผมเคยได้ยินมาว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าท้ายที่สุดไม่ซับซ้อน หลักธรรมทั้งหมดทั้งมวล สุดท้ายก็ลงมาให้ผู้ปฏิบัติหันมาพิจารณากาย ใจ ของตัวเอง (ซึ่งจะเป็นเช่นดังว่าหรือเปล่าขึ้นอยู่กับแต่ละคน)
ส่วนตัวผมเอง หลังๆ เลยเริ่มคิดว่า เรารู้อะไร รู้ว่ารู้ลึก รู้ว่ารู้จริงแค่ไหน สุดท้ายมันก็แค่อาการรู้ เราทำได้แค่ว่ารู้ว่าตัวเองรู้ รู้ว่ามันไม่เที่ยง น่าจะสบายใจกว่า ส่วนคนอื่นจะเห็นเหมือนเรา เห็นไม่เหมือนเรา เห็นว่าถูกหรือผิด มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเราอยู่ดีใช่ไหมครับ เป็นเรื่องปัจจัตตัง (ต่อให้เรื่องที่เรารู้ได้เฉพาะเรานั้นอาจเป็นเรื่องที่ยังผิดอยู่ก็ได้) แต่ก็ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ปรับมันไป
ถ้าเราเข้าใจเรื่องซับซ้อนในพระไตรปิฎก ถกเถียงกับใครได้อย่างทรงภูมิ แต่ยังมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่ จะมีประโยชน์อะไรครับ
บางท่านอาจจะมองว่า ถ้าเข้าใจเรื่องซับซ้อนในพระไตรปิฎกได้ ก็น่าจะเข้าใจจิตใจของตนได้ แต่ในทางปฏิบัติใจเรามันเป็นเรื่องที่เรารู้ของเราเองคนเดียว
ผมว่าหลายต่อหลายครั้ง จิตชั่วแล่นของเราก็วูบไหวไปกับอารมณ์ที่กระทบในแต่ละวันเยอะมาก และบางครั้งเราเองนั้นก็เหมือนจะยึดติดกับสิ่งที่เราอ่านมา ศีกษามา ว่าเราเข้าใจของเราถูก เหมือนท้ายที่สุดเราก็เปลี่ยนจากที่เคยยึดกิเลส ไปยึดกับหลักธรรมที่อ่านมา มันก็เกิดเป็นกิเลสอีกอย่าง
อย่างเบื้องต้นคือ เจตนาของเราเอง เจตนาที่เราเห็นว่าธรรมะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ไปถึงเรามีเจตนาบอกกล่าวเรื่องที่เรารู้ เจตนาที่จะเพ่งว่าคนอื่นรู้ไม่เท่าเรา เจตนาที่จะเพ่งเห็นว่าคนอื่นเห็นผิด เจตนาว่าเราศึกษามาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สุดท้ายเจตนาของเราก็กลายเป็นกับดักที่ผูกมัดตัวเราเอง เผลอๆ อาจเป็นเราเองนั่นแหละทุกข์เป็นร้อนกับมันเองคนเดียว
บางครั้งผมก็เคยจับอารมณ์เหล่านั้น คือใจเรารู้ว่ามันเป็นทุกข์นะครับ แต่เรามักจะกึ่งๆ หลอกตัวเองว่าไม่ทุกข์ เสมือนว่าเรามีอัตตาอยู่ภายในว่า เราไม่อยากยอมรับว่าเราเกิดทุกข์ขึ้นมาในใจ เราพยายามบอกตนว่าเราเจริญสติแล้ว แต่ตะกอนความรู้สึกนั้นมันยังเกิดอยู่แน่นอน เหมือนกับการที่เรายังละอาสวะกิเลสไม่หมด
ผมเคยได้ยินมาว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าท้ายที่สุดไม่ซับซ้อน หลักธรรมทั้งหมดทั้งมวล สุดท้ายก็ลงมาให้ผู้ปฏิบัติหันมาพิจารณากาย ใจ ของตัวเอง (ซึ่งจะเป็นเช่นดังว่าหรือเปล่าขึ้นอยู่กับแต่ละคน)
ส่วนตัวผมเอง หลังๆ เลยเริ่มคิดว่า เรารู้อะไร รู้ว่ารู้ลึก รู้ว่ารู้จริงแค่ไหน สุดท้ายมันก็แค่อาการรู้ เราทำได้แค่ว่ารู้ว่าตัวเองรู้ รู้ว่ามันไม่เที่ยง น่าจะสบายใจกว่า ส่วนคนอื่นจะเห็นเหมือนเรา เห็นไม่เหมือนเรา เห็นว่าถูกหรือผิด มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเราอยู่ดีใช่ไหมครับ เป็นเรื่องปัจจัตตัง (ต่อให้เรื่องที่เรารู้ได้เฉพาะเรานั้นอาจเป็นเรื่องที่ยังผิดอยู่ก็ได้) แต่ก็ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ปรับมันไป