ผมเคยเป็นคนที่ไม่เชื่อ เวรกรรม นรก สวรรค์ ตอนนี้ผมสนใจใฝ่ศึกษาเรื่องนี้มาก แต่ก็ยังบอกแน่ชัดว่า เชื่อมากกว่าเดิมแค่ไหน
เคยคิดว่า ความคิดที่พ่อแม่สั่งสอนเป็นเรื่องเหลวไหล พอไปเผชิญโลกเอง ได้บทเรียนเอง ก็รู้ว่าสิ่งที่พ่อแม่เคยสอนสั่งนั้นถูกควรแล้ว
พอมองย้อนกลับไปก็รู้ว่า เราไม่อาจสอนตัวเราในเวลาอดีตกาลได้ สมมติย้อนเวลาได้ ไปบอกตนเองในช่วงวัยรุ่น ตัวเราเองตอนวัยรุ่นก็ไม่เปลี่ยนความคิดอยู่ดี
ในขณะเดียวกัน เวลาอยู่ในสังคม เราจะพบเหตุการณ์ คนอายุมากกว่า ให้โอวาท สั่งสอน ชี้แนะว่าอะไรควรไม่ควร
เมื่อก่อนเราก็เคยคิดต่อต้าน ตั้งกำแพงไว้ก่อนว่าผิด ไม่จริง คร่ำครึ แต่พอเวลาผ่านไป เราก็จะค่อยๆ หวนนึกได้เองว่า มีเหตุผลในการที่เขาจะสอนสั่งเราแบบนั้น (ผิดถูกไว้พิจารณากันอีกที)
อย่างที่เห็นชัด โดยส่วนตัวคือ วัฒนธรรมไทยเก่าก่อน พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เราอ่าน ฟัง สังเกต ก็รู้ได้ว่ามันมีเหตุ มันเป็นคำสอนที่มีกุศโลบายอยู่อย่างลึกซึ้ง
ทำให้หันมาสนใจศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่น คำสอน ประเพณีที่ดี ว่ามันมีอะไรมากกว่าสิ่งที่คนอื่นมอง มันมีปัจจัยการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมยังไง (ซึ่งแน่นอนว่า ก็ยังมีคนบางส่วนมองว่าเป็นสิ่งงมงายคร่ำครึอยู่บ้าง)
สิ่งเหล่านี้รวมๆ แล้วอาจเป็นทิฐิส่วนตัวก็ได้ ทิฐิที่มีเมื่อก่อนเราเป็นอย่างหนึ่ง วันนี้เรามีทิฐิอีกแบบหนึ่ง มันเปลี่ยนไปตามวัย ประสบการณ์ของเรา และเผลอๆ ในอนาคตพอเราแก่ตัวลง เราอาจจะมีทิฐิอีกแบบก็ได้
บางทีเราเห็นเด็กรุ่นใหม่ ที่มีทิฐิเหมือนที่เราเคยมี หรืออาจจะเกรี้ยวกราดรุนแรงกว่าที่เราเคยมี แต่เราเองก็ไม่มีสิทธิอะไรไปบอกไปเตือนเขา เพราะมันเรื่องของใครของมัน เขาอาจจะพอใจที่มีทิฐิแบบนั้น เขาคงสบายของเขาอยู่แล้ว ไม่รู้เราจะไปถกเถียงกับเขาทำไม
แต่ผู้อาวุโสที่มุ่งสั่งสอนคนรุ่นใหม่ก็ยังคงมีอยู่ดี แม้เวลานี้เราอยู่ในวงนอก เราก็อาจพูดได้ไม่เต็มปากว่าทิฐิของผู้อาวุโสถูกต้องทั้งหมด หรือสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่มีมันจะเป็นการรื้อสร้างที่นำไปสู่การพัฒนาจริงหรือไม่ เราแค่มองอย่างเข้าใจโลกทัศน์ของผู้อาวุโส รู้เพียงเจตนาอันดีของผู้อาวุโสเท่านั้น แต่เราก็พูดอะไรมากกว่านั้นไม่ได้อยู่ดี (เช่น พูดให้เด็กฟังผู้อาวุโส) และตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ทิฐิที่มีใดๆ มันก็ไม่ถูกต้อง เที่ยงตรง แน่นอน เสมอไป
ถ้าสุดท้าย ทิฐิ ที่เราเคยมี มันก็ไม่แน่นอน เปลี่ยนไปตามสภาวะการรับรู้ของเรา เราควรจะยึดว่า เราต้องถูกเสมอไหมครับ
เคยคิดว่า ความคิดที่พ่อแม่สั่งสอนเป็นเรื่องเหลวไหล พอไปเผชิญโลกเอง ได้บทเรียนเอง ก็รู้ว่าสิ่งที่พ่อแม่เคยสอนสั่งนั้นถูกควรแล้ว
พอมองย้อนกลับไปก็รู้ว่า เราไม่อาจสอนตัวเราในเวลาอดีตกาลได้ สมมติย้อนเวลาได้ ไปบอกตนเองในช่วงวัยรุ่น ตัวเราเองตอนวัยรุ่นก็ไม่เปลี่ยนความคิดอยู่ดี
ในขณะเดียวกัน เวลาอยู่ในสังคม เราจะพบเหตุการณ์ คนอายุมากกว่า ให้โอวาท สั่งสอน ชี้แนะว่าอะไรควรไม่ควร
เมื่อก่อนเราก็เคยคิดต่อต้าน ตั้งกำแพงไว้ก่อนว่าผิด ไม่จริง คร่ำครึ แต่พอเวลาผ่านไป เราก็จะค่อยๆ หวนนึกได้เองว่า มีเหตุผลในการที่เขาจะสอนสั่งเราแบบนั้น (ผิดถูกไว้พิจารณากันอีกที)
อย่างที่เห็นชัด โดยส่วนตัวคือ วัฒนธรรมไทยเก่าก่อน พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เราอ่าน ฟัง สังเกต ก็รู้ได้ว่ามันมีเหตุ มันเป็นคำสอนที่มีกุศโลบายอยู่อย่างลึกซึ้ง
ทำให้หันมาสนใจศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่น คำสอน ประเพณีที่ดี ว่ามันมีอะไรมากกว่าสิ่งที่คนอื่นมอง มันมีปัจจัยการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมยังไง (ซึ่งแน่นอนว่า ก็ยังมีคนบางส่วนมองว่าเป็นสิ่งงมงายคร่ำครึอยู่บ้าง)
สิ่งเหล่านี้รวมๆ แล้วอาจเป็นทิฐิส่วนตัวก็ได้ ทิฐิที่มีเมื่อก่อนเราเป็นอย่างหนึ่ง วันนี้เรามีทิฐิอีกแบบหนึ่ง มันเปลี่ยนไปตามวัย ประสบการณ์ของเรา และเผลอๆ ในอนาคตพอเราแก่ตัวลง เราอาจจะมีทิฐิอีกแบบก็ได้
บางทีเราเห็นเด็กรุ่นใหม่ ที่มีทิฐิเหมือนที่เราเคยมี หรืออาจจะเกรี้ยวกราดรุนแรงกว่าที่เราเคยมี แต่เราเองก็ไม่มีสิทธิอะไรไปบอกไปเตือนเขา เพราะมันเรื่องของใครของมัน เขาอาจจะพอใจที่มีทิฐิแบบนั้น เขาคงสบายของเขาอยู่แล้ว ไม่รู้เราจะไปถกเถียงกับเขาทำไม
แต่ผู้อาวุโสที่มุ่งสั่งสอนคนรุ่นใหม่ก็ยังคงมีอยู่ดี แม้เวลานี้เราอยู่ในวงนอก เราก็อาจพูดได้ไม่เต็มปากว่าทิฐิของผู้อาวุโสถูกต้องทั้งหมด หรือสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่มีมันจะเป็นการรื้อสร้างที่นำไปสู่การพัฒนาจริงหรือไม่ เราแค่มองอย่างเข้าใจโลกทัศน์ของผู้อาวุโส รู้เพียงเจตนาอันดีของผู้อาวุโสเท่านั้น แต่เราก็พูดอะไรมากกว่านั้นไม่ได้อยู่ดี (เช่น พูดให้เด็กฟังผู้อาวุโส) และตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ทิฐิที่มีใดๆ มันก็ไม่ถูกต้อง เที่ยงตรง แน่นอน เสมอไป